รอยบรรพ์ (บทที่ 4)

ขอบคุณทุกคนที่อ่านเรื่องนี้นะคะ
ขอบคุณ คุณ สมาชิกหมายเลข 1065771, น้องดาว Lady Star 919, คุณนัน turtle_cheesecake, คุณซูซี่ Susisiri, จารย์จี GTW, คุณออม ออมอำพัน, คุณ ฮิปโปโปตัวโตพุงโลชะมัด, คุณ เป่าชาง, คุณ nasa nasa
ขอบคุณทุกคะแนนโหวตด้วยค่ะ


บทก่อนหน้าค่ะ
บทนำ   https://pantip.com/topic/36127426
บทที่ 1  https://pantip.com/topic/36134360
บทที่ 2  https://pantip.com/topic/36141907
บทที่ 3  https://pantip.com/topic/36149284


บทที่ 4



    เห็นสีดำวับๆ แวมๆ มาตามแนวไม้ วาดตะวันรีบลดขาทั้งสองข้างลงจากราวระเบียง ใช้ปากกาคั่นหน้าหนังสือซึ่งกำลังอ่านแล้วลุกยืน เขม้นมองไปที่นั่นจนรถทั้งคันเลี้ยวเข้ามาหยุดบริเวณลานจอด จึงได้วางหนังสือลงบนเก้าอี้ เธอจำรถเขาได้ ไม่เข้าใจว่าเขามาที่นี่ทำไมแต่เช้า

    เอริคเห็นหญิงสาวแล้วเช่นกัน เห็นตั้งแต่ตอนที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือแล้วลืมหายใจไปเลย ภาพนั้นไม่ผิดอะไรกับความทรงจำรางเลือนเกี่ยวกับแม่ เป็นภาพซึ่งจำหลักอยู่ในห้วงคำนึงมาแสนนาน ภาพของแม่ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนระเบียงแห่งเดียวกันนี้ ในลักษณะเดียวกันนี้ แม้เก้าอี้อาจเป็นคนละตัว และแม้แม่จะนั่งพับเพียบบนเก้าอี้ ไม่ได้ยกขาขึ้นพาดไว้บนราวระเบียงแบบนี้ แต่ทั้งหมดที่เห็นก็ยังไม่วายก่อให้เกิดความรู้สึกเดียวกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ
    …ผู้หญิงคนนี้มีอะไรหลายอย่างเหมือนแม่ เขาสรุปกับตัวเองได้อย่างนั้น

    เปิดประตูก้าวลงเมื่อแพทย์สาวลงบันไดระเบียงมาหยุดยืนดู ท่าทางเธอเห็นได้ชัดว่าลังเล คงแปลกใจว่าเขามาทำอะไรแต่เช้าอย่างนี้ เขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามาทำไม รู้แต่ว่าใจร่ำร้องให้มา ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วที่เร่งไปส่งเพื่อนหญิงแล้วขับรถตามขึ้นมาดูเพื่อให้แน่ใจว่าเธอถึงที่พักแล้วอย่างปลอดภัย

วาดตะวันเห็นเขาลงจากรถแล้วอ้อมไปเปิดประตูด้านผู้โดยสาร หยิบถุงพลาสติกใบค่อนข้างใหญ่ออกมา พอเห็นก้มตัวกลับเข้าไปในรถ ทำท่าเหมือนจะหยิบอะไรอีก ก็คิดได้ว่ามือข้างหนึ่งของเขาเจ็บอยู่อย่างนั้นจะถือจะหิ้วอะไรได้มากมายกัน จึงตัดสินใจสาวเท้าเร็วรี่เข้าไปหา ปากร้องถามนำไปก่อน

    “มีอะไรให้ช่วยไหมคะ”

    ร่างล่ำสันถอยกลับออกมา ใบหน้าที่หันมามองระบายรอยยิ้ม

“ไม่แน่ใจว่าคุณทานอะไรหรือยัง คิดว่าคงยัง ก็เลยเอาขึ้นมาฝาก”

ส่งถุงในมือให้เมื่อเธอมาหยุดยืนอยู่ข้างหลัง ก่อนก้มตัวกลับเข้าไปในรถอีกครั้ง แล้วหยิบเอาถ้วยโฟมใบค่อนข้างใหญ่ออกมา

“กาแฟยังร้อนอยู่เลยครับ”

วาดตะวันรับถ้วยกาแฟใบนั้นมาด้วยเมื่อเห็นว่ายังมีอีกใบ

    “ระวังนะครับ มันร้อน”

    ท่าทางเขาไม่ค่อยเต็มใจจะส่งให้สักเท่าไรนัก พอนิ้วแตะข้างถ้วย เธอจึงรู้ว่าทำไม ถ้วยโฟมนั้นเรียกได้ว่ายังคงร้อนจัดทีเดียว

    “ผมมารบกวนคุณหมอหรือเปล่า เห็นกำลังอ่านหนังสือ” เขาถามเมื่อเดินตามกันมาที่ตัวบ้าน

    “ไม่หรอกค่ะ ไม่รบกวนเลย ต้องขอบคุณเสียด้วยซ้ำที่กรุณาเอามาฝาก”

