ขอบคุณทุกคนที่อ่านเรื่องนี้นะคะ
ขอบคุณ คุณ jazzzero, คุณ ฮิปโปโปตัวโตพุงโลชะมัด, คุณ ป้าทุยบ้านทุ่ง, คุณนัน turtle_cheesecake, คุณลิ ลายลิขิต, คุณ คาราเมล มัคเคียโต, น้องดาว Lady Star 919, จารย์จี GTW, คุณออม ออมอำพัน, คุณ เป่าชาง, คุณ เพ็ญพิชญา
ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวตด้วยค่ะ
บทก่อนหน้าค่ะ
https://pantip.com/topic/36127426
บทที่ 1
แสงอรุณเพิ่งจับขอบฟ้าได้ไม่นานเมื่อเขาเลี้ยวรถเข้าบริเวณโรงพยาบาล จะว่านี่คือสถานที่ซึ่งคุ้นเคยก็คงได้ เขาลืมตาดูโลกที่นี่ เมื่อสามสิบปีมาแล้ว เมื่อครั้งที่โรงพยาบาลแห่งนี้เป็นเพียงตึกหลังเดียวบนพื้นที่ว่างกว้างขวาง เวลานี้ตึกหลังนั้นลดความสำคัญลงมาก เหตุก็เพราะมีอีกหลังสร้างขึ้นแทนที่ ตึกหลังใหญ่เจ็ดชั้นนั้นสร้างขึ้นทางซีกซ้าย เยื้องมาตอนหน้าของหลังเก่า
ไกลออกไปทางฝั่งซ้ายของตึกทั้งสองหลังเป็นอาคารสองชั้นรูปทรงเรียบๆ ดูไกลๆ เหมือนกล่องสีเหลี่ยมสีน้ำตาล อาคารหลังนั้นสร้างเมื่อกว่าสิบปีมาแล้ว มิใช่เป็นส่วนหนึ่งของโรงพยาบาลเสียทีเดียว หากเป็นสถานที่เก็บศพและชันสูตรศพของเคาน์ตี้มากกว่า
ก่อนหักเลี้ยวเข้าบริเวณลานจอด เขายังอดมองไปทางอาคารหลังนั้นไม่ได้ ร่างของมาเรียคงอยู่ที่นั่นแล้วในเวลานี้ หญิงสูงวัยน่าสงสารที่ตลอดชีวิตประกอบแต่กรรมดี หล่อนไม่เคยคิดร้ายและไม่เคยทำร้ายใครเลย สบายใจอย่างหนึ่งว่าอย่างน้อยหล่อนก็ไม่ได้สิ้นใจอย่างโดดเดี่ยวอยู่กลางถนน อย่างน้อยเขาก็อยู่ที่นั่นด้วย
เท้าซึ่งกำลังผ่อนคันเร่งเพื่อเลี้ยวเข้าจอดชะงักไปนิดหนึ่งเมื่อจักรยานแบบเสือหมอบพุ่งปราดออกมาจากด้านหลังของตึกหลังใหญ่ คนซึ่งอยู่บนจักรยานดูตัวเล็กนิดเดียว ร่างเล็กๆ บางๆ นั้นมีเสื้อโค้ตสีน้ำตาลคลุมเสียมิดชิด บนหลังมีเป้สีน้ำเงิน ศีรษะสวมหมวกกันน็อก จึงมองไม่เห็นใบหน้า ที่ทำให้เขาแน่ใจว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลก็ตรงชายขากางเกงผ้าสีฟ้าซึ่งโผล่พ้นเสื้อโค้ตตัวใหญ่นั้นออกมา รองเท้าผ้าใบสีขาวที่สวมดูสว่างภายใต้แสงสีทองอ่อนจางยามรุ่งสาง
