ครั้งหนึ่ง
พระมหาโมคคัลลานะพำนักอยู่ที่พระวิหารเชตวัน ใกล้กรุงสาวัตถี
ท่านเรียกภิกษุทั้งหลายมา แล้วกล่าวว่า
เมื่อเราอยู่ตามลำพังในที่สงบ
ได้เกิดความคิดขึ้นในใจว่า
“ที่เรียกกันว่า ปฐมฌาน นั้น แท้จริงคืออะไร”
ปฐมฌาน
เราจึงพิจารณาว่า
ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
เมื่อหลีกออกจากกาม และอกุศลธรรมทั้งหลาย
จิตตั้งมั่นในความสงบ
ยังมีการคิดและพิจารณาอยู่
เกิดปีติและความสุขจากความสงัด
สภาวะเช่นนี้เรียกว่า ปฐมฌาน
เราก็ได้เข้าถึงปฐมฌานเช่นนั้นจริง
แต่ขณะดำรงอยู่ในฌานนี้
ความคิดที่เกี่ยวกับกามยังแทรกเข้ามารบกวนจิต
ครั้งนั้น
พระผู้มีพระภาคทรงเสด็จมาหาเราด้วยฤทธิ์
แล้วตรัสเตือนว่า
“โมคคัลลานะ
อย่าประมาทปฐมฌาน
จงตั้งจิตให้อยู่มั่นในปฐมฌาน
ทำจิตให้เป็นหนึ่ง และดำรงไว้ให้แน่วแน่”
ภายหลัง
เราจึงตั้งจิตมั่นคงในปฐมฌานได้อย่างแท้จริง
และกล่าวได้อย่างไม่ผิดว่า
เราเป็นสาวกที่พระศาสดาทรงเกื้อกูล
จนถึงความเป็นผู้รู้ยิ่ง
ทุติยฌาน
ต่อมา
เราได้พิจารณาว่า ทุติยฌาน คืออะไร
ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
เมื่อจิตผ่องใสจากภายใน
ไม่มีการคิดปรุงแต่งอีก
จิตเป็นหนึ่งแน่วแน่
มีปีติและสุขที่เกิดจากสมาธิล้วน ๆ
สภาวะนี้เรียกว่า ทุติยฌาน
เราก็เข้าถึงทุติยฌานนั้น
แต่ขณะดำรงอยู่
ความเคยชินในการคิดยังรบกวนจิต
พระผู้มีพระภาคจึงเสด็จมาสอนอีกว่า
“อย่าประมาททุติยฌาน
จงตั้งจิตให้เป็นหนึ่ง และมั่นคงในทุติยฌาน”
ภายหลัง
เราจึงเข้าถึงทุติยฌานได้อย่างบริสุทธิ์
และกล่าวได้อย่างถูกต้องว่า
เราเป็นสาวกที่พระศาสดาทรงอนุเคราะห์แล้ว
ตติยฌาน
ต่อมา
เราใคร่ครวญว่า ตติยฌาน คืออะไร
ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
เมื่อปีติสงบไป
เหลือเพียงความสุขอันละเอียด
มีอุเบกขา มีสติ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม
จิตตั้งมั่นอย่างสงบ
สภาวะนี้เรียกว่า ตติยฌาน
เราก็เข้าถึงตติยฌานนั้น
แต่ยังมีความเคยชินต่อปีติแทรกอยู่
พระผู้มีพระภาคจึงตรัสเตือนว่า
“อย่าประมาทตติยฌาน
จงตั้งจิตไว้ให้มั่นในตติยฌาน”
ภายหลัง
เราดำรงอยู่ในตติยฌานได้อย่างมั่นคง
เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข
จตุตถฌาน
ต่อมา
เราได้พิจารณาว่า จตุตถฌาน คืออะไร
ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
ละทั้งสุขและทุกข์
ดับความยินดีและความไม่ยินดี
เหลือแต่ความเป็นกลาง
มีสติบริสุทธิ์อย่างยิ่ง
สภาวะนี้เรียกว่า จตุตถฌาน
เราก็เข้าถึงจตุตถฌานนั้น
