ตอนที่ 1
http://pantip.com/topic/34005323
ตอนที่ 2
http://pantip.com/topic/34019478
Beginning-จุดสิ้นสุด
ตอนที่ 3 การต่อสู้ที่ทุ่งสะวันน่า
หนึ่งสัปดาห์ก่อนที่ไคโรประเทศอียิปต์
ถนนอิฐสีแดงเลือดนกทอดตัวยาวจากประตูหลังบานใหญ่ของคฤหาสน์หลังงาม ตัดผ่านสวนดอกไม้นานาพันธ์หลากสีสันสวยงามไปจนสุดกำแพงด้านหลัง ในช่วงเวลาสายอย่างนี้ของทุกๆวัน ถนนเส้นนี้จะถูกปกคลุมด้วยร่มเงาของแนวต้นมะเดื่อ ที่ยืนต้นเรียงรายอยู่สองข้างทางตลอดทั้งเส้น เป็นเวลาเดียวกับที่แสงแดด พยายามเล็ดลอดช่องว่างระหว่างใบมะเดื่อ จนสามารถทิ้งตัวลงแนบกับพื้นผิวถนน แข่งกันอวดแสงตามช่องว่างที่มันลอดผ่านลงมา เกิดเป็นลวดลายราวกับศิลปินเอกของโลก ได้บรรจงใช้พู่กันจุ่มไปที่ดวงตะวันแล้วนำมาแต้มลงบนร่มเงาของใบมะเดื่อแทนผืนผ้า ความงดงามนั้นไม่ต่างกับดวงดาว ที่กำลังทอแสงประดับผืนฟ้าในคืนเดือนแรมเลยแม้แต่น้อย ส่งให้ภาพของถนนหลังคฤหาสน์แห่งนี้ งดงามจนแทบไม่อยากเชื่อว่า ถนนเส้นนี้จะมีอยู่จริงบนโลก
ณ จุดปลายของถนนคือสุสานของเด็กหญิงอายุเก้าขวบ ที่ถูกสลักชื่อไว้ที่ป้ายหลุมศพว่า เฟมี่ กาลิส เวลานี้ป้ายหลุมศพของเด็กหญิงกำลังถูกจ้องมอง ด้วยดวงตาที่แสนอาลัยและเศร้าสร้อยของชายชาวอียิปต์วัยห้าสิบสอง ผู้ไว้หนวดเหนือริมฝีปากด้านบนโค้งยาวไปจนสุดมุมปาก เส้นผมของเขาขาวโพลนเกือบจะทุกเส้น มีที่เป็นเส้นสีดำแซมบ้างเล็กน้อย เส้นผมทั้งหมดถูกหวีรวบไปด้านหลัง พร้อมกับบังคับให้อยู่ทรงด้วยน้ำมันใส่ผมราคาแพง เช่นเดียวกับชุดสูทสีดำสนิทสีเดียวกับเน็คไทที่เขาสวมใส่ก็ราคาไม่ใช่น้อย แม้แต่เสื้อเชิ้ตสีขาวข้างในสูท ก็ไม่ใช่ราคาที่คนทั่วไปจะซื้อได้โดยไม่เสียดายเงิน
ชายคนนี้คือ ฮอนโด กาลิส พ่อค้าน้ำมันเครื่องรายใหญ่ของประเทศอียิปต์ ในเวลานี้ของทุกๆวันฮอนโดจะมายืนมองป้ายหลุมศพของเด็กหญิงเป็นเวลานาน ก่อนที่เขาจะออกไปทำกิจกรรมอย่างอื่นในแต่ละวัน เป็นอย่างนี้เรื่อยมาตั้งแต่วันที่เด็กหญิงได้ลาโลกไป และถูกนำศพมาฝังไว้ที่หลังคฤหาสน์หลังงามนี้