จักรยานคันนั้นอ้อมโค้งผ่านหน้าเขาไปอีกฝั่งถนน แล้วพุ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทันได้เห็นก็เพียงเสี้ยวหน้าที่โผล่พ้นหมวกกันน็อกออกมานิดเดียว นิดเดียวจริงๆ เพราะใบหน้านั้นดูเล็กมาก น่าจะเป็นผู้หญิง เขาคิดเช่นนั้น ผู้หญิงซึ่งทำงานที่นี่ คุ้นเคยกับที่นี่ จึงไม่หวาดกลัวที่จะถีบจักรยานคนเดียวท่ามกลางความว่างเปล่าของโรงพยาบาลในเวลาเช้าซึ่งยังไม่มีผู้คนให้เห็นเลยอย่างนี้
มีรถเพียงไม่กี่คันที่ลานจอดด้านหน้า จากที่จอดรถตรงนี้มองตรงไปเห็นตึกหลังเก่ารำไร สายตาเขาจับอยู่ที่นั่นขณะก้าวลงจากรถ ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม เหมือนเช่นที่เป็นเมื่อหลายสิบปีมาแล้ว มีความหลังมากมายอยู่ที่นั่น ความหลังซึ่งเกี่ยวข้องกับแม่และพ่อซึ่งเขารักและนับถือไม่ต่างอะไรจากพ่อที่แท้จริง พ่อซึ่งเลี้ยงเขานับแต่วันคลอดจนเติบใหญ่
แผนกคนไข้โรคมะเร็งอยู่ชั้นสาม ทางปีกซ้ายของตัวอาคารหลังใหญ่ เขาคุ้นเคยกับชั้นนั้นพอสมควร พอออกจากลิฟต์ก็รู้ว่าต้องเดินต่อไปทางไหน พยาบาลสองคนและผู้ช่วยกำลังจัดยา อีกคนนั่งอยู่บนเก้าอี้ กำลังดูอะไรบางอย่างบนจอคอมพิวเตอร์ หล่อนเงยหน้าขึ้นดูเมื่อเขาเดินผ่าน พอเห็นชัดๆ ว่าเป็นใครก็ส่งสายตาหยาดเยิ้มมาให้ เขาเพียงแต่ยิ้มบางๆ ที่มุมปากเป็นเชิงรับรู้มากกว่าอะไรอื่น เคยชินเสียแล้วกับสายตาลักษณะนั้นจากผู้หญิงสาว หรือแม้แต่ไม่สาวก็ตาม เขาไม่ได้ทักทาย ไม่คิดจะถามถึงอาการของคนไข้ที่มาเยี่ยม ในเมื่อรู้ดีอยู่แล้วว่าอีกไม่นาน...
ภายในห้องนั้นมืดเมื่อเขาเปิดประตูเข้าไป มีเพียงไฟดวงเล็กๆ ให้แสงสว่างเพียงเล็กน้อยบริเวณหัวเตียง ช่วยให้เห็นร่างผ่ายผอมที่กำลังหลับสนิท ตาลึกโหล เปลือกตาบางจนเห็นริ้วเส้นเลือด ขอบตาดำคล้ำ แก้มตอบ ริมฝีปากปราศจากสีเลือดนั้นแห้งผากและแตกเป็นขุย ไม่ต่างอะไรกับสองแขนผอมเกร็งที่ทอดยาวอยู่ข้างตัว บนศีรษะมีเส้นผมสีเงินปนทองเหลืออยู่เพียงหรอมแหรม สายพลาสติกใสเส้นเล็กๆ คล้องอยู่กับสองข้างหู ต่อมาถึงจมูกเพื่อให้ออกซิเจน ผ้าห่มถักลายละเอียดสีขาวนวลคลุมขึ้นมาถึงหน้าอกซึ่งกระเพื่อมขึ้นลงเป็นจังหวะ นั่นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่บอกให้รู้ว่าร่างนี้ยังมีลมหายใจ หากก็เบาเสียจนแทบดูไม่ออก
