อุบายในการรักษาอานาปานสติกรรมฐานไม่ให้เสื่อม
หมายถึง วิธีดูแลการปฏิบัติไม่ให้สมาธิถดถอย ในการปฏิบัติอานาปานสติ ภิกษุหรือผู้ปฏิบัติควรหลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่เกื้อกูลต่อจิตใจเจ็ดประการ ได้แก่ ที่อยู่อาศัยที่รบกวน แหล่งไปมาที่ทำให้ฟุ้งซ่าน การสนทนาที่ทำให้ใจแตกซ่าน บุคคลที่ทำให้จิตไม่สงบ อาหารที่ไม่เหมาะกับการภาวนา ฤดูกาลหรือสภาพอากาศที่เป็นอุปสรรค และอิริยาบถที่ทำให้จิตไม่ตั้งมั่น พร้อมกันนั้นควรเลือกเสพสิ่งที่เกื้อกูลตรงกันข้ามทั้งเจ็ดประการ และหมั่นกำหนดนิมิตแห่งลมหายใจอยู่เสมอ
เมื่อผู้ปฏิบัติทำให้นิมิตมั่นคงด้วยการเสพสิ่งที่เกื้อกูลแล้ว ควรอดทนรอความเจริญงอกงามของสมาธิ และบำเพ็ญความเพียรอย่างต่อเนื่องโดยไม่ละทิ้งความชำนาญในการเข้าฌานสิบประการ ได้แก่ การจัดกายใจให้เหมาะสม การรักษาอินทรีย์ให้พอดี ความเข้าใจนิมิตอย่างถูกต้อง การข่มจิตเมื่อฟุ้ง การประคองจิตเมื่อหย่อน การปลุกจิตให้ร่าเริงเมื่อซึม การเพ่งดูจิตเมื่อควรเพ่ง การเว้นคบคนจิตไม่มั่นคง การคบหาผู้มีจิตตั้งมั่น และการน้อมจิตเข้าสู่สมาธิอยู่เสมอ
เมื่อผู้ปฏิบัติหมั่นทำเช่นนี้ จิตที่รับอารมณ์ทางใจโดยมีนิมิตเป็นอารมณ์จะตัดภวังค์แล้วเกิดขึ้นในขณะที่สมควรแก่การเกิดอัปปนาสมาธิ เมื่อจิตรู้อารมณ์ทางใจนั้นดับลง จิตที่มีกำลังหรือชวนะจะเกิดต่อเนื่องสี่หรือห้าขณะ โดยขณะแรกเรียกว่าบริกรรม ขณะที่สองเรียกว่าอุปจาระ ขณะที่สามเรียกว่าอนุโลม ขณะที่สี่เรียกว่าโคตรภู และขณะที่ห้าเป็นอัปปนาจิต บางอธิบายกล่าวว่า ขณะแรกเป็นทั้งบริกรรมและอุปจาระ ขณะที่สองเป็นอนุโลม ขณะที่สามเป็นโคตรภู และขณะที่สี่เป็นอัปปนาจิต โดยทั่วไปชวนะจะเกิดเพียงถึงขณะที่สี่หรือห้า ไม่ถึงหกหรือเจ็ด เพราะภวังค์ใกล้ฌานดับลงแล้ว แม้จะมีบางท่านกล่าวว่าชวนะอาจถึงหกหรือเจ็ดได้เพราะกุศลมีกำลังจากการอบรมซ้ำ ๆ แต่คำอธิบายนี้ถูกคัดค้านในคัมภีร์อรรถกถา
ในบรรดาจิตเหล่านั้น จิตก่อนอัปปนาเป็นกามาวจร ส่วนอัปปนาจิตเป็นรูปาวจร ด้วยเหตุนี้ผู้ปฏิบัติจึงบรรลุปฐมฌาน ซึ่งละนิวรณ์ห้า มีองค์ฌานครบห้า สมบูรณ์ด้วยลักษณะต่าง ๆ อย่างครบถ้วน และเมื่อทำองค์ฌานให้สงบละเอียดลง ย่อมบรรลุฌานที่สอง ที่สาม และที่สี่ ตามลำดับ จนถึงที่สุดแห่งสมถภาวนาโดยอาศัยการตั้งจิตหยุดนิ่ง
