..... บังกลา ล่าหัวใจ .....(บทที่ ๑๗)

หมายเหตุ บทที่ ๑๖ อยู่กระทู้เดียวกับบทที่ ๑๕ ค่ะ




บทที่ ๑๗




‘ก็ยังดี ’  ธีรดาแอบคิดขณะเคี้ยวข้าวกับปลาปั๊ปด้าในน้ำแกงกระหรี่ข้นตุ้ยๆ


ค่ำวันนี้ หลังจากสนุกสนานกันที่ฟาร์มปลาแล้ว อันวาร์และผองเพื่อนก็พาเธอกลับเข้าเมือง ก่อนเส้นตายที่เวลาสองทุ่ม เพราะทั้งหมดได้รับเชิญจากเจ้านายคนสำคัญคือท่านรองประธานฯ ผู้ซึ่งไม่ค่อยได้ออกมาลงพื้นที่แถบนี้บ่อยนัก


พนักงานฝ่ายขายของบริษัทหลายคนก็ไม่เคยเห็นหน้าท่านรองฯด้วยซ้ำ ธีรดาเพิ่งรู้ว่าที่นี่ การบริหารทีมขายจะกระจายไปตั้งสำนักงานสาขาตามพื้นที่สำคัญ เป็นเขตเป็นภาคไป และเฉพาะผู้จัดการเขตเท่านั้นที่จะได้เข้าสำนักงานใหญ่ทุกเดือนหรือสองเดือน แล้วแต่ฝ่ายบริหารจะเรียกให้เข้าไปประชุม นั่นอาจเป็นเพราะความไม่สะดวกในการเดินทาง อีกทั้งลำดับชั้นในการทำงานนั้นมีความสำคัญอย่างเด่นชัด อย่างที่สาวไทยอดคิดแปลกใจไม่ได้ ว่าบังกลาเทศนั้นเป็นประเทศที่ผู้คนส่วนใหญ่เป็นมุสลิม แต่พฤติกรรมนั้นมีการแบ่งชั้นวรรณะกันอย่างค่อนข้างชัด อย่างที่หญิงสาวเห็นจากที่โรงงาน และในขณะนี้


สาวไทยสังเกตเห็นว่าหนุ่มๆทีมขายอาหารสัตว์ที่ได้รับเชิญมาดินเนอร์ค่ำนี้ ทุกคนดูกระตือรือร้นและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้ร่วมโต๊ะกับผู้บริหาร แต่ก็มีความเหินห่าง มีช่องว่างกว้างใหญ่ในปฏิสัมพันธ์เป็นลำดับชั้นไป


อย่างไรก็ดี ยังด่วนสรุปไม่ได้ว่าผู้คนส่วนใหญ่จะเป็นแบบนี้ทั้งหมด เพราะเธอเพิ่งมาถึง นี่อาจเป็นเพียงแค่วัฒนธรรมองค์กรของเบงกอล อะโกรกรุ๊ป ก็เป็นได้


สาวไทยตักปลาปั๊ปด้ามากินอีก จานนี้เป็นปั๊ปด้าทอดกรอบ เธอจับตัวปลาหักแล้วเอาไปจิ้มน้ำแกงข้นๆที่มีรสเผ็ดนิดๆ ปลาทอดกรอบ ตัวขนาดกำลังพอเหมาะทำเอาคิดถึงปลาเนื้ออ่อนทอดจิ้มน้ำปลาพริกแบบไทยๆขึ้นมาอย่างหนัก

“ชอบมากหรือ” เสียงทุ้มทรงอำนาจถามหล่อน แต่ระหว่างที่รีบเคี้ยวเพื่ออ้าปากจะตอบ สายตาเจ้ากรรมก็เห็นเหล่าหนุ่มๆจ้องเป๋ง

เฮ้อ ซุปตาร์จะต้องวางท่าสวยตลอดเลยหรือไงนะ ก็มือเปื้อนนะ เดี๋ยวดูดนิ้วโชว์เสียเลยนี่


“ อร่อยดีค่ะ “ แต่ตอบอย่างเรียบร้อย สงบเสงี่ยม คงจะเหมาะสมที่สุด

“ เห็นบอกว่า เมืองไทยก็มี” อื้อฮือ มีคนรายงานให้"ท่าน"ทราบแล้ว

“ค่ะ”