ภายในห้องเงียบกริบ มีก็เพียงเสียงบี๊บเบาๆ เป็นจังหวะสม่ำเสมอจากเครื่องตรวจสอบการเต้นของหัวใจข้างเตียง ตัวเลขดิจิตอลสีแดงบนเครื่องคงที่อยู่ที่หกสิบเจ็ด บางขณะขึ้นไปเป็นหกสิบเก้า แล้วตกกลับลงมาที่หกสิบเจ็ดอีกครั้ง เหนือขึ้นไปเป็นเสาโลหะแขวนถุงพลาสติก ภายในมีน้ำเกลือเหลือให้เห็นอยู่ครึ่งหนึ่ง มีสายพลาสติกต่อมาที่แขนขวาของผู้ป่วย
ร่างบนเตียงที่ผอมจนแทบเหลือแต่โครงกระดูกนั้นกำลังเรืองแสงขาวนวล แสงเรืองๆ ซึ่งเขาเป็นคนเดียวที่เห็นนั้นบัดนี้หมองหม่นและอ่อนจาง...สัญญาณบ่งบอกถึงจิตวิญญาณซึ่งใกล้แตกดับเต็มที เขารู้ดี
แตะหลังมือผอมๆ แผ่วเบา ในชั่วขณะแรกไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ หากก็เพียงครู่เดียว นัยน์ตาอ่อนล้าปรือขึ้นมอง เสียงครางแผ่วโหยลอดริมฝีปากซึ่งแทบไม่ขยับ
“เอริค...” เสียงนั้นราบเรียบ บ่งบอกความปลื้มอกปลื้มใจลึกซึ้ง “ดีใจที่คุณมา...”
“เช่นกัน แฟร้งค์”
ร่างสูงหนาทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ซึ่งวางอยู่ข้างเตียง พิจารณาดวงตาสีฟ้าอมเทาปราศจากประกาย ผิวหน้าเผือดสี ดูเผินๆ เหมือนมีแผ่นฟิล์มสีขุ่นเคลือบไว้
“ได้เวลาแล้วใช่ไหม”
เขาเงียบ ไม่ตอบคำถามนั้น หลับตาลงอย่างหดหู่เมื่อได้ยินประโยคต่อมา คราวนี้ปลายเสียงคนพูดสั่นเครือ
“วิลลี่จะเป็นยังไงบ้าง”
เขารู้ว่าแกถามถึงหลานคนไหนในบรรดาหลานแปดคนที่มี หลานคนนั้นติดยาเสพติดมานานปี คนดีมักคิดถึงคนอื่นมากกว่าตัวเองเสมอแม้ในเวลาที่กำลังจะหมดลมหายใจ เท่าที่เขาเห็นมาจะเป็นอย่างนั้นทุกครั้ง
“อย่าห่วงเลย แฟร้งค์ วิลลี่จะเลิกยาได้ แต่อาจต้องใช้เวลา”
มีเสียงเหมือนถอนใจยาวเป็นคำตอบ ก่อนมาถึงคนต่อมา
“เทเรซ่าจะเป็นยังไงบ้าง” คนป่วยหมายถึงภรรยาวัยเดียวกันของตัว
“เทเรซ่าจะตามคุณไปไม่ช้านี้”
“เธอจะทรมานไหม”
“ไม่เลย แฟร้งค์ เทเรซ่าจะไม่ทรมาน”
มีเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกอีกครั้ง
“เมื่อถึงเวลาของเทเรซ่า คุณจะไปอยู่กับเธอเหมือนที่คุณอยู่กับผมตอนนี้ได้ไหม ช่วยจับมือเธอแทนผม เธอจะได้ไม่กลัว” เสียงขอร้องนั้นเงียบไปครู่หนึ่ง เหมือนคนพูดกล้ำกลืนอะไรบางอย่าง “เทเรซ่ากลัวโน่นกลัวนี่ทุกครั้ง” ประโยคท้ายสั่นเครือขึ้นมาอีก
“ผมจะพยายาม แฟร้งค์ ผมจะพยายาม หลับให้สบายเถอะ อย่ากลัว ไม่มีอะไรต้องกลัว อย่าห่วง ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงอีกแล้ว” เสียงทุ้มนุ่มนวลปลอบประโลม เหมือนเช่นทุกครั้งที่เขาทำหน้าที่นี้
