ช่วงที่ผ่านมามีร้านอาหารญี่ปุ่นอยู่เจ้านึงที่ถ้ามีโอกาส + เงิน จะไปกินทุกครั้ง นั่นก็คือร้าน
Umenohana ที่
Nihonmura (นิฮอนมุระ) ทองหล่อซอย 13 (จริงๆเข้าจากซฮย 11 หรือซอยอื่นก็ได้ มันทะลุกันหมดแหละ ฮาาา) เราเจอร้านนนี้ก็จากกระทู้ในพันทิปนี่แหละ ประกอบกับชอบอาหารญี่ปุ่น (และทุกอย่างที่เป็นญี่ปุ่น) อยู่แล้ว ก็เลยตามไปกิน ปรากฏว่าติดใจ สัปดาห์ที่แล้วก็ไปอีกประจวบเหมาะพกกล้องไปพอดี วันนี้ก็เลยจะมาบอกต่อความฟินให้ฟัง
ก่อนอื่นขอขยายความหัวข้อกระทู้กันนิดว่า
ร้านอาหารญี่ปุ่นแบบKaiseki (ไคเซกิ) คืออะไร?
Kaiseki (ไคเซกิ, 懐石) หรือ Kaiseki Ryuri (ไคเซกิ เรียวริ, 懐石料理) เรียกให้เข้าใจง่ายๆอีกอย่างก็คือชุดอาหารญี่ปุ่นที่ยกมาเสิร์ฟตามลำดับธรรมเนียมญี่ปุ่น และใช้วัตถุดิบตามฤดูกาลเหมือน
Full Course (ฟูลคอร์ส) หรือ
Haute Cuisine (โอต กวีซีน) ของฝรั่ง โดยที่ร้าน Umenohana เราสามารถบอกเขาได้ว่า อยากให้ยกมาเสิร์ฟทีละอย่าง หรือมาทั้งหมดทีเดียว สำหรับครั้งนี้ เราขอให้เขาค่อยๆยกมา เพราะกลัวอาหารชืดแล้วไม่อร่อย
ปกติไปสองคน จะใช้เวลาในการเลือกนานมาก เพราะละลานตาไปหมด ช่วยนี้มีโปรโมชั่นครบรอบ 30 ปีด้วย เมนูขึ้นชื่อของทางร้านคือเมนูเซ็ทเต้าหู้ที่เรามากินทุกครั้งที่มา แต่คราวนี้ขอเปลี่ยนบ้าง พี่พนักงานแนะนำเป็นชุดใหญ่ชุดเดียวไปเลยก็จัดหนักมาตามนั้น โดยเมนูนี้มีชื่อว่า
“Mai” มีอาหารทั้งหมด 9 อย่าง เป็นอาหารเย็น 3 อาหารร้อน 5 อย่าง และของหวานอีก 1 ค่ะ
Aguri Salmon Ikura with Oroshi Ponzu (ปลาแซลมอนและอิคุระ (ไข่ปลาแซลมอน) ลนไฟในซอสเปรี้ยว)
ด้านล่างเป็นเห็ดกับแซลม่อนที่ลนไฟแค่สุกด้านนอก พร้อมไข่ปลาแซลมอน ด้านบนราดด้วยไชเท้าฝนและซอสเปรี้ยวพอนสึ ความเปรี้ยวของพอนสึช่วยตัดความมันของปลาและไข่ปลา เป็นเมนูออเดิร์ฟเย็นๆที่เรียกน้ำย่อยได้เป็นอย่างดี
Grilled Sesame Tofu with Fresh Uni (เต้าหู้งาย่างหน้าไข่หอยเม่นสด)
เมนูนี้แค่ได้ยินชื่อกลิ่นก็ลอยมา ทั้งงา และไข่หอยเม่น ตัดแบ่งครึ่งกันแล้วกินเข้าไปทั้งคำ ต้องบอกว่าเป็นเมนูที่หอมนุ่มนิ่ม Fluffy มาก กลิ่นงาจะคลุ้งอยู่ในปาก พร้อมกับความนุ่มของเต้าหู้และไข่หอนเม่น เคี้ยวไปเรื่อยๆจะได้กลิ่นของถั่วลันเตาและวาซาบิช่วยตบท้าย เป็นเมนูที่ฟินมากจริงๆ
