รอยบรรพ์ (บทนำ)

คุ้มสีทองจบแล้ว ยังอยู่ในโหมดอะไรที่เหนือธรรมชาติ ก็เลยขอต่อด้วยเรื่องนี้นะคะ เรื่องนี้เคยโพสต์ที่ถนนนักเขียนเมื่อนานมาแล้วค่ะ เรื่องนี้พิมพ์รวมเล่มกับสำนักพิมพ์พิมพ์คำเมื่อนานมาแล้วเหมือนกัน ตอนนี้หมดสัญญาลิขสิทธิ์ไปแล้ว ก็เลยมาลงไว้ที่นี่อีกรอบ ตอนที่โพสต์ที่นี่เป็นแบบเขียนไปพลางโพสต์ไปพลางก็เลยเพ้อเจ้อเสียเยอะ ตอนส่งต้นฉบับให้สำนักพิมพ์ก็เลยตัดออกเยอะเพื่อให้กระชับขึ้น ฉากทั้งหมดในเรื่องนี้มาจากสถานที่ที่คุ้นเคยค่ะ ก็เลยไม่เป็นแบบดำน้ำไม่ค่อยยอมโผล่เหมือนคุ้มสีทอง


รอยบรรพ์

บทนำ



    “ข้ามถนนระวังๆ หน่อยนะ มาเรีย” คนขับรถเมล์ตะโกนบอกด้วยคำเตือนเดิมๆ เช่นทุกครั้งเมื่อจอดป้ายนี้ในเวลาห้าทุ่ม

    ผู้โดยสารคนเกือบสุดท้ายยกมือข้างหนึ่งขึ้นโบกแสดงว่ารับรู้ อีกมือยึดราวโลหะที่บานประตูเพื่อประคองตัวขณะก้าวลงบันได หล่อนโบกลาอีกครั้งหลังจากที่ลงมายืนบนบาทวิถีเต็มสองเท้าแล้ว มองประตูบานพับของรถประจำทางเลื่อนปิด มาเรียเข้าใจความหมายของประโยคที่ได้ยินซ้ำๆ ซากๆ นั้นได้ดี ในเมื่อได้รับคำเตือนแบบเดียวกันนี้แทบทุกคืน

    คอยจนรถเมล์ผ่านหน้าไปก่อน หล่อนเหลียวมองซ้ายขวาตามความเคยชิน ทั้งๆ ที่เห็นอยู่แล้วว่ามีรถสีแดงแล่นอยู่ฝั่งตรงข้ามถนนเพียงคันเดียว มีรถสีเข้มคันหนึ่งจอดอยู่ฝั่งนั้นด้วย หล่อนเพิ่งสังเกตเห็น และเพิ่งเห็นด้วยว่ามีร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ข้างๆ...ในเงามืด เป็นร่างดำตะคุ่มๆ ที่พอดูออกเพียงว่าเป็นผู้ชายเพราะทั้งสูงทั้งหนาเกินกว่าจะเป็นผู้หญิง และที่ทำให้หนาวๆ ร้อนๆ ก็เมื่อแน่ใจว่าเขากำลังมองตรงมาทางนี้

    มาเรียลังเลที่จะข้ามไปฝั่งนั้นในทันที เท้าซึ่งกำลังก้าวลงจากบาทวิถีชะงักเมื่อได้ยินเสียงเครื่องยนต์รถดังกระหึ่มมาจากที่ไกลพร้อมๆ กับเสียงร้องโหวกเหวกของผู้ชาย หล่อนถอยหลังห่างจากขอบฟุตบาทด้วยสัญชาตญาณ

รถบรรทุกคันไม่ใหญ่นักหักเลี้ยวหัวมุมถนนมาด้วยความเร็วสูงจนน่ากลัว มีเสียงล้อรถบดผิวถนนดังสนั่น ประสานกับเสียงตะโกนบอกอะไรบางอย่างมาจากกระบะตอนหลัง ใครคนหนึ่งปาขวดเปล่าลงมากระทบพื้นลาดซีเมนต์แตกกระจายตรงที่หล่อนยืนพอดี ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หากเป็นความจงใจ หล่อนรู้ดี

สำหรับหล่อนแล้ว รถซึ่งมีคนเมาขับและคนเมานั่งกันมาเต็มคันนั้นน่ากลัวเสียยิ่งกว่าผู้ชายที่ยืนสงบนิ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามถนนเสียอีก

    ระยะทางจากป้ายรถเมล์นี้ไปบ้านพักที่หล่อนอาศัยอยู่รวมกับเพื่อนร่วมชาติอีกเจ็ดคนนั้นไม่ไกลเลย เพียงตัดเข้าตรอกแคบๆ ระหว่างตัวอาคารตึกแถวสองชั้นฝั่งนั้นไปออกอีกด้านก็ถึงแล้ว ในเวลากลางวันแถวนี้ไม่น่ากลัวเพราะมีผู้คนพลุกพล่าน

    รถกระบะคันนั้นผ่านไปแล้วโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีใครลงมาไล่ต้อนหน้าต้อนหลังหล่อนอย่างคึกคะนองให้หวาดกลัวอีก

    มาเรียกระชับกระเป๋าสะพายใบใหญ่ที่คล้องไว้กับแขน แล้วก้าวลงบนถนนอีกครั้งพร้อมๆ กับเสียงรถอีกคันหรือสองคันดังมาแต่ไกล รถคันนั้นใกล้เข้ามาเร็วผิดปกติ หล่อนสาวเท้าให้เร็วขึ้นอีก