เสียงบี๊บจากเครื่องตรวจสอบการเต้นของหัวใจคนไข้ข้างตัวเขารัวถี่ขึ้นอย่างกะทันหัน ชายหนุ่มหันขวับไปดู เห็นไฟแดงกะพริบถี่ๆ ตัวเลขดิจิตอลบอกระดับการเต้นของหัวใจซึ่งเมื่อครู่คงที่ เวลานี้กำลังลดลงอย่างรวดเร็ว กลายเป็นห้าสิบหก...ห้าสิบห้า...ห้าสิบสาม...และยังลดลงเรื่อยๆ
ร่างสูงใหญ่ขยับลุกจากเก้าอี้ ก้มลงกระซิบที่ข้างหูคนป่วยซึ่งจิตวิญญาณกำลังหลุดลอย
“ไปกับพระเจ้าเถอะนะ แฟร้งค์ ไม่มีอะไรต้องห่วงอีกแล้ว เทเรซ่าจะตามคุณไปไม่ช้านี้”
ชายหนุ่มกลับยืดตัวขึ้นเต็มความสูง วางมือทาบลงบนหลังมือเหี่ยวย่นมีเส้นเลือดปูดโปนอีกครั้ง คราวนี้บีบเบาๆ ก่อนหันไปทางประตูเมื่อพยาบาลและผู้ช่วยผลุนผลันเปิดเข้ามา เขาถอยห่างออกมาจากเตียงแล้วเลี่ยงออกจากห้องไปโดยไม่มีใครสังเกตเห็น
รอยบรรพ์ (บทที่ 1)
ขอบคุณ คุณ jazzzero, คุณ ฮิปโปโปตัวโตพุงโลชะมัด, คุณ ป้าทุยบ้านทุ่ง, คุณนัน turtle_cheesecake, คุณลิ ลายลิขิต, คุณ คาราเมล มัคเคียโต, น้องดาว Lady Star 919, จารย์จี GTW, คุณออม ออมอำพัน, คุณ เป่าชาง, คุณ เพ็ญพิชญา
ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวตด้วยค่ะ
บทก่อนหน้าค่ะ
https://pantip.com/topic/36127426
แสงอรุณเพิ่งจับขอบฟ้าได้ไม่นานเมื่อเขาเลี้ยวรถเข้าบริเวณโรงพยาบาล จะว่านี่คือสถานที่ซึ่งคุ้นเคยก็คงได้ เขาลืมตาดูโลกที่นี่ เมื่อสามสิบปีมาแล้ว เมื่อครั้งที่โรงพยาบาลแห่งนี้เป็นเพียงตึกหลังเดียวบนพื้นที่ว่างกว้างขวาง เวลานี้ตึกหลังนั้นลดความสำคัญลงมาก เหตุก็เพราะมีอีกหลังสร้างขึ้นแทนที่ ตึกหลังใหญ่เจ็ดชั้นนั้นสร้างขึ้นทางซีกซ้าย เยื้องมาตอนหน้าของหลังเก่า
ไกลออกไปทางฝั่งซ้ายของตึกทั้งสองหลังเป็นอาคารสองชั้นรูปทรงเรียบๆ ดูไกลๆ เหมือนกล่องสีเหลี่ยมสีน้ำตาล อาคารหลังนั้นสร้างเมื่อกว่าสิบปีมาแล้ว มิใช่เป็นส่วนหนึ่งของโรงพยาบาลเสียทีเดียว หากเป็นสถานที่เก็บศพและชันสูตรศพของเคาน์ตี้มากกว่า
ก่อนหักเลี้ยวเข้าบริเวณลานจอด เขายังอดมองไปทางอาคารหลังนั้นไม่ได้ ร่างของมาเรียคงอยู่ที่นั่นแล้วในเวลานี้ หญิงสูงวัยน่าสงสารที่ตลอดชีวิตประกอบแต่กรรมดี หล่อนไม่เคยคิดร้ายและไม่เคยทำร้ายใครเลย สบายใจอย่างหนึ่งว่าอย่างน้อยหล่อนก็ไม่ได้สิ้นใจอย่างโดดเดี่ยวอยู่กลางถนน อย่างน้อยเขาก็อยู่ที่นั่นด้วย