ในเรื่องนี้กล่าวโดยสังเขปเพียงเท่านี้ ส่วนผู้ที่ต้องการรายละเอียดลึกซึ้งยิ่งขึ้น ควรศึกษาเพิ่มเติมจากคัมภีร์วิสุทธิมรรค
ต่อมาในหมวดกายานุปัสสนา ภิกษุผู้บรรลุจตุตถฌานแล้ว หากประสงค์จะเจริญวิปัสสนา ย่อมทำฌานนั้นให้เกิดความชำนาญด้วยความคล่องแคล่วห้าประการ คือ การระลึกจะเข้า การเข้าได้ทันที การตั้งใจให้อยู่ตามกำหนด การออกได้ตามต้องการ และการพิจารณาฌานย้อนหลัง แล้วกำหนดรูปและอรูปโดยถือรูปเป็นหลักหรืออรูปเป็นหลัก จากนั้นจึงเริ่มตั้งวิปัสสนา
การเริ่มต้นวิปัสสนานั้น เมื่อผู้ปฏิบัติออกจากฌานแล้วพิจารณาองค์ฌาน ย่อมเห็นหทัยวัตถุซึ่งเป็นที่อาศัยของจิต เห็นธาตุรูปที่อาศัยหทัยวัตถุ และเห็นกายทั้งหมดที่อาศัยธาตุรูปนั้น แล้วกำหนดว่าองค์ฌานเป็นอรูป ส่วนหทัยวัตถุและกายเป็นรูป หรืออีกแนวหนึ่ง เมื่อออกจากสมาบัติแล้วกำหนดธาตุสี่ในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ผม ขน เล็บ ฟัน และรูปที่อาศัยธาตุเหล่านั้น ก็ย่อมเห็นจิตและธรรมที่เกิดร่วมกับจิตซึ่งมีรูปเป็นอารมณ์ หรือมีอายตนะเป็นอารมณ์ จากนั้นจึงกำหนดว่าธาตุรูปทั้งหลายเป็นรูป ส่วนจิตและเจตสิกเป็นอรูป
อีกแนวหนึ่ง เมื่อออกจากสมาบัติแล้ว ผู้ปฏิบัติย่อมเห็นว่ากายและจิตเป็นเหตุให้เกิดลมหายใจเข้าออก เปรียบเหมือนลมที่เคลื่อนไหวได้เพราะอาศัยสูบของช่างทองและแรงของผู้สูบฉันใด ลมหายใจเข้าออกก็อาศัยกายและจิตฉันนั้น แล้วกำหนดว่าลมหายใจและกายเป็นรูป ส่วนจิตและธรรมที่เกิดร่วมกับจิตเป็นอรูป
เมื่อกำหนดนามรูปได้เช่นนี้แล้ว ผู้ปฏิบัติย่อมแสวงหาเหตุปัจจัยของนามรูป และเมื่อเห็นปัจจัยมีอวิชชาและตัณหาเป็นต้น ก็ย่อมข้ามพ้นความสงสัยเกี่ยวกับความเป็นไปของนามรูปในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตได้
ครั้นพ้นความสงสัยแล้ว ย่อมยกไตรลักษณ์ขึ้นพิจารณา เห็นความเกิดและความดับของสังขาร ละวิปัสสนูปกิเลสสิบประการ เช่น ความสว่าง ความปีติ ที่เกิดขึ้นในเบื้องต้น ก้าวสู่การพิจารณาเห็นความเกิดดับอย่างต่อเนื่อง เห็นแต่ความดับ เบื่อหน่าย คลายกำหนัด ปล่อยวางสังขารทั้งปวงซึ่งปรากฏเป็นของน่ากลัว จนบรรลุอริยมรรคทั้งสี่ตามลำดับ ตั้งอยู่ในพระอรหัตผล ถึงที่สุดแห่งปัญญาพิจารณาผล เป็นเนื้อนาบุญอันเลิศของโลกพร้อมทั้งเทวดา
ดังนี้ การเจริญอานาปานสติของผู้ปฏิบัติ ตั้งแต่การนับลมหายใจไปจนถึงมรรคผลนิพพาน ย่อมสมบูรณ์ครบถ้วนเพียงเท่านี้แล