    วาดตะวันตระหนักดีถึงความไม่ได้เรื่องได้ราวของตัวเอง ที่จริงควรซื้ออะไรมาเตรียมไว้เป็นอาหารเช้าตั้งแต่เมื่อวาน แต่ก็ไม่ได้ทำ เมื่อครู่ก็คิดว่าจะลงไปในเมืองเพื่อหาซื้อของกินมาเก็บไว้ แต่พอคิดว่าต้องขับรถลงไปและขับกลับขึ้นมาอีกก็ท้อ ยอมทนหิวไปเรื่อยๆ ยังดีเสียกว่า ที่จริงก็ไม่ถึงกับทนไม่ได้ เธอชินเสียแล้วเรื่องละเว้นอาหารเช้าแล้วไปทานรอบเดียวตอนเที่ยงหรือบ่ายไปเลย ก็ในเมื่อสองสามครั้งต่ออาทิตย์ที่เลิกงานเวลาเช้าแล้วเข้านอนทั้งๆ ที่ท้องว่าง กว่าจะตื่นอีกทีก็เลยเที่ยงไปแล้ว อาหารมื้อแรกของวันจึงเป็นมื้อเที่ยงหรือไม่ก็มื้อเย็น

    “ในถุงนี่อะไรคะ” เธอยกถุงขึ้นดูใกล้ๆ ได้กลิ่นหอมกรุ่นของแป้งและเนย ลองใช้หลังมือซ้ายที่ถือแก้วโฟมแตะดูก็รู้สึกอุ่นๆ

    “คอฟฟี่เค้กกับมัฟฟินครับ ในเมืองมีอยู่ร้านหนึ่ง ขึ้นชื่อเรื่องเพสตรีประเภทนี้ อร่อยขนาดทำส่งเลยนะ”

    “ยังอุ่นอยู่เลยค่ะ”

    “เพิ่งทำเสร็จครับ”

    เธอเหลียวหลังมายิ้มให้เป็นการเชิญชวนก่อนนำขึ้นบันไดระเบียง

    ชายหนุ่มตามหลังขึ้นมา รองเท้าคู่ใหญ่รวมกับน้ำหนักตัวของเขาก่อให้เกิดเสียงทึบๆ บนพื้นไม้ของระเบียงบ้าน

    “ดูเหมือนคุณรู้จักเมืองนี้ดี คุณอยู่ที่นี่หรือคะ”

    “ก็ไม่เชิงครับ ผมเกิดเมืองนี้ โตที่นี่ แต่ไปอยู่ที่อื่นเสียหลายปี กำลังคิดอยู่ว่าบางทีอาจกลับมาอยู่ที่นี่อีกก็ได้”

    แม้จะไม่เข้าใจคำตอบนั้นเสียทั้งหมด คำว่าไม่เชิงว่าอยู่ที่นี่ ให้ความรู้สึกคลุมเครือ ใครฟังแล้วก็คงงงเหมือนกัน แต่เมื่อคิดว่าถ้าซักเอารายละเอียดมากกว่านี้ เขาอาจมองว่าสอดรู้สอดเห็นเกินไปก็ได้ จึงละไว้เพียงเท่านั้น

    หยุดจะเปิดประตูบ้านเพื่อเชิญเขาเข้าไปข้างใน แต่พอเหลียวกลับมาดู ก็ประหลาดใจที่เห็นร่างสูงล่ำสันหยุดอยู่แค่ระเบียง วางถ้วยกาแฟที่ถือมาด้วยลงบนราวระเบียง แล้วไล่นิ้วไปตามเนื้อไม้ตรงนั้น สายตาเหมือนกำลังพินิจพิจารณาลวดลายของมัน จากนั้นก็มองไปรอบๆ เลยขึ้นไปถึงชายคาที่ยื่นออกมามากจนเหมือนเป็นหลังคาของระเบียง

    เขาลดสายตาลงเมื่อเห็นว่าหญิงสาวเงียบไป พอสบตาแสดงความกังขาก็รีบอธิบาย

    “บ้านหลังนี้เคยเป็นของแม่ผม”

    คำบอกเล่าเพียงสั้นๆ นั้นเรียกความสนใจจากเธอได้มากทีเดียว

    “หรือคะ บังเอิญจัง แล้วนี่คุณแม่ของคุณเป็นคนให้เช่าหรือคะ”

    เขาเบี่ยงตัวมาหา หลังเอนพิงราวระเบียง

    “ไม่ใช่ครับ ท่านขายให้คนอื่นไปนานแล้ว แล้วท่านก็เพิ่งเสีย” ร่องรอยของความหมองเศร้าผ่านวูบเข้ามาในดวงตา หากเพียงวูบเดียวก็กลับเป็นปกติเหมือนเดิม

“เอ่อ…เสียใจด้วยค่ะ”

ยิ้มบางๆ ผุดขึ้นที่มุมปากบางได้รูป สวยเหมือนปากผู้หญิง

“เพราะท่านเสียนี่แหละครับ ผมถึงคิดจะซื้อกลับคืนมา ท่านรักบ้านหลังนี้มาก ช่วงหลังๆ ของชีวิตเคยบ่นว่าอยากกลับมาที่นี่อีกสักครั้ง ผมเคยคิดจะซื้อคืนให้ท่านก็หลายครั้งแล้ว แต่ไม่มีโอกาส จนท่านเสีย คราวนี้ถ้าซื้อได้ ผมคิดว่าจะมาอยู่เสียเอง”

มีอะไรอีกหลายสิ่งหลายอย่างเกี่ยวกับบ้านหลังนี้ที่เขาจงใจเก็บไว้เป็นความลับ ก็ในเมื่อเล่าให้ใครฟังแล้วจะมีสักกี่คนที่เชื่อว่าเรื่องแบบนั้นเป็นไปได้ บางที…เพียงแค่บางที เธอผู้นี้อาจมาร่วมรับรู้เรื่องราวแต่หนหลังระหว่างแม่และพ่อของเขาก็เป็นได้ แต่นั่นก็อีกนั่นแหละ เขาอาจหวังมากเกินไป
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่