เท้าซึ่งกำลังผ่อนคันเร่งเพื่อเลี้ยวเข้าจอดชะงักไปนิดหนึ่งเมื่อจักรยานแบบเสือหมอบพุ่งปราดออกมาจากด้านหลังของตึกหลังใหญ่ คนซึ่งอยู่บนจักรยานดูตัวเล็กนิดเดียว ร่างเล็กๆ บางๆ นั้นมีเสื้อโค้ตสีน้ำตาลคลุมเสียมิดชิด บนหลังมีเป้สีน้ำเงิน ศีรษะสวมหมวกกันน็อก จึงมองไม่เห็นใบหน้า ที่ทำให้เขาแน่ใจว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลก็ตรงชายขากางเกงผ้าสีฟ้าซึ่งโผล่พ้นเสื้อโค้ตตัวใหญ่นั้นออกมา รองเท้าผ้าใบสีขาวที่สวมดูสว่างภายใต้แสงสีทองอ่อนจางยามรุ่งสาง
จักรยานคันนั้นอ้อมโค้งผ่านหน้าเขาไปอีกฝั่งถนน แล้วพุ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทันได้เห็นก็เพียงเสี้ยวหน้าที่โผล่พ้นหมวกกันน็อกออกมานิดเดียว นิดเดียวจริงๆ เพราะใบหน้านั้นดูเล็กมาก น่าจะเป็นผู้หญิง เขาคิดเช่นนั้น ผู้หญิงซึ่งทำงานที่นี่ คุ้นเคยกับที่นี่ จึงไม่หวาดกลัวที่จะถีบจักรยานคนเดียวท่ามกลางความว่างเปล่าของโรงพยาบาลในเวลาเช้าซึ่งยังไม่มีผู้คนให้เห็นเลยอย่างนี้
มีรถเพียงไม่กี่คันที่ลานจอดด้านหน้า จากที่จอดรถตรงนี้มองตรงไปเห็นตึกหลังเก่ารำไร สายตาเขาจับอยู่ที่นั่นขณะก้าวลงจากรถ ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม เหมือนเช่นที่เป็นเมื่อหลายสิบปีมาแล้ว มีความหลังมากมายอยู่ที่นั่น ความหลังซึ่งเกี่ยวข้องกับแม่และพ่อซึ่งเขารักและนับถือไม่ต่างอะไรจากพ่อที่แท้จริง พ่อซึ่งเลี้ยงเขานับแต่วันคลอดจนเติบใหญ่
แผนกคนไข้โรคมะเร็งอยู่ชั้นสาม ทางปีกซ้ายของตัวอาคารหลังใหญ่ เขาคุ้นเคยกับชั้นนั้นพอสมควร พอออกจากลิฟต์ก็รู้ว่าต้องเดินต่อไปทางไหน พยาบาลสองคนและผู้ช่วยกำลังจัดยา อีกคนนั่งอยู่บนเก้าอี้ กำลังดูอะไรบางอย่างบนจอคอมพิวเตอร์ หล่อนเงยหน้าขึ้นดูเมื่อเขาเดินผ่าน พอเห็นชัดๆ ว่าเป็นใครก็ส่งสายตาหยาดเยิ้มมาให้ เขาเพียงแต่ยิ้มบางๆ ที่มุมปากเป็นเชิงรับรู้มากกว่าอะไรอื่น เคยชินเสียแล้วกับสายตาลักษณะนั้นจากผู้หญิงสาว หรือแม้แต่ไม่สาวก็ตาม เขาไม่ได้ทักทาย ไม่คิดจะถามถึงอาการของคนไข้ที่มาเยี่ยม ในเมื่อรู้ดีอยู่แล้วว่าอีกไม่นาน...