แต่ยังมีความละเอียดของสุขเก่าแฝงอยู่
พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า
“อย่าประมาทจตุตถฌาน
จงตั้งจิตให้มั่นในจตุตถฌาน”
ภายหลัง
เราจึงดำรงอยู่ในจตุตถฌานได้อย่างบริสุทธิ์
อรูปฌาน ๔
อากาสานัญจายตนะ
เมื่อก้าวล่วงรูปทั้งหมด
จิตตั้งอยู่ในอารมณ์ว่า
“อากาศไม่มีที่สิ้นสุด”
วิญญาณัญจายตนะ
เมื่อก้าวล่วงอากาศ
จิตตั้งอยู่ในอารมณ์ว่า
“วิญญาณไม่มีที่สิ้นสุด”
อากิญจัญญายตนะ
เมื่อก้าวล่วงวิญญาณ
จิตตั้งอยู่ในความรู้ว่า
“ไม่มีอะไรเลย”
เนวสัญญานาสัญญายตนะ
เมื่อก้าวล่วงความไม่มีนั้น
จิตอยู่ในสภาวะที่
ไม่อาจกล่าวว่า มีสัญญา หรือ ไม่มีสัญญา
ทุกขั้น
เมื่อยังมีความยึดติดหลงเหลือ
พระผู้มีพระภาคเสด็จมาเตือนเสมอว่า
“อย่าประมาท
จงตั้งจิตให้เป็นหนึ่ง และมั่นคงในธรรมขั้นนั้น”
อนิมิตตเจโตสมาธิ
ต่อมา
เราได้พิจารณาว่า
อนิมิตตเจโตสมาธิ คืออะไร
ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
ตั้งจิตโดยไม่ยึดนิมิตใด ๆ เลย
ไม่เกาะเกี่ยวเครื่องหมายใดทั้งสิ้น
จิตวางอารมณ์ทั้งปวง
สภาวะนี้เรียกว่า อนิมิตตเจโตสมาธิ
แม้ในขั้นนี้
พระผู้มีพระภาคก็ยังตรัสเตือนว่า
“อย่าประมาทจงตั้งจิตให้เป็นหนึ่ง และมั่นคงในอนิมิตตเจโตสมาธิ”
อย่าประมาทจงตั้งจิตให้เป็นหนึ่ง และมั่นคงในอนิมิตตเจโตสมาธิ
พระมหาโมคคัลลานะพำนักอยู่ที่พระวิหารเชตวัน ใกล้กรุงสาวัตถี
ท่านเรียกภิกษุทั้งหลายมา แล้วกล่าวว่า
เมื่อเราอยู่ตามลำพังในที่สงบ
ได้เกิดความคิดขึ้นในใจว่า
“ที่เรียกกันว่า ปฐมฌาน นั้น แท้จริงคืออะไร”
ปฐมฌาน
เราจึงพิจารณาว่า
ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
เมื่อหลีกออกจากกาม และอกุศลธรรมทั้งหลาย
จิตตั้งมั่นในความสงบ
ยังมีการคิดและพิจารณาอยู่
เกิดปีติและความสุขจากความสงัด
สภาวะเช่นนี้เรียกว่า ปฐมฌาน
เราก็ได้เข้าถึงปฐมฌานเช่นนั้นจริง
แต่ขณะดำรงอยู่ในฌานนี้
ความคิดที่เกี่ยวกับกามยังแทรกเข้ามารบกวนจิต
ครั้งนั้น
พระผู้มีพระภาคทรงเสด็จมาหาเราด้วยฤทธิ์
แล้วตรัสเตือนว่า
“โมคคัลลานะ
อย่าประมาทปฐมฌาน
จงตั้งจิตให้อยู่มั่นในปฐมฌาน
ทำจิตให้เป็นหนึ่ง และดำรงไว้ให้แน่วแน่”
ภายหลัง
เราจึงตั้งจิตมั่นคงในปฐมฌานได้อย่างแท้จริง
และกล่าวได้อย่างไม่ผิดว่า
เราเป็นสาวกที่พระศาสดาทรงเกื้อกูล
จนถึงความเป็นผู้รู้ยิ่ง
ทุติยฌาน
ต่อมา
เราได้พิจารณาว่า ทุติยฌาน คืออะไร
ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
เมื่อจิตผ่องใสจากภายใน
ไม่มีการคิดปรุงแต่งอีก
จิตเป็นหนึ่งแน่วแน่
