หลาย ๆ คนอาจจะเคยได้ยินว่าเวลานั่งสมาธิต้อง “หูดับ” นั่นเป็นสัญญาณแรกว่าจิตคุณเป็นเอกกัคคตา และไม่เอาจิตไปสนใจสิ่งอื่น นอกจากลมหายใจ
ในฌานที่ ๑ นั้น ความดำริที่เป็นอกุศลดับไป มี กามวิตก พยาบาทวิตกและวิหิงสาวิตก ส่วนในฌานที่ ๒ เมื่อแรกเริ่มท่านอาจจะรู้สึกว่าสงบมาก ๆ ถึงมากที่สุด หลายคนอาจจะใช้คำว่า “ดำดิ่ง” เมื่อสงบมาก ๆ จิตจะปล่อยวางสภาวะจากภายนอกเข้ามาเรื่อย ๆ ร่างกายจะมีอาการ “ชา” ลงมาจากศรีษะลงมาเรื่อย ๆ ผ่านหน้า ปาก ลงมา รับรู้เพียงแค่ที่มากระทบเฉย ๆ แต่จิตจะไม่เก็บเอามาคิด มาวิเคราะห์ ถ้าเปรียบเทียบก็เหมือนกับเวลาที่คุณไปถอนฟัน หมอฉีดยาชาให้คุณก็ประมาณนั้น รู้ว่าคีมถอนฟันมากระทบฟัน แต่ก็ไม่มีความรู้สึกอะไร อันนี้ก็เหมือนกัน เป็นเพราะว่าเวลานั้น จิตมันหดเข้าจากอายตนะ ตา หู จมูก กาย เมื่อไม่มีวิญญาน จิตจึงไม่เกิดอารมณ์ปรุงแต่ง มีความคิด อารมณ์ เป็นต้น จิตมันจนกระทั่งหดเข้า งอเข้า(ชา)เรื่อย ๆ ลงมาถึงที่หน้าอก เมื่อถึงที่สุดที่ตั้งของวิญญาณแล้ว จิต/วิญญาณจะดับลงพร้อมกันอย่างเป็นระบบระเบียบเหมือนรังสีแสกนร่างกายอะไรประมาณนั้น คือ แสกนจากเบื้องบนและเบื้องล่างพร้อมกันสู่หน้าอกจากซ้ายและขวาพร้อมกันสู่ฐานคือหน้าอก จากข้างหน้าจากข้างหลังพร้อมกันสู่ฐานคือหน้าอก สงบอยู่ ณ ที่ตั้งของมันที่นั้น
ไม่ยื่นออกไปรับรู้เรื่องราวภายนอก นอกจากรู้อารมณ์/นิมิตที่กำลังกำหนดอยู่
อยู่ ฉะนั้น ในฌานที่ ๒ ความดำริจึงดับหมด แม้ความดำริที่เป็นกุศลก็ดับดับด้วย เมื่อมีผัสสะเกิดขึ้น มากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย
จิตย่อมไม่ยื่นไปรับอารมณ์ที่มากระทบมาวิตก วิจาร ( ไม่เกิดความคิด+อารมณ์ ) เหมือนน้ำที่ตกลงใบบัวแต่น้ำที่ตกกระทบใบบัว แต่ก็ไม่ได้ซึมซาบเข้าสู่ใบบัว การที่วิญญาณเข้าไปสงบระงับนี่แหละ เรียกว่า สมาบัติ ได้ฌานก็ได้สมาบัติ ได้สมาบัติก็ได้ฌาน แต่ในกรณีนี้ไม่อาจจะเรียกว่าวิญญาณดับได้ เพราะเป็นเจโตวิมุตติชั่วสมัยที่กิเลสสามารถกำเริบขึ้นได้อีก คำว่าวิญญาณดับน่าจะใช้กับเจโตวิมุตติที่ไม่กำเริบมากว่า เช่น การบรรลุของพระอริยะ
**สมาบัติ แปลตามตัวว่า ต้องความสงบ หมายเอาการที่สังขารเข้าไปสงบระงับ เช่น สมาบัติที่ 1 กองลมย่อมเข้าไปสงบระงับ แม้จะมีลมหายใจบาง ๆ ออกมาก็ตามแต่ก็ให้ถือว่าลมหายใจนั้นเป็นอัพโพหาริก (คือ มีเหมือนไม่มี ) สมาบัติที่ 2 วิญญาณเข้าไปสงบระงับ สมาบัติที่ 3 ปีติเข้าไปสงบระงับ เป็นต้น
“เตสัง วูปสโม สุโข การเข้าไปสงบระงับของสังขารเหล่านั้น เป็นสุข”
