รอยบรรพ์ (บทที่ 2)

ขอบคุณทุกคนที่อ่านเรื่องนี้นะคะ
ขอบคุณ คุณซูซี่ Susisiri, คุณ สมาชิกหมายเลข 1092825, คุณ jazzzero, คุณ ฮิปโปโปตัวโตพุงโลชะมัด, น้องดาว Lady Star 919, คุณ สมาชิกหมายเลข 1065771, คุณ ทัดทาน 2539, คุณนัน turtle_cheesecake, จารย์จี GTW, คุณลิ ลายลิขิต, คุณ เป่าซาง, คุณออม ออมอำพัน, เสี่ย kasareev, คุณ เพ็ญพิชญา, คุณ คาราเมล มัคเคียโต
ขอบคุณทุกคะแนนโหวตด้วยค่ะ

บทก่อนหน้าค่ะ
บทนำ   https://pantip.com/topic/36127426
บทที่ 1  https://pantip.com/topic/36134360

บทนี้พระเอกกับนางเอกมาเจอกันในที่สุดค่ะ หลังจากสวนกันไปมาอยู่พักหนึ่ง


บทที่ 2



ห้องชันสูตรศพมีกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อผสมกับฟอร์มาลิน เป็นห้องซึ่งไม่มีหน้าต่าง แม้จะมีระบบระบายอากาศดีพอใช้แล้วก็ยังไม่วายมีกลิ่นไม่พึงประสงค์วนเวียนอยู่ภายในได้ทุกเมื่อเชื่อวัน คนซึ่งทำงานประจำอยู่ที่นี่คุ้นชินกับมันจนเห็นเป็นเรื่องปกติไปแล้ว

    วาดตะวันผลักประตูเข้ามาอย่างเร่งร้อน แทบปะทะกับนักสืบหนุ่มที่ยืนคอยผลการชันสูตรศพอยู่ตรงนั้นพอดี เขารีบยกถ้วยกาแฟในมือขึ้นสูงเพื่อไม่ให้กระฉอก เธอทำคอย่น พึมพำคำขอโทษเบาๆ พร้อมกับยิ้มให้นิดหนึ่งเป็นเชิงทักทาย แต่พอเห็นสายตากรุ้มกริ่มตอบกลับมาก็เบือนหน้าไปทางอื่นเสีย เสผูกสายเสื้อคลุมกันเปื้อนสีเขียวที่สวมเข้ามาด้วย ได้เรื่องอีก เมื่อฝ่ายนั้นโยนถ้วยกาแฟลงในถังขยะแล้วตรงรี่เข้ามาช่วย

    “คิดแล้วว่าคุณจะต้องมา” เขาบอกเบาๆ เพื่อให้ได้ยินกันเพียงสองคน

    เสียงห้าวๆ ของหมอไรเลย์ขัดจังหวะขึ้นเสียก่อนจะได้เจรจาอะไรกันต่อ แพทย์สูงวัยผู้มีตำแหน่งสูงที่สุดในอาคารหลังนี้กำลังมองตรงมา มือกดหยุดเครื่องบันทึกเสียงซึ่งห้อยลงมาจากเพดานห้องไว้ชั่วคราว

“มาถึงพอดี หมอตะวัน มาเลย…มาเลย”

    วาดตะวันเปิดตู้เหนือเคาน์เตอร์ หยิบหน้ากากซึ่งมีกระบังหน้าเป็นพลาสติกใสมาสวม ดึงถุงมือยางจากกล่องกระดาษแข็งบนเคาน์เตอร์ สะบัดสองสามครั้งตามความเคยชิน ก่อนสอดนิ้วเข้าไป ไม่รู้เหมือนกันว่าจะสะบัดไปทำไม ช่วยให้สวมง่ายขึ้นอย่างที่คิดจริงๆ หรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ แต่ก็ทำอย่างนั้นทุกที ดึงอีกคู่มาสวมทับตามที่ปฏิบัติกันจนเป็นธรรมเนียม

    ร่างอวบบนโต๊ะชันสูตรนั้นเปลือยเปล่า มีร่องรอยบาดแผลยับไปทั้งตัว ตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้าเลยทีเดียว มีทั้งแผลเปิดซึ่งเลือดหยุดไปแล้ว เรื่อยไปจนถึงแผลฟกช้ำทั่วไปหมด

    “มาเรีย เฮอร์นันเดซ ถูกรถชนเมื่อคืนนี้ เวลาตายกะประมาณว่าระหว่างห้าทุ่มถึงตีหนึ่ง” หมอสูงวัยบอกคร่าวๆ ให้รู้ ก่อนเปิดเทปบันทึกเสียงให้ทำงานดังเดิม

    “เป็นผู้หญิงฮิสแปนิก* อายุสี่สิบเจ็ด สูงห้าฟุต หนักประมาณร้อยสามสิบหกถึงร้อยสี่สิบปอนด์ มีสุขภาพดี มือ...กระด้าง แสดงว่าทำงานประเภทใช้แรงงาน” พลิกมือขวาซึ่งข้อนิ้วปูดโปนและผิวที่ฝ่ามือหยาบกระด้าง แล้วชี้ให้ดูที่ต้นขาของคนตาย

    “รอยแผลเป็นที่ต้นขาซ้าย คงเคยผ่าตัดอะไรมาสักอย่าง ช่วยพลิกข้างหลังหน่อยเถอะ”