Sashimi Toro & Kampachi (ปลาดิบโทโร่ และคัมปาจิ)
ปลาดิบชิ้นโตเนื้อหนาสีชมพูเต่งๆ 4 ชิ้นที่แทบจะตบแย่งกันกิน แค่ภาพก็ไม่ต้องมีคำบรรยายอะไรแล้ว มัน เด้ง ลื่น ละลาย ฟิน~
Kaisen Dobin Mushi (ซุปกาปลาไทและกุ้ง)
คั่นล้างปากกันนิดด้วยซุปกา ซุปกาของที่นี่จะไม่ได้ใช้มะนาวทั่วๆไป แต่ใช้ สึดากิ เป็นมะนาวญี่ปุ่น สังเกตเนื้อจกออกสีอมเหลืองกว่ามะนาวปกติ แต่ซีกนี้ให้น้ำค่อนข้างน้อยไปนิสนึง ยกซดได้สี่ถ้วยถ้วน ก็เปิดกดมากินเนื้อข้างใน มีทั้งปลาไท (ปลากะพง) กุ้ง โมจิ และฟองเต้าหู้
Kuroge Wagyu Houma Yaki (เนื้อคุโรเกะวากิวย่างมิโซะ)
เมนูเนื้อ 1 เดียวในเซ็ท เป็นเนื้อวัวพันธุ์ญี่ปุ่นขนดำ ตัดเป็นชิ้นพอดีคำ ย่างมิโซะบนใบโฮบะ กัดทั้งชิ้นน้ำเนื้อกรฉูด ได้ความรสจากเนื้อและมิโซะ กลิ่นเผ็ดฉุนของพริกไทยสีชมพูและหอมญี่ปุ่นหั่นฝอยช่วยตัดความมันและเค็มของเนื้อกับมิโซะ พร้อมปิดท้ายด้วยผักแกล้มและเม็ดแปะก้วยช่วยล้างปาก
Zuwai Kani Suki (หม้อไฟปูสึวาอิสด)
มาถึงเมนูหลักของวันนี้ หม้อไฟปูสึวาอิเนื้อหวาน ที่แคะไปก็ฟินไป จะกินเปล่าๆก็หวานเนื้อ หรือจะกินกับพอนสึก็ไห้ความรู้สึกที่สดชื่น ซดกับซุปและผักเคียงยิ่งอร่อย
Zuwai Kani Tempura (ปูสึวาอิเทมปุระ)
ยังคงวุ่นวายอยู่กับปูสึวาอิ คือของเขาดีจริงอะไรจริง มีผักทอดเทมปุระมากินแกล้มหน่อยนึง เป็นเมนูที่หมดอย่างไว เพราะกลัวมันหายกรอบแล้วจะไม่อร่อย จากนั้นก็กลับไปตั้งหน้าตั้งตาแคะปูจากหม้อไฟต่อ ฮาาา
Kani Soft-bioled rice (ข้าวต้มปูสึวาอิ)
ต่อกันที่ข้าวต้ม ตอนแรกก็คิดนะว่าคงมาเป็นถ้วยๆ พอยกมาเสิร์ฟเท่านั้นแหละ ข้าวสวยมาเป็นโถเลยค่า (มันคือถ้วยที่ใหญ่มาก) ถึงกับอ้าปากค้าง นั่งดูเขาตักข้าวลงหม้อไฟที่ปูหมดแล้ว เขาจะทำให้ทาน ตักให้ทานตรงนั้นเลย นอกจากข้าวก็มีไข่ กับต้นหอม แล้วคิดว่าจริงๆคงต้องใส่เนื้อปูด้วย แต่เราไม่รู้ แคะปูกินหมดไปแล้ว เมนูนี้เลยกลายเป็นข้าวต้มไข่ซุปปูไปแทน แล้วพอดีเราไม่คิดว่าข้ามต้มจะเยอะ เลยสั่ง ข้าวญี่ปุ่น กับผักดองและซุปมิโซะมาเพิ่มด้วย จากอิ่มกลายเป็นอืดกันเลยคราวนี้
Japanese Stream Rice with Pickles and Yuba Miso Soup (ข้าวญี่ปุ่น ผักดอง ซุปมิโซะ)