“ ปรุงแบบไหนหรือ ที่นิยมกันในเมืองไทย” เสียงคนที่ใหญ่ที่สุดชวนคุย

ธีรดานึกถึงเมนูโปรดอันได้แก่ฉู่ฉี่ปลาเนื้ออ่อน และปลาเนื้ออ่อนทอดกระเทียม สาวไทยพยายามอธิบายด้วยภาษาอังกฤษที่ฟังๆออกจะประดักประเดิด เขินเหมือนกัน ท่านรองฯ คุณเลขา และอันวาร์ล่ามประจำตัวของเธอ พวกเขาสามคนล้วนใช้ภาษาอังกฤษกันได้อย่างไพเราะเพราะพริ้ง

แต่เอาเถอะ ไม่ต้องพูดไพเราะถูกต้องตรงเป๊ะตามหลักไวยกรณ์ ขอเอาแบบรอดตัวได้ พูดไปแล้วเขาเข้าใจถูกต้อง ก็คงพอถูไถ

“ฟังดูน่าอร่อย ถ้าไปเมืองไทยคราวหน้า ฉันคงต้องขอให้เธอช่วยสั่งมาให้ชิมนะ” ผู้ยิ่งใหญ่ในโต๊ะนี้มารยาทดีจัง ยังคงแสดงความสนอกสนใจ

“ได้สิคะ แล้วถ้าเมนูทอดนะคะ จะอร่อยมาก เมื่อจิ้มๆกับน้ำจิ้มแบบไทยๆ ว่าแต่ ท่านรู้จักน้ำปลาไหมคะ กินน้ำปลาได้ไหม จะเหม็นหรือเปล่าคะ”



สาวไทยเริ่มฟุ้งเป็นคุ้งเป็นแคว หนุ่มๆมองตามมือที่เธอหักปลาแล้วทำท่าจิ้มๆกันเขม็ง หลายคนทำหน้ายิ้มๆเมื่อเธอทำท่าจิ้มๆแล้วเอาเข้าปากเคี้ยวกร้วมๆ

“ รู้จักสิ ฉันไปเมืองไทยและเวียดนามมาหลายครั้ง เลยพอจะคุ้น ถ้ากลิ่นไม่รุนแรงมากเกินไป ก็พอรับได้” ชาห์เรียร์ยิ้มบางๆเมื่อมองท่าทางของคนที่พยายามอธิบายให้เขาเห็นภาพ และพอพูดคำว่าเวียดนาม ก็รู้สึกว่าคุ้นๆกับคนข้างๆพอดี “ล่าสุดตอนปลายปี ได้ไปงานคอนเฟอเร้นซ์ที่โฮจิมินห์ก็ได้ชิมน้ำปลาเวียดนามเหมือนกัน”

“ อ่อ ไปงานนั้นด้วยหรือคะ นี่ก็ไปออกบูธมาค่ะ ได้เจอกับคุณอันวาร์ที่นั่น เนอะ คุณอันวาร์”


สาวข้างกายพยักเพยิด ชายหนุ่มจึงมั่นใจ ว่ายายคนที่ออกบูธแต่ไม่สนใจใคร เอาแต่ปลื้มปริ่มกับการตกแต่งบูธของตัวเอง คือแม่สาวคนนี้นี่เอง


ชาห์เรียร์ยิ้มขำ เมื่อสาวไทยแสดงอาการว่าอิ่มด้วยการดึงกระดาษเปียกออกมาเช็ดมือ ยังจำได้ว่าเมื่อเริ่มมื้ออาหาร ชายหนุ่มทั้งหมดรวมถึงเขาผู้เป็นเจ้าภาพเริ่มต้นด้วยการล้างทำความสะอาดมือและรับประทานโดยไม่ใช้ช้อน สาวไทยคุยฟุ้งว่าเธอก็เปิปเป็น แต่ไม่ค่อยถนัดและอาจจะเลอะเทอะมาก จึงขอใช้ช้อน แต่ดูเอาเถอะ ขนาดใช้ทั้งช้อนทั้งส้อม แต่สองมือของเธอก็ไม่วายเลอะไปหลายนิ้ว โดยเฉพาะตอนสาธิตเรื่องการกินปลาปั๊ปด้าทอด

ในขณะที่เขาเลอะไม่กี่นิ้วที่มือขวาข้างเดียว นั่น ใช้กระดาษเปียกไปตั้งสามแผ่น ไม่อยากคิดว่าถ้าเจ้าหล่อนใช้มือเปิป จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

ชายหนุ่มรู้ตัวเหมือนกัน ว่าถูกลอบจับจ้องจากเหล่าลูกน้องที่ร่วมโต๊ะ เอาเถิด นานๆที คงไม่ถึงขนาดเสียการปกครองกระมัง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่