เด็กหญิงตัวน้อยผู้จากโลกไปก่อนวัยอันควร ก็คือลูกสาวเพียงคนเดียวของฮอนโดนั่นเอง ลูกสาวตัวน้อยของเขาได้ลาจากไปเป็นเวลากว่าสองเดือนแล้ว แต่ฮอนโดก็ยังทำใจไม่ได้กับความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ ทุกความรู้สึกที่ปวดร้าวของชายวัยห้าสิบสอง ยังคงฟ้องออกมาทางแววตา ยามจ้องมองที่ป้ายหลุมศพของลูกสาวในทุกๆครั้ง
“นายท่านครับ คุณเอจิเก้ มาถึงแล้วครับ” เสียงดังมาจากด้านหลังของฮอนโด
เจ้าของเสียงคือชายชราร่างสูงผอม ผมขาวโพลนทั้งศีรษะแต่ไร้เส้นผมปกคลุมตั้งแต่หน้าผากไปจนถึงกลางท้ายทอย เขาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวผูกเน็คไทสีดำสวมทับด้วยเสื้อกั๊กสีเดียวกัน เช่นเดียวกับกางเกงสเลคขายาวที่เขาใส่ ชายชราคนนี้คือหัวหน้าพ่อบ้านคนเก่าคนแก่ของตระกูลกาลิสนามว่า นาสเซอร์ นัจจาดีน
“ให้เข้ามาได้ นาสเซอร์” ฮอนโดพูดทั้งที่ยังหันหลัง
“ผมอยู่ตรงนี้แล้วครับท่าน” เป็นคำพูดของชายผิวดำสูงเกือบสองเมตร ไว้ผมทรงเดดร็อคมัดรวบไปด้านหลัง สวมเสื้อกล้ามสีดำกับกางเกงลายทหารขาสามส่วนดูสบายๆ ซึ่งอยู่ๆเขาก็มาปรากฏตัวแบบทันทีทันใดราวกับล่องหนมา
ฮอนโดหันหลังกลับแล้วเดินตรงเข้ามาบีบคอชายผิวดำร่างโย่ง ด้วยมือขวาเพียงข้างเดียว พร้อมกับแววตาที่เปลี่ยนจากเศร้าสร้อยเป็นเกรี้ยวกราด ก่อนจะตวาดชายผิวหมึก
“ทีหลังถ้าฉันยังไม่อนุญาต แกอย่าสะเออะเข้ามาโดยพละการ เข้าใจไหมเอจิเก้”
“ขอประทานโทษครับท่าน ยกโทษให้ผมด้วย” เอจิเก้ขอโทษผู้เป็นนายด้วยน้ำเสียงและเนื้อตัวสั่น
ได้ยินดังนั้นชายวัยห้าสิบสองก็ค่อยๆคลายโทสะลง
“งานที่ฉันสั่ง แกทำหรือยัง”
“ผมส่ง คิรีลล์ ไปแล้วครับท่าน ท่านจะได้ตัวมันแน่นอนครับ” ชายหนุ่มรีบรายงานทันที
“นี่แกไม่มีสมองใช่ไหม แกถึงได้ส่งไอ้บื้อคิรีลล์ไปทำงานคนเดียว แกคิดว่าโง่ๆอย่างมันจะจับเจ้านั่นได้ ด้วยตัวคนเดียวอย่างงั้นเหรอ” ฮอนโดตวาดลูกน้องที่ไม่ได้อย่างใจอีกครั้ง
“แต่ท่านครับ...”
“หุบปากซะ แล้วแกรีบไปช่วยมันเดี๋ยวนี้ แกสองคนต้องเอาตัวมันมาให้ได้ ไม่ว่าเป็นหรือตาย” ฮอนโดตัดบทด้วยการออกคำสั่งทันทีที่เอจิเก้จะพูด
“ครับนายท่าน” สิ้นเสียงตอบรับ เอจิเก้ก็เดินออกจากจุดนั้นไปเพียงเล็กน้อย ร่างของเขาก็หายวับไป จากสถานที่แห่งนั้นราวกับอากาศ
สองวันหลังจากวันนั้นที่ทุ่งสะวันน่าตอนเหนือของประเทศเคนย่า...