อุบายในการรักษาอานาปานสติกรรมฐานไม่ให้เสื่อม
หมายถึง วิธีดูแลการปฏิบัติไม่ให้สมาธิถดถอย ในการปฏิบัติอานาปานสติ ภิกษุหรือผู้ปฏิบัติควรหลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่เกื้อกูลต่อจิตใจเจ็ดประการ ได้แก่ ที่อยู่อาศัยที่รบกวน แหล่งไปมาที่ทำให้ฟุ้งซ่าน การสนทนาที่ทำให้ใจแตกซ่าน บุคคลที่ทำให้จิตไม่สงบ อาหารที่ไม่เหมาะกับการภาวนา ฤดูกาลหรือสภาพอากาศที่เป็นอุปสรรค และอิริยาบถที่ทำให้จิตไม่ตั้งมั่น พร้อมกันนั้นควรเลือกเสพสิ่งที่เกื้อกูลตรงกันข้ามทั้งเจ็ดประการ และหมั่นกำหนดนิมิตแห่งลมหายใจอยู่เสมอ
เมื่อผู้ปฏิบัติทำให้นิมิตมั่นคงด้วยการเสพสิ่งที่เกื้อกูลแล้ว ควรอดทนรอความเจริญงอกงามของสมาธิ และบำเพ็ญความเพียรอย่างต่อเนื่องโดยไม่ละทิ้งความชำนาญในการเข้าฌานสิบประการ ได้แก่ การจัดกายใจให้เหมาะสม การรักษาอินทรีย์ให้พอดี ความเข้าใจนิมิตอย่างถูกต้อง การข่มจิตเมื่อฟุ้ง การประคองจิตเมื่อหย่อน การปลุกจิตให้ร่าเริงเมื่อซึม การเพ่งดูจิตเมื่อควรเพ่ง การเว้นคบคนจิตไม่มั่นคง การคบหาผู้มีจิตตั้งมั่น และการน้อมจิตเข้าสู่สมาธิอยู่เสมอ
เมื่อผู้ปฏิบัติหมั่นทำเช่นนี้ จิตที่รับอารมณ์ทางใจโดยมีนิมิตเป็นอารมณ์จะตัดภวังค์แล้วเกิดขึ้นในขณะที่สมควรแก่การเกิดอัปปนาสมาธิ เมื่อจิตรู้อารมณ์ทางใจนั้นดับลง จิตที่มีกำลังหรือชวนะจะเกิดต่อเนื่องสี่หรือห้าขณะ โดยขณะแรกเรียกว่าบริกรรม ขณะที่สองเรียกว่าอุปจาระ ขณะที่สามเรียกว่าอนุโลม ขณะที่สี่เรียกว่าโคตรภู และขณะที่ห้าเป็นอัปปนาจิต บางอธิบายกล่าวว่า ขณะแรกเป็นทั้งบริกรรมและอุปจาระ ขณะที่สองเป็นอนุโลม ขณะที่สามเป็นโคตรภู และขณะที่สี่เป็นอัปปนาจิต โดยทั่วไปชวนะจะเกิดเพียงถึงขณะที่สี่หรือห้า ไม่ถึงหกหรือเจ็ด เพราะภวังค์ใกล้ฌานดับลงแล้ว แม้จะมีบางท่านกล่าวว่าชวนะอาจถึงหกหรือเจ็ดได้เพราะกุศลมีกำลังจากการอบรมซ้ำ ๆ แต่คำอธิบายนี้ถูกคัดค้านในคัมภีร์อรรถกถา
ในบรรดาจิตเหล่านั้น จิตก่อนอัปปนาเป็นกามาวจร ส่วนอัปปนาจิตเป็นรูปาวจร ด้วยเหตุนี้ผู้ปฏิบัติจึงบรรลุปฐมฌาน ซึ่งละนิวรณ์ห้า มีองค์ฌานครบห้า สมบูรณ์ด้วยลักษณะต่าง ๆ อย่างครบถ้วน และเมื่อทำองค์ฌานให้สงบละเอียดลง ย่อมบรรลุฌานที่สอง ที่สาม และที่สี่ ตามลำดับ จนถึงที่สุดแห่งสมถภาวนาโดยอาศัยการตั้งจิตหยุดนิ่ง