อยู่ดีๆ แสงสว่างจ้าจากไฟหน้าหม้อรถวาบขึ้นอย่างกะทันหัน มาเรียหันขวับไปดู ตะลึงจังงังเมื่อแสงจากไฟสูงนั้นพุ่งเข้าหน้าพอดี มันจัดจ้าจนตาพร่า หล่อนยกแขนขึ้นป้องหน้าด้วยสัญชาตญาณ ไม่รู้ตัวเลยว่าความตระหนกนั้นทำให้เท้าหยุดก้าวเดิน ใจคิดว่าอย่างไรเสียรถคันนั้นก็จะหยุดเมื่อเห็นหล่อน หรือลดความเร็วลง หรืออย่างน้อยก็เบี่ยงหลบไปอีกด้าน

หากก็ผิดคาด รถไม่ชะลอความเร็วแม้แต่น้อย กลับพุ่งเข้าหาเร็วเสียจนตั้งหลักไม่ทัน ร่างอวบท้วมยืนตัวแข็งอยู่ตรงนั้นเอง ตาปิดแน่น ปากเพรียกพร่ำหาพระเจ้า ใจคิดถึงลูกและหลานที่กำลังคอยหล่อนกลับไปหาไม่วันใดก็วันหนึ่งข้างหน้า เวลานี้รู้ว่าวันนั้นมาไม่ถึงอีกแล้ว

แรงกระแทกพาเอาหล่อนลอยขึ้นไปบนหน้าหม้อรถ ปะทะเข้ากับกระจกหน้าจนแตกร้าว รถคันนั้นปัดเป๋ออกนอกทางเมื่อคนขับหักพวงมาลัยเพราะตกใจ เหวี่ยงเอาร่างที่อ่อนปวกเปียกไปแล้วหล่นกลับลงบนพื้นถนน…บนทางวิ่งของรถอีกคันซึ่งตามหลังมาติดๆ

มีเสียงร้องเอะอะเมื่อรถกระบะซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าวิ่งทับลงบนส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างที่หักพับอยู่กับพื้น

ตั้งสติได้ คนขับทั้งสองคันพุ่งรถเลยไปโดยไม่แม้แต่จะเหลียวหลังมาดูผลงานของตัวเอง

มาเรียนอนคุดคู้จมกองเลือดอยู่กลางถนน ปวดร้าวไปทั้งตัว พยายามขยับขาเพื่อจะลุกยืน แต่ขาทั้งสองข้างหนักอึ้ง แรกๆ ชาหนึบ ต่อมาความเจ็บปวดรุนแรงพุ่งปราดไปทั่วบริเวณนั้น เจ็บจนต้องครางออกมาเบาๆ มีอะไรเหลวๆ อยู่ในโพรงจมูก ทำให้หายใจลำบากขึ้นทุกที

หากเพียงไม่นานความเจ็บปวดก็ค่อยๆ เลือนหายไป พร้อมๆ กับเสียงทุ้มนุ่มนวลปลอบประโลม หล่อนพยายามเงี่ยหูฟัง พยายามจับใจความและทำความเข้าใจ

“มาเรีย...”

เขารู้ชื่อหล่อน รู้ได้อย่างไร

“...อย่ากลัว ไม่มีอะไรต้องกลัวอีกแล้ว”

ตอนนี้หล่อนรู้สึกว่าทั้งตัวเบาหวิว สบายขึ้นมากแล้ว พยายามหันไปดูตามเสียง พยายามพลิกศีรษะซึ่งเมื่อครู่ปวดร้าวจนแทบปริไปทางนั้น เห็นร่างสูงๆ นั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้ ผู้ชายคนนั้นเอง คนที่หล่อนเห็นยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามถนน ความสงบเหมือนจะตามเขามาด้วย

“ฉันตายแล้วใช่ไหม”

หล่อนถาม และเขาก็ไม่ตอบ หล่อนจึงถามต่อ

“คุณเป็นใคร”

เขายังไม่ตอบอยู่เช่นเดิม ร่างสูงทรุดนั่งลงเข่าข้างเดียวใกล้ๆ

คราวนี้หล่อนเห็นหน้าเขาชัดเจน ใบหน้านั้นงดงามเกือบผิดเพศ รูปหน้ายาวรีลงมาจบที่คางออกเหลี่ยม ดูแกร่งทีเดียว จมูกตั้งสันตรง เห็นเป็นเงาในความสลัว ริมฝีปากบาง หยักได้รูปสวย ที่สะดุดตาที่สุดไม่มีอะไรเกินดวงตาคู่นั้น ดวงตาสีแปลก เป็นสีออกเทา ใสจนส่งประกาย

“ลา ซานติซซิมา มุยเอเต้*?”  หล่อนอุทาน แน่ใจว่าเขาคือนักบุญแห่งความตายตามความเชื่อของผู้คนในประเทศที่จากมาแสนนาน

“ไม่ใช่หรอก มาเรีย” เขายิ้มอ่อนโยน “ไม่ใช่”

“ฉันห่วงลูกกับหลาน” นั่นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ยังค้างคาอยู่ในใจ

มือใหญ่ๆ เลื่อนมาบริเวณศีรษะหล่อน แต่ก็ชะงักเสียกลางคัน รีบดึงกลับเหมือนคิดอะไรขึ้นได้

“อย่าห่วงเลย ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงอีกแล้ว ไปกับพระเจ้าเถอะนะ” เขาว่า “อย่าห่วงอะไรอีกเลย”

ด้วยคำพูดนั้นของเขา รอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นที่มุมปากซึ่งเริ่มซีดลงตามลำดับ ตาปรือปิดสนิทพร้อมๆ กับผ่อนลมหายใจสุดท้าย
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่