ฝูงสัตว์ใหญ่น้อยที่อยู่ใต้แผ่นฟ้างามสะอาด สีฟ้าสดใสไร้เมฆบดบัง ในวันที่อากาศดีที่สุดวันหนึ่งของทุ่งสะวันน่า ค่อยๆย้ายร่างกายตัวเองออกจากพื้นที่ของถนนลูกรัง เพราะจำต้องหลีกทางให้รถตู้สีขาวฝุ่นเขรอะขนาดคนนั่งสิบสี่คน ที่กำลังวิ่งใกล้พวกมันเข้ามาบนถนน บนรถมีผู้โดยสารมาทั้งหมดห้าคนรวมกับคนขับด้วย แม้จะมีจำนวนผู้โดยสารไม่เต็มที่นั่งของขนาดบรรทุก แต่ที่ว่างที่เหลือก็ไม่ได้เสียประโยชน์ไปเพราะผู้โดยสารไม่ครบ เนื่องจากส่วนที่ไม่มีคนนั่งนั้น ถูกรื้อเบาะและดัดแปลงเป็นที่เก็บสัมภาระและอุปกรณ์สำหรับถ่ายทำสารคดี
ผู้โดยสารทั้งหมดคือทีมงานนักถ่ายทำสารคดีชีวิตสัตว์ ที่ใช้เวลาทำงานทั่วทุกพื้นที่ของป่าในประเทศเคนย่าแห่งนี้มากว่ายี่สิบปี หัวหน้าทีมคือชายวัยกลางคนชาวเสปนร่างกายบึกบึน ผู้ไว้ผมตั้งสีน้ำตาลแดงและมีดวงตาสีฟ้างามราวกับน้ำทะเล ยามต้องแสงอาทิตย์ในตอนเย็น ชื่อของเขาคือ ดีเอโก้ โอลาโน่ โดมิงเกวซ ถูกเรียกในหมู่เพื่อนสั้นๆว่า ดีเอโก้
ดีเอโก้ในชุดเสื้อกล้ามสีขาวกางเกงขาสามส่วนทรงทหารสีครีม กำลังนั่งเขียนบางอย่างลงในสมุดจดข้างคนขับ
“ฉันไม่เข้าใจจริงๆว่า ทำไมนายต้องเขียนสิ่งที่นายจะคุยกับลูกสาว ลงสมุดก่อนโทรหาลูกทุกครั้ง” แบรนดัน โชเฟอร์รถเอ่ยถามแกมจิกดีเอโก้เล็กๆ
“ก็เพราะดีเอโก้มันแยกไม่ออกระหว่างการคุยกับลูกสาวและจีบหญิงน่ะสิ” ประโยคเรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนๆของ โทมัส ซึ่งนั่งคั่นกลางระหว่าง ปีเตอร์และลูอิสดังมาจากเบาะหลัง ก่อนเสียงหัวเราะของทุกคนจะดังลั่นทั้งคันรถ
“ไม่เอาน่าทอมฉันได้เจอหน้าลูกแค่สามเดือนครั้งเอง กว่าจะได้โทรหาลูกทีก็อาทิตย์สองอาทิตย์ ฉันก็แค่อยากทำให้ตัวเองแน่ใจว่าสิ่งที่จะพูดกับลูกคือสิ่งที่ดีที่สุด ในช่วงที่โลกของเรามันติดต่อสื่อสารกันลำบากแบบนี้ ” ดีเอโก้เอ่ยขึ้นท่ามกลางเสียงหัวเราะของเพื่อนๆ
“ปีนี้ วาเลนติน่า อายุเท่าไหร่แล้ว” ปีเตอร์พูดขึ้นมาบ้าง
“ปีนี้ยี่สิบสามแล้ว โตเป็นสาวสวยเชียวล่ะ” ดีเอโก้ตอบด้วยความภูมิใจที่แสดงชัดทางแววตา
“ครั้งสุดท้ายที่ฉันเจอ ยายหนูวอลเลนซ์(ชื่อเล่นของลูกสาวดีเอโก้)ยังสูงแค่สี่ฟุตเอง เวลาเดินเร็วจนไม่ทันรู้ตัวเลยแฮะ” ลูอิสเข้าร่วมสนทนาด้วย
“ใช่ ฉันเองก็เพิ่งรู้ตัวว่าแก่ ตอนส่งลูกเข้าค่ายลี้ภัยที่เมืองไทยเมื่อต้นปีนี่แหละ เพราะใครๆก็บอกว่าฉันคือพ่อของเด็กสาวอายุยี่สิบสาม” ดีเอโก้พูดติดตลก