มีปีติและสุขที่เกิดจากสมาธิล้วน ๆ
สภาวะนี้เรียกว่า ทุติยฌาน
เราก็เข้าถึงทุติยฌานนั้น
แต่ขณะดำรงอยู่
ความเคยชินในการคิดยังรบกวนจิต
พระผู้มีพระภาคจึงเสด็จมาสอนอีกว่า
“อย่าประมาททุติยฌาน
จงตั้งจิตให้เป็นหนึ่ง และมั่นคงในทุติยฌาน”
ภายหลัง
เราจึงเข้าถึงทุติยฌานได้อย่างบริสุทธิ์
และกล่าวได้อย่างถูกต้องว่า
เราเป็นสาวกที่พระศาสดาทรงอนุเคราะห์แล้ว
ตติยฌาน
ต่อมา
เราใคร่ครวญว่า ตติยฌาน คืออะไร
ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
เมื่อปีติสงบไป
เหลือเพียงความสุขอันละเอียด
มีอุเบกขา มีสติ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม
จิตตั้งมั่นอย่างสงบ
สภาวะนี้เรียกว่า ตติยฌาน
เราก็เข้าถึงตติยฌานนั้น
แต่ยังมีความเคยชินต่อปีติแทรกอยู่
พระผู้มีพระภาคจึงตรัสเตือนว่า
“อย่าประมาทตติยฌาน
จงตั้งจิตไว้ให้มั่นในตติยฌาน”
ภายหลัง
เราดำรงอยู่ในตติยฌานได้อย่างมั่นคง
เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข
จตุตถฌาน
ต่อมา
เราได้พิจารณาว่า จตุตถฌาน คืออะไร
ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
ละทั้งสุขและทุกข์
ดับความยินดีและความไม่ยินดี
เหลือแต่ความเป็นกลาง
มีสติบริสุทธิ์อย่างยิ่ง
สภาวะนี้เรียกว่า จตุตถฌาน
เราก็เข้าถึงจตุตถฌานนั้น
แต่ยังมีความละเอียดของสุขเก่าแฝงอยู่
พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า
“อย่าประมาทจตุตถฌาน
จงตั้งจิตให้มั่นในจตุตถฌาน”
ภายหลัง
เราจึงดำรงอยู่ในจตุตถฌานได้อย่างบริสุทธิ์
อรูปฌาน ๔
อากาสานัญจายตนะ
เมื่อก้าวล่วงรูปทั้งหมด
จิตตั้งอยู่ในอารมณ์ว่า
“อากาศไม่มีที่สิ้นสุด”
วิญญาณัญจายตนะ
เมื่อก้าวล่วงอากาศ
จิตตั้งอยู่ในอารมณ์ว่า
“วิญญาณไม่มีที่สิ้นสุด”
อากิญจัญญายตนะ
เมื่อก้าวล่วงวิญญาณ
จิตตั้งอยู่ในความรู้ว่า
“ไม่มีอะไรเลย”
เนวสัญญานาสัญญายตนะ
เมื่อก้าวล่วงความไม่มีนั้น
จิตอยู่ในสภาวะที่
ไม่อาจกล่าวว่า มีสัญญา หรือ ไม่มีสัญญา
ทุกขั้น
เมื่อยังมีความยึดติดหลงเหลือ
พระผู้มีพระภาคเสด็จมาเตือนเสมอว่า
“อย่าประมาท
จงตั้งจิตให้เป็นหนึ่ง และมั่นคงในธรรมขั้นนั้น”
อนิมิตตเจโตสมาธิ
ต่อมา
เราได้พิจารณาว่า
อนิมิตตเจโตสมาธิ คืออะไร
ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
ตั้งจิตโดยไม่ยึดนิมิตใด ๆ เลย
ไม่เกาะเกี่ยวเครื่องหมายใดทั้งสิ้น
จิตวางอารมณ์ทั้งปวง
สภาวะนี้เรียกว่า อนิมิตตเจโตสมาธิ
แม้ในขั้นนี้
พระผู้มีพระภาคก็ยังตรัสเตือนว่า
“อย่าประมาทจงตั้งจิตให้เป็นหนึ่ง และมั่นคงในอนิมิตตเจโตสมาธิ”