ภายในห้องนั้นมืดเมื่อเขาเปิดประตูเข้าไป มีเพียงไฟดวงเล็กๆ ให้แสงสว่างเพียงเล็กน้อยบริเวณหัวเตียง ช่วยให้เห็นร่างผ่ายผอมที่กำลังหลับสนิท ตาลึกโหล เปลือกตาบางจนเห็นริ้วเส้นเลือด ขอบตาดำคล้ำ แก้มตอบ ริมฝีปากปราศจากสีเลือดนั้นแห้งผากและแตกเป็นขุย ไม่ต่างอะไรกับสองแขนผอมเกร็งที่ทอดยาวอยู่ข้างตัว บนศีรษะมีเส้นผมสีเงินปนทองเหลืออยู่เพียงหรอมแหรม สายพลาสติกใสเส้นเล็กๆ คล้องอยู่กับสองข้างหู ต่อมาถึงจมูกเพื่อให้ออกซิเจน ผ้าห่มถักลายละเอียดสีขาวนวลคลุมขึ้นมาถึงหน้าอกซึ่งกระเพื่อมขึ้นลงเป็นจังหวะ นั่นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่บอกให้รู้ว่าร่างนี้ยังมีลมหายใจ หากก็เบาเสียจนแทบดูไม่ออก
ภายในห้องเงียบกริบ มีก็เพียงเสียงบี๊บเบาๆ เป็นจังหวะสม่ำเสมอจากเครื่องตรวจสอบการเต้นของหัวใจข้างเตียง ตัวเลขดิจิตอลสีแดงบนเครื่องคงที่อยู่ที่หกสิบเจ็ด บางขณะขึ้นไปเป็นหกสิบเก้า แล้วตกกลับลงมาที่หกสิบเจ็ดอีกครั้ง เหนือขึ้นไปเป็นเสาโลหะแขวนถุงพลาสติก ภายในมีน้ำเกลือเหลือให้เห็นอยู่ครึ่งหนึ่ง มีสายพลาสติกต่อมาที่แขนขวาของผู้ป่วย
ร่างบนเตียงที่ผอมจนแทบเหลือแต่โครงกระดูกนั้นกำลังเรืองแสงขาวนวล แสงเรืองๆ ซึ่งเขาเป็นคนเดียวที่เห็นนั้นบัดนี้หมองหม่นและอ่อนจาง...สัญญาณบ่งบอกถึงจิตวิญญาณซึ่งใกล้แตกดับเต็มที เขารู้ดี
แตะหลังมือผอมๆ แผ่วเบา ในชั่วขณะแรกไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ หากก็เพียงครู่เดียว นัยน์ตาอ่อนล้าปรือขึ้นมอง เสียงครางแผ่วโหยลอดริมฝีปากซึ่งแทบไม่ขยับ
“เอริค...” เสียงนั้นราบเรียบ บ่งบอกความปลื้มอกปลื้มใจลึกซึ้ง “ดีใจที่คุณมา...”