การสนทนาบนรถตู้ของชายฉกรรจ์ทั้งห้า ยังคงดำเนินต่อไปพร้อมกับการเดินทาง โดยมีแม่น้ำเติร์กเวลที่อยู่ห่างออกไปพอสมควรทางซ้ายมือ ทอดยาวตีคู่ไปกับถนน พร้อมด้วยทุ่งหญ้าโล่งกว้างใหญ่และฝูงสัตว์หลายชนิดทางขวามือ ช่วยกันทำหน้าที่เป็นฉากหลัง ของภาพรถตู้ที่กำลังวิ่งไปตามถนน มุ่งสู่ค่ายลี้ภัยซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับทะเลสาบเทอร์กาน่า อันเป็นจุดหมายปลายทางของคณะ
(มีต่อครับ)
Beginning - จุดสิ้นสุด ตอนที่ 3 การต่อสู้ที่ทุ่งสะวันน่า
ตอนที่ 2 http://pantip.com/topic/34019478
หนึ่งสัปดาห์ก่อนที่ไคโรประเทศอียิปต์
ถนนอิฐสีแดงเลือดนกทอดตัวยาวจากประตูหลังบานใหญ่ของคฤหาสน์หลังงาม ตัดผ่านสวนดอกไม้นานาพันธ์หลากสีสันสวยงามไปจนสุดกำแพงด้านหลัง ในช่วงเวลาสายอย่างนี้ของทุกๆวัน ถนนเส้นนี้จะถูกปกคลุมด้วยร่มเงาของแนวต้นมะเดื่อ ที่ยืนต้นเรียงรายอยู่สองข้างทางตลอดทั้งเส้น เป็นเวลาเดียวกับที่แสงแดด พยายามเล็ดลอดช่องว่างระหว่างใบมะเดื่อ จนสามารถทิ้งตัวลงแนบกับพื้นผิวถนน แข่งกันอวดแสงตามช่องว่างที่มันลอดผ่านลงมา เกิดเป็นลวดลายราวกับศิลปินเอกของโลก ได้บรรจงใช้พู่กันจุ่มไปที่ดวงตะวันแล้วนำมาแต้มลงบนร่มเงาของใบมะเดื่อแทนผืนผ้า ความงดงามนั้นไม่ต่างกับดวงดาว ที่กำลังทอแสงประดับผืนฟ้าในคืนเดือนแรมเลยแม้แต่น้อย ส่งให้ภาพของถนนหลังคฤหาสน์แห่งนี้ งดงามจนแทบไม่อยากเชื่อว่า ถนนเส้นนี้จะมีอยู่จริงบนโลก
ณ จุดปลายของถนนคือสุสานของเด็กหญิงอายุเก้าขวบ ที่ถูกสลักชื่อไว้ที่ป้ายหลุมศพว่า เฟมี่ กาลิส เวลานี้ป้ายหลุมศพของเด็กหญิงกำลังถูกจ้องมอง ด้วยดวงตาที่แสนอาลัยและเศร้าสร้อยของชายชาวอียิปต์วัยห้าสิบสอง ผู้ไว้หนวดเหนือริมฝีปากด้านบนโค้งยาวไปจนสุดมุมปาก เส้นผมของเขาขาวโพลนเกือบจะทุกเส้น มีที่เป็นเส้นสีดำแซมบ้างเล็กน้อย เส้นผมทั้งหมดถูกหวีรวบไปด้านหลัง พร้อมกับบังคับให้อยู่ทรงด้วยน้ำมันใส่ผมราคาแพง เช่นเดียวกับชุดสูทสีดำสนิทสีเดียวกับเน็คไทที่เขาสวมใส่ก็ราคาไม่ใช่น้อย แม้แต่เสื้อเชิ้ตสีขาวข้างในสูท ก็ไม่ใช่ราคาที่คนทั่วไปจะซื้อได้โดยไม่เสียดายเงิน
ชายคนนี้คือ ฮอนโด กาลิส พ่อค้าน้ำมันเครื่องรายใหญ่ของประเทศอียิปต์ ในเวลานี้ของทุกๆวันฮอนโดจะมายืนมองป้ายหลุมศพของเด็กหญิงเป็นเวลานาน ก่อนที่เขาจะออกไปทำกิจกรรมอย่างอื่นในแต่ละวัน เป็นอย่างนี้เรื่อยมาตั้งแต่วันที่เด็กหญิงได้ลาโลกไป และถูกนำศพมาฝังไว้ที่หลังคฤหาสน์หลังงามนี้