แพทย์สาวกุลีกุจอเข้าทำตามคำขอนั้นอย่างช่ำชอง

“มีรอยถลอกที่แผ่นหลัง เป็นทางยาวลงไปถึงสะโพก” แพทย์สูงวัยกรอกเสียงลงในเครื่องบันทึก “ยาวประมาณ...” หยิบไม้บรรทัดโลหะซึ่งวางอยู่ในถาดบนรถเข็นข้างโต๊ะชันสูตรมาวัด “...ยี่สิบเจ็ดนิ้ว”

    แกผงกศีรษะเป็นสัญญาณว่าให้ช่วยกันพลิกศพกลับนอนหงายดังเดิม

    “เอาเลยหมอ ศพนี้ของคุณ”

    วาดตะวันยิ้มรับข้อเสนอนั้นอย่างยินดี พร้อมกับบรรยายสภาพบาดแผลที่เห็นด้วยตัวเอง

    “ซี่โครงซี่ที่สามและสี่มีรอยแตก กระดูกสันอกแตก หัวใจมีรอยช้ำ เส้นเลือดใหญ่จากหัวใจฉีกขาด…สภาพทั่วไปของหัวใจ...ปกติ...หัวใจผู้ตายหนักสิบออนซ์...”

    นายตำรวจหนุ่มขยับเข้ามาใกล้ขึ้นอีก ร่างสูงๆ ยืนค้ำอยู่ข้างหลังหญิงสาว ชะโงกหน้าผ่านศีรษะเล็กๆ มาดูอย่างเงียบเชียบ หมอไรเลย์เคร่งครัดนักหนาเรื่องให้ความเคารพผู้ตาย ระหว่างผ่าศพจะคุยเล่นกันไม่ได้ เวลาแตะต้องศพก็ต้องเป็นไปอย่างสำรวมและละมุนละม่อม แม้คนตายจะไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรแล้วก็ตาม นั่นคือกฎของห้องชันสูตรแห่งนี้ที่ทุกคนจะต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

    “เส้นเลือดดูสะอาดเป็นปกติดี” เธอกรอกเสียงลงในเครื่องบันทึก “ม้ามแตกและมีเลือดออกมาก”

    จากนั้นก็ถึงคิวของลำไส้เล็ก ชำแหละเอากระเพาะอาหาร ตับอ่อน และตับออกมาพร้อมกันทีเดียว

หลังตรวจอวัยวะภายในช่องท้องหมดแล้ว ก็มาถึงสมอง จะต้องเปิดกระโหลกศีรษะเอาเนื้อสมองออกมาล้างเลือดออกด้วยน้ำเกลือเพื่อตรวจดูได้ง่ายขึ้น จากนั้นก็แช่สมองไว้ในถังฟอร์มาลินอาทิตย์หนึ่ง ก่อนเอามาเฉือนบางๆ เพื่อตรวจด้วยกล้องอีกครั้ง

เกือบสองชั่วโมงกว่าการชันสูตรศพหญิงเคราะห์ร้ายจะเสร็จเรียบร้อย แพทย์สาวแทบล้มทั้งยืนเมื่อเพิ่งรู้ตัวว่าไม่ได้พักผ่อนอย่างเพียงพอมากว่าสองวันกับสองคืนติดกันแล้ว และนับตั้งแต่เย็นวานจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยแม้แต่อย่างเดียว พอมายืนหายใจเอากลิ่นเลือดเข้าไปเป็นเวลานานจึงเริ่มวิงเวียน

นายแพทย์สูงวัยสังเกตเห็นใบหน้าที่เผือดสี และอาการเซน้อยๆ เมื่อเธอผละออกห่างจากโต๊ะชันสูตร แกออกปากเตือน

“กลับไปพักเถอะหมอตะวัน ดูท่าทางจะไม่ไหวแล้วนี่ ที่เหลือผมจัดการเอง คืนนี้ก็จะอยู่เวรอีกไม่ใช่หรือ”

วาดตะวันได้แต่ผงกศีรษะ ดึงถุงมือยางออกจากมือพร้อมกันทั้งสองคู่ โยนทิ้งลงในถังขยะหน้าเคาน์เตอร์ ล้างมือเพียงลวกๆ เมื่อรู้สึกชัดขึ้นทุกทีว่าแม้แต่ยืนก็แทบไม่ไหวแล้ว ดึงหน้ากากออกวางทิ้งไว้บนเคาน์เตอร์ จะมีคนจัดการเก็บไปในภายหลัง ปลดเสื้อคลุมโยนลงในถุงเสื้อผ้าใช้แล้ว

เธอแวะเปลี่ยนรองเท้าที่ห้องเล็กๆ ข้างห้องชันสูตร ดึงถุงผ้าสีฟ้าที่ใช้สวมแทนรองเท้าออกโยนใส่ถังขยะ มีนายตำรวจหนุ่มติดตามเข้ามาด้วย

“เฮ้! หมอตะวัน” เขาร้องเรียกเมื่อร่างซึ่งเล็กกว่ามากก้าวฉับๆ ออกจากห้องเหมือนจะหนี “กินอะไรรึยัง ผมเลี้ยงอาหารเช้าไหม”

แพทย์สาวตวัดสายตาขึ้นดูนิดหนึ่ง ยังไม่ยอมหยุดเดิน เพียงแต่ผ่อนฝีเท้าให้ช้าลงบ้างเท่านั้นเอง

“คุณอยู่ในเวลาทำงานไม่ใช่หรือ”

“เวลาทำงานคนเราก็ต้องกินเหมือนกันนี่นา เอาใกล้ๆ นี่ก็ได้ ไอฮอป** เป็นไง”

วาดตะวันกลั้นหัวเราะ จะขอเดทสาวทั้งที ได้แค่นี้เองหรอกหรือ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่