หลาย ๆ คนอาจจะเคยได้ยินว่าเวลานั่งสมาธิต้อง “หูดับ” นั่นเป็นสัญญาณแรกว่าจิตคุณเป็นเอกกัคคตา และไม่เอาจิตไปสนใจสิ่งอื่น นอกจากลมหายใจ
ในฌานที่ ๑ นั้น ความดำริที่เป็นอกุศลดับไป มี กามวิตก พยาบาทวิตกและวิหิงสาวิตก ส่วนในฌานที่ ๒ เมื่อแรกเริ่มท่านอาจจะรู้สึกว่าสงบมาก ๆ ถึงมากที่สุด หลายคนอาจจะใช้คำว่า “ดำดิ่ง” เมื่อสงบมาก ๆ จิตจะปล่อยวางสภาวะจากภายนอกเข้ามาเรื่อย ๆ ร่างกายจะมีอาการ “ชา” ลงมาจากศรีษะลงมาเรื่อย ๆ ผ่านหน้า ปาก ลงมา รับรู้เพียงแค่ที่มากระทบเฉย ๆ แต่จิตจะไม่เก็บเอามาคิด มาวิเคราะห์ ถ้าเปรียบเทียบก็เหมือนกับเวลาที่คุณไปถอนฟัน หมอฉีดยาชาให้คุณก็ประมาณนั้น รู้ว่าคีมถอนฟันมากระทบฟัน แต่ก็ไม่มีความรู้สึกอะไร อันนี้ก็เหมือนกัน เป็นเพราะว่าเวลานั้น จิตมันหดเข้าจากอายตนะ ตา หู จมูก กาย เมื่อไม่มีวิญญาน จิตจึงไม่เกิดอารมณ์ปรุงแต่ง มีความคิด อารมณ์ เป็นต้น จิตมันจนกระทั่งหดเข้า งอเข้า(ชา)เรื่อย ๆ ลงมาถึงที่หน้าอก เมื่อถึงที่สุดที่ตั้งของวิญญาณแล้ว จิต/วิญญาณจะดับลงพร้อมกันอย่างเป็นระบบระเบียบเหมือนรังสีแสกนร่างกายอะไรประมาณนั้น คือ แสกนจากเบื้องบนและเบื้องล่างพร้อมกันสู่หน้าอกจากซ้ายและขวาพร้อมกันสู่ฐานคือหน้าอก จากข้างหน้าจากข้างหลังพร้อมกันสู่ฐานคือหน้าอก สงบอยู่ ณ ที่ตั้งของมันที่นั้น
ไม่ยื่นออกไปรับรู้เรื่องราวภายนอก นอกจากรู้อารมณ์/นิมิตที่กำลังกำหนดอยู่
อยู่ ฉะนั้น ในฌานที่ ๒ ความดำริจึงดับหมด แม้ความดำริที่เป็นกุศลก็ดับดับด้วย เมื่อมีผัสสะเกิดขึ้น มากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย
จิตย่อมไม่ยื่นไปรับอารมณ์ที่มากระทบมาวิตก วิจาร ( ไม่เกิดความคิด+อารมณ์ ) เหมือนน้ำที่ตกลงใบบัวแต่น้ำที่ตกกระทบใบบัว แต่ก็ไม่ได้ซึมซาบเข้าสู่ใบบัว การที่วิญญาณเข้าไปสงบระงับนี่แหละ เรียกว่า สมาบัติ ได้ฌานก็ได้สมาบัติ ได้สมาบัติก็ได้ฌาน แต่ในกรณีนี้ไม่อาจจะเรียกว่าวิญญาณดับได้ เพราะเป็นเจโตวิมุตติชั่วสมัยที่กิเลสสามารถกำเริบขึ้นได้อีก คำว่าวิญญาณดับน่าจะใช้กับเจโตวิมุตติที่ไม่กำเริบมากว่า เช่น การบรรลุของพระอริยะ
**สมาบัติ แปลตามตัวว่า ต้องความสงบ หมายเอาการที่สังขารเข้าไปสงบระงับ เช่น สมาบัติที่ 1 กองลมย่อมเข้าไปสงบระงับ แม้จะมีลมหายใจบาง ๆ ออกมาก็ตามแต่ก็ให้ถือว่าลมหายใจนั้นเป็นอัพโพหาริก (คือ มีเหมือนไม่มี ) สมาบัติที่ 2 วิญญาณเข้าไปสงบระงับ สมาบัติที่ 3 ปีติเข้าไปสงบระงับ เป็นต้น