ในเรื่องนี้กล่าวโดยสังเขปเพียงเท่านี้ ส่วนผู้ที่ต้องการรายละเอียดลึกซึ้งยิ่งขึ้น ควรศึกษาเพิ่มเติมจากคัมภีร์วิสุทธิมรรค
ต่อมาในหมวดกายานุปัสสนา ภิกษุผู้บรรลุจตุตถฌานแล้ว หากประสงค์จะเจริญวิปัสสนา ย่อมทำฌานนั้นให้เกิดความชำนาญด้วยความคล่องแคล่วห้าประการ คือ การระลึกจะเข้า การเข้าได้ทันที การตั้งใจให้อยู่ตามกำหนด การออกได้ตามต้องการ และการพิจารณาฌานย้อนหลัง แล้วกำหนดรูปและอรูปโดยถือรูปเป็นหลักหรืออรูปเป็นหลัก จากนั้นจึงเริ่มตั้งวิปัสสนา
การเริ่มต้นวิปัสสนานั้น เมื่อผู้ปฏิบัติออกจากฌานแล้วพิจารณาองค์ฌาน ย่อมเห็นหทัยวัตถุซึ่งเป็นที่อาศัยของจิต เห็นธาตุรูปที่อาศัยหทัยวัตถุ และเห็นกายทั้งหมดที่อาศัยธาตุรูปนั้น แล้วกำหนดว่าองค์ฌานเป็นอรูป ส่วนหทัยวัตถุและกายเป็นรูป หรืออีกแนวหนึ่ง เมื่อออกจากสมาบัติแล้วกำหนดธาตุสี่ในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ผม ขน เล็บ ฟัน และรูปที่อาศัยธาตุเหล่านั้น ก็ย่อมเห็นจิตและธรรมที่เกิดร่วมกับจิตซึ่งมีรูปเป็นอารมณ์ หรือมีอายตนะเป็นอารมณ์ จากนั้นจึงกำหนดว่าธาตุรูปทั้งหลายเป็นรูป ส่วนจิตและเจตสิกเป็นอรูป
อีกแนวหนึ่ง เมื่อออกจากสมาบัติแล้ว ผู้ปฏิบัติย่อมเห็นว่ากายและจิตเป็นเหตุให้เกิดลมหายใจเข้าออก เปรียบเหมือนลมที่เคลื่อนไหวได้เพราะอาศัยสูบของช่างทองและแรงของผู้สูบฉันใด ลมหายใจเข้าออกก็อาศัยกายและจิตฉันนั้น แล้วกำหนดว่าลมหายใจและกายเป็นรูป ส่วนจิตและธรรมที่เกิดร่วมกับจิตเป็นอรูป
เมื่อกำหนดนามรูปได้เช่นนี้แล้ว ผู้ปฏิบัติย่อมแสวงหาเหตุปัจจัยของนามรูป และเมื่อเห็นปัจจัยมีอวิชชาและตัณหาเป็นต้น ก็ย่อมข้ามพ้นความสงสัยเกี่ยวกับความเป็นไปของนามรูปในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตได้
ครั้นพ้นความสงสัยแล้ว ย่อมยกไตรลักษณ์ขึ้นพิจารณา เห็นความเกิดและความดับของสังขาร ละวิปัสสนูปกิเลสสิบประการ เช่น ความสว่าง ความปีติ ที่เกิดขึ้นในเบื้องต้น ก้าวสู่การพิจารณาเห็นความเกิดดับอย่างต่อเนื่อง เห็นแต่ความดับ เบื่อหน่าย คลายกำหนัด ปล่อยวางสังขารทั้งปวงซึ่งปรากฏเป็นของน่ากลัว จนบรรลุอริยมรรคทั้งสี่ตามลำดับ ตั้งอยู่ในพระอรหัตผล ถึงที่สุดแห่งปัญญาพิจารณาผล เป็นเนื้อนาบุญอันเลิศของโลกพร้อมทั้งเทวดา
ดังนี้ การเจริญอานาปานสติของผู้ปฏิบัติ ตั้งแต่การนับลมหายใจไปจนถึงมรรคผลนิพพาน ย่อมสมบูรณ์ครบถ้วนเพียงเท่านี้แล