เป็นเมนูที่ติดใจจากตอนที่มากินครั้งก่อนๆ เพราะข้าวสวยร้อนๆกับผักดองเย็นๆ คือไม่คิดว่ามันจะเข้ากัน แล้วปกติเราเป็รคนไม่กินผักดอง แต่ที่นี่คือมันดีงาม มันฟิน มันสด มันเป็นเมนูตบท้ายที่ล้างปากได้ดีมาก กินแล้วสดชื่น แถมด้วยซุปเต้าเจี้ยวแดงกับฟองเต้าหู้
Matcha Monaka with Tonyu Warabi Mochi (ไอศกรีมชาเขียวกับถั่วแดง และวาราบิโมจิ )
ของหวานที่จบมื้อนี้แบบสวยๆ ทั้งหวานถั่วแดง หอมชาเขียวและวาราบิโมจิ บวกกับความกรุบกรอบของแป้ง ฟินให้ตายกันไปข้างเลยค่าาาา
สิริรวมมื้อนี้ทั้งหมด 3,000 กว่าบาท (ชุด Mai 2,900 กว่า บวกกับ ข้าวผักดอง ร้อยกว่า) ถามว่าตัวจะแตกไหม ก็คงต้องบอกว่าปริแล้ว ฮาาา แถมท้ายทางร้านมีเสิร์ฟ
ชาโฮชินจะ เป็นชาเขียวที่นำไปขั้วจนเป็นสีน้ำตาลก่อนนำมาทำชา ช่วยในการย่อย เราคิดไปเองหรือเปล่าไม่รู้ แต่พอดื่มหมดถ้วย นั่งซักแปป เออ มันไม่แน่นท้องเหมือนกินเสร็จแรกๆเนอะ เลยรีบถามอย่างไวว่าซื้อได้ที่ไหน คือเป็นสิ่งที่สาย-ควรมีไว้มาก แต่คำตอบที่ได้ทำน้ำตาตก เพราะเขาบอกว่าไม่มีขายต้องไปซื้อจากญี่ปุ่นอย่างเดียว TT^TT กินอิ่ม กลับถึงบ้านก็หลับสบายพุง
สำหรับใครที่ชอบทานอาหารญี่ปุ่น ไม่อยากให้พลาดร้านนี้จริงๆ เพราะนอกจากอาหารอร่อยแล้ว ยังบริการเลิศ โทรจองห้องส่วนตัวได้ ไม่มีชาร์จเพิ่มด้วยจ้า
[CR] ฟินกับอาหารญี่ปุ่นแบบKaiseki (ไคเซกิ) ที่ ‘UMENOHANA’
ก่อนอื่นขอขยายความหัวข้อกระทู้กันนิดว่า ร้านอาหารญี่ปุ่นแบบKaiseki (ไคเซกิ) คืออะไร?
Kaiseki (ไคเซกิ, 懐石) หรือ Kaiseki Ryuri (ไคเซกิ เรียวริ, 懐石料理) เรียกให้เข้าใจง่ายๆอีกอย่างก็คือชุดอาหารญี่ปุ่นที่ยกมาเสิร์ฟตามลำดับธรรมเนียมญี่ปุ่น และใช้วัตถุดิบตามฤดูกาลเหมือน Full Course (ฟูลคอร์ส) หรือ Haute Cuisine (โอต กวีซีน) ของฝรั่ง โดยที่ร้าน Umenohana เราสามารถบอกเขาได้ว่า อยากให้ยกมาเสิร์ฟทีละอย่าง หรือมาทั้งหมดทีเดียว สำหรับครั้งนี้ เราขอให้เขาค่อยๆยกมา เพราะกลัวอาหารชืดแล้วไม่อร่อย
ปกติไปสองคน จะใช้เวลาในการเลือกนานมาก เพราะละลานตาไปหมด ช่วยนี้มีโปรโมชั่นครบรอบ 30 ปีด้วย เมนูขึ้นชื่อของทางร้านคือเมนูเซ็ทเต้าหู้ที่เรามากินทุกครั้งที่มา แต่คราวนี้ขอเปลี่ยนบ้าง พี่พนักงานแนะนำเป็นชุดใหญ่ชุดเดียวไปเลยก็จัดหนักมาตามนั้น โดยเมนูนี้มีชื่อว่า “Mai” มีอาหารทั้งหมด 9 อย่าง เป็นอาหารเย็น 3 อาหารร้อน 5 อย่าง และของหวานอีก 1 ค่ะ