“เช่นกัน แฟร้งค์”
ร่างสูงหนาทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ซึ่งวางอยู่ข้างเตียง พิจารณาดวงตาสีฟ้าอมเทาปราศจากประกาย ผิวหน้าเผือดสี ดูเผินๆ เหมือนมีแผ่นฟิล์มสีขุ่นเคลือบไว้
“ได้เวลาแล้วใช่ไหม”
เขาเงียบ ไม่ตอบคำถามนั้น หลับตาลงอย่างหดหู่เมื่อได้ยินประโยคต่อมา คราวนี้ปลายเสียงคนพูดสั่นเครือ
“วิลลี่จะเป็นยังไงบ้าง”
เขารู้ว่าแกถามถึงหลานคนไหนในบรรดาหลานแปดคนที่มี หลานคนนั้นติดยาเสพติดมานานปี คนดีมักคิดถึงคนอื่นมากกว่าตัวเองเสมอแม้ในเวลาที่กำลังจะหมดลมหายใจ เท่าที่เขาเห็นมาจะเป็นอย่างนั้นทุกครั้ง
“อย่าห่วงเลย แฟร้งค์ วิลลี่จะเลิกยาได้ แต่อาจต้องใช้เวลา”
มีเสียงเหมือนถอนใจยาวเป็นคำตอบ ก่อนมาถึงคนต่อมา
“เทเรซ่าจะเป็นยังไงบ้าง” คนป่วยหมายถึงภรรยาวัยเดียวกันของตัว
“เทเรซ่าจะตามคุณไปไม่ช้านี้”
“เธอจะทรมานไหม”
“ไม่เลย แฟร้งค์ เทเรซ่าจะไม่ทรมาน”
มีเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกอีกครั้ง
“เมื่อถึงเวลาของเทเรซ่า คุณจะไปอยู่กับเธอเหมือนที่คุณอยู่กับผมตอนนี้ได้ไหม ช่วยจับมือเธอแทนผม เธอจะได้ไม่กลัว” เสียงขอร้องนั้นเงียบไปครู่หนึ่ง เหมือนคนพูดกล้ำกลืนอะไรบางอย่าง “เทเรซ่ากลัวโน่นกลัวนี่ทุกครั้ง” ประโยคท้ายสั่นเครือขึ้นมาอีก
“ผมจะพยายาม แฟร้งค์ ผมจะพยายาม หลับให้สบายเถอะ อย่ากลัว ไม่มีอะไรต้องกลัว อย่าห่วง ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงอีกแล้ว” เสียงทุ้มนุ่มนวลปลอบประโลม เหมือนเช่นทุกครั้งที่เขาทำหน้าที่นี้
เสียงบี๊บจากเครื่องตรวจสอบการเต้นของหัวใจคนไข้ข้างตัวเขารัวถี่ขึ้นอย่างกะทันหัน ชายหนุ่มหันขวับไปดู เห็นไฟแดงกะพริบถี่ๆ ตัวเลขดิจิตอลบอกระดับการเต้นของหัวใจซึ่งเมื่อครู่คงที่ เวลานี้กำลังลดลงอย่างรวดเร็ว กลายเป็นห้าสิบหก...ห้าสิบห้า...ห้าสิบสาม...และยังลดลงเรื่อยๆ
ร่างสูงใหญ่ขยับลุกจากเก้าอี้ ก้มลงกระซิบที่ข้างหูคนป่วยซึ่งจิตวิญญาณกำลังหลุดลอย
“ไปกับพระเจ้าเถอะนะ แฟร้งค์ ไม่มีอะไรต้องห่วงอีกแล้ว เทเรซ่าจะตามคุณไปไม่ช้านี้”
ชายหนุ่มกลับยืดตัวขึ้นเต็มความสูง วางมือทาบลงบนหลังมือเหี่ยวย่นมีเส้นเลือดปูดโปนอีกครั้ง คราวนี้บีบเบาๆ ก่อนหันไปทางประตูเมื่อพยาบาลและผู้ช่วยผลุนผลันเปิดเข้ามา เขาถอยห่างออกมาจากเตียงแล้วเลี่ยงออกจากห้องไปโดยไม่มีใครสังเกตเห็น