Aguri Salmon Ikura with Oroshi Ponzu (ปลาแซลมอนและอิคุระ (ไข่ปลาแซลมอน) ลนไฟในซอสเปรี้ยว)
ด้านล่างเป็นเห็ดกับแซลม่อนที่ลนไฟแค่สุกด้านนอก พร้อมไข่ปลาแซลมอน ด้านบนราดด้วยไชเท้าฝนและซอสเปรี้ยวพอนสึ ความเปรี้ยวของพอนสึช่วยตัดความมันของปลาและไข่ปลา เป็นเมนูออเดิร์ฟเย็นๆที่เรียกน้ำย่อยได้เป็นอย่างดี
Grilled Sesame Tofu with Fresh Uni (เต้าหู้งาย่างหน้าไข่หอยเม่นสด)
เมนูนี้แค่ได้ยินชื่อกลิ่นก็ลอยมา ทั้งงา และไข่หอยเม่น ตัดแบ่งครึ่งกันแล้วกินเข้าไปทั้งคำ ต้องบอกว่าเป็นเมนูที่หอมนุ่มนิ่ม Fluffy มาก กลิ่นงาจะคลุ้งอยู่ในปาก พร้อมกับความนุ่มของเต้าหู้และไข่หอนเม่น เคี้ยวไปเรื่อยๆจะได้กลิ่นของถั่วลันเตาและวาซาบิช่วยตบท้าย เป็นเมนูที่ฟินมากจริงๆ
Sashimi Toro & Kampachi (ปลาดิบโทโร่ และคัมปาจิ)
ปลาดิบชิ้นโตเนื้อหนาสีชมพูเต่งๆ 4 ชิ้นที่แทบจะตบแย่งกันกิน แค่ภาพก็ไม่ต้องมีคำบรรยายอะไรแล้ว มัน เด้ง ลื่น ละลาย ฟิน~
Kaisen Dobin Mushi (ซุปกาปลาไทและกุ้ง)
คั่นล้างปากกันนิดด้วยซุปกา ซุปกาของที่นี่จะไม่ได้ใช้มะนาวทั่วๆไป แต่ใช้ สึดากิ เป็นมะนาวญี่ปุ่น สังเกตเนื้อจกออกสีอมเหลืองกว่ามะนาวปกติ แต่ซีกนี้ให้น้ำค่อนข้างน้อยไปนิสนึง ยกซดได้สี่ถ้วยถ้วน ก็เปิดกดมากินเนื้อข้างใน มีทั้งปลาไท (ปลากะพง) กุ้ง โมจิ และฟองเต้าหู้
Kuroge Wagyu Houma Yaki (เนื้อคุโรเกะวากิวย่างมิโซะ)
เมนูเนื้อ 1 เดียวในเซ็ท เป็นเนื้อวัวพันธุ์ญี่ปุ่นขนดำ ตัดเป็นชิ้นพอดีคำ ย่างมิโซะบนใบโฮบะ กัดทั้งชิ้นน้ำเนื้อกรฉูด ได้ความรสจากเนื้อและมิโซะ กลิ่นเผ็ดฉุนของพริกไทยสีชมพูและหอมญี่ปุ่นหั่นฝอยช่วยตัดความมันและเค็มของเนื้อกับมิโซะ พร้อมปิดท้ายด้วยผักแกล้มและเม็ดแปะก้วยช่วยล้างปาก
Zuwai Kani Suki (หม้อไฟปูสึวาอิสด)
มาถึงเมนูหลักของวันนี้ หม้อไฟปูสึวาอิเนื้อหวาน ที่แคะไปก็ฟินไป จะกินเปล่าๆก็หวานเนื้อ หรือจะกินกับพอนสึก็ไห้ความรู้สึกที่สดชื่น ซดกับซุปและผักเคียงยิ่งอร่อย
Zuwai Kani Tempura (ปูสึวาอิเทมปุระ)
ยังคงวุ่นวายอยู่กับปูสึวาอิ คือของเขาดีจริงอะไรจริง มีผักทอดเทมปุระมากินแกล้มหน่อยนึง เป็นเมนูที่หมดอย่างไว เพราะกลัวมันหายกรอบแล้วจะไม่อร่อย จากนั้นก็กลับไปตั้งหน้าตั้งตาแคะปูจากหม้อไฟต่อ ฮาาา
Kani Soft-bioled rice (ข้าวต้มปูสึวาอิ)
ต่อกันที่ข้าวต้ม ตอนแรกก็คิดนะว่าคงมาเป็นถ้วยๆ พอยกมาเสิร์ฟเท่านั้นแหละ ข้าวสวยมาเป็นโถเลยค่า (มันคือถ้วยที่ใหญ่มาก) ถึงกับอ้าปากค้าง นั่งดูเขาตักข้าวลงหม้อไฟที่ปูหมดแล้ว เขาจะทำให้ทาน ตักให้ทานตรงนั้นเลย นอกจากข้าวก็มีไข่ กับต้นหอม แล้วคิดว่าจริงๆคงต้องใส่เนื้อปูด้วย แต่เราไม่รู้ แคะปูกินหมดไปแล้ว เมนูนี้เลยกลายเป็นข้าวต้มไข่ซุปปูไปแทน แล้วพอดีเราไม่คิดว่าข้ามต้มจะเยอะ เลยสั่ง ข้าวญี่ปุ่น กับผักดองและซุปมิโซะมาเพิ่มด้วย จากอิ่มกลายเป็นอืดกันเลยคราวนี้
Japanese Stream Rice with Pickles and Yuba Miso Soup (ข้าวญี่ปุ่น ผักดอง ซุปมิโซะ)
เป็นเมนูที่ติดใจจากตอนที่มากินครั้งก่อนๆ เพราะข้าวสวยร้อนๆกับผักดองเย็นๆ คือไม่คิดว่ามันจะเข้ากัน แล้วปกติเราเป็รคนไม่กินผักดอง แต่ที่นี่คือมันดีงาม มันฟิน มันสด มันเป็นเมนูตบท้ายที่ล้างปากได้ดีมาก กินแล้วสดชื่น แถมด้วยซุปเต้าเจี้ยวแดงกับฟองเต้าหู้
Matcha Monaka with Tonyu Warabi Mochi (ไอศกรีมชาเขียวกับถั่วแดง และวาราบิโมจิ )
ของหวานที่จบมื้อนี้แบบสวยๆ ทั้งหวานถั่วแดง หอมชาเขียวและวาราบิโมจิ บวกกับความกรุบกรอบของแป้ง ฟินให้ตายกันไปข้างเลยค่าาาา
สิริรวมมื้อนี้ทั้งหมด 3,000 กว่าบาท (ชุด Mai 2,900 กว่า บวกกับ ข้าวผักดอง ร้อยกว่า) ถามว่าตัวจะแตกไหม ก็คงต้องบอกว่าปริแล้ว ฮาาา แถมท้ายทางร้านมีเสิร์ฟ ชาโฮชินจะ เป็นชาเขียวที่นำไปขั้วจนเป็นสีน้ำตาลก่อนนำมาทำชา ช่วยในการย่อย เราคิดไปเองหรือเปล่าไม่รู้ แต่พอดื่มหมดถ้วย นั่งซักแปป เออ มันไม่แน่นท้องเหมือนกินเสร็จแรกๆเนอะ เลยรีบถามอย่างไวว่าซื้อได้ที่ไหน คือเป็นสิ่งที่สาย-ควรมีไว้มาก แต่คำตอบที่ได้ทำน้ำตาตก เพราะเขาบอกว่าไม่มีขายต้องไปซื้อจากญี่ปุ่นอย่างเดียว TT^TT กินอิ่ม กลับถึงบ้านก็หลับสบายพุง
สำหรับใครที่ชอบทานอาหารญี่ปุ่น ไม่อยากให้พลาดร้านนี้จริงๆ เพราะนอกจากอาหารอร่อยแล้ว ยังบริการเลิศ โทรจองห้องส่วนตัวได้ ไม่มีชาร์จเพิ่มด้วยจ้า
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น