เด็กหญิงตัวน้อยผู้จากโลกไปก่อนวัยอันควร ก็คือลูกสาวเพียงคนเดียวของฮอนโดนั่นเอง ลูกสาวตัวน้อยของเขาได้ลาจากไปเป็นเวลากว่าสองเดือนแล้ว แต่ฮอนโดก็ยังทำใจไม่ได้กับความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ ทุกความรู้สึกที่ปวดร้าวของชายวัยห้าสิบสอง ยังคงฟ้องออกมาทางแววตา ยามจ้องมองที่ป้ายหลุมศพของลูกสาวในทุกๆครั้ง
“นายท่านครับ คุณเอจิเก้ มาถึงแล้วครับ” เสียงดังมาจากด้านหลังของฮอนโด
เจ้าของเสียงคือชายชราร่างสูงผอม ผมขาวโพลนทั้งศีรษะแต่ไร้เส้นผมปกคลุมตั้งแต่หน้าผากไปจนถึงกลางท้ายทอย เขาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวผูกเน็คไทสีดำสวมทับด้วยเสื้อกั๊กสีเดียวกัน เช่นเดียวกับกางเกงสเลคขายาวที่เขาใส่ ชายชราคนนี้คือหัวหน้าพ่อบ้านคนเก่าคนแก่ของตระกูลกาลิสนามว่า นาสเซอร์ นัจจาดีน
“ให้เข้ามาได้ นาสเซอร์” ฮอนโดพูดทั้งที่ยังหันหลัง
“ผมอยู่ตรงนี้แล้วครับท่าน” เป็นคำพูดของชายผิวดำสูงเกือบสองเมตร ไว้ผมทรงเดดร็อคมัดรวบไปด้านหลัง สวมเสื้อกล้ามสีดำกับกางเกงลายทหารขาสามส่วนดูสบายๆ ซึ่งอยู่ๆเขาก็มาปรากฏตัวแบบทันทีทันใดราวกับล่องหนมา
ฮอนโดหันหลังกลับแล้วเดินตรงเข้ามาบีบคอชายผิวดำร่างโย่ง ด้วยมือขวาเพียงข้างเดียว พร้อมกับแววตาที่เปลี่ยนจากเศร้าสร้อยเป็นเกรี้ยวกราด ก่อนจะตวาดชายผิวหมึก
“ทีหลังถ้าฉันยังไม่อนุญาต แกอย่าสะเออะเข้ามาโดยพละการ เข้าใจไหมเอจิเก้”
“ขอประทานโทษครับท่าน ยกโทษให้ผมด้วย” เอจิเก้ขอโทษผู้เป็นนายด้วยน้ำเสียงและเนื้อตัวสั่น
ได้ยินดังนั้นชายวัยห้าสิบสองก็ค่อยๆคลายโทสะลง
“งานที่ฉันสั่ง แกทำหรือยัง”
“ผมส่ง คิรีลล์ ไปแล้วครับท่าน ท่านจะได้ตัวมันแน่นอนครับ” ชายหนุ่มรีบรายงานทันที
“นี่แกไม่มีสมองใช่ไหม แกถึงได้ส่งไอ้บื้อคิรีลล์ไปทำงานคนเดียว แกคิดว่าโง่ๆอย่างมันจะจับเจ้านั่นได้ ด้วยตัวคนเดียวอย่างงั้นเหรอ” ฮอนโดตวาดลูกน้องที่ไม่ได้อย่างใจอีกครั้ง
“แต่ท่านครับ...”
“หุบปากซะ แล้วแกรีบไปช่วยมันเดี๋ยวนี้ แกสองคนต้องเอาตัวมันมาให้ได้ ไม่ว่าเป็นหรือตาย” ฮอนโดตัดบทด้วยการออกคำสั่งทันทีที่เอจิเก้จะพูด
“ครับนายท่าน” สิ้นเสียงตอบรับ เอจิเก้ก็เดินออกจากจุดนั้นไปเพียงเล็กน้อย ร่างของเขาก็หายวับไป จากสถานที่แห่งนั้นราวกับอากาศ
สองวันหลังจากวันนั้นที่ทุ่งสะวันน่าตอนเหนือของประเทศเคนย่า...
ฝูงสัตว์ใหญ่น้อยที่อยู่ใต้แผ่นฟ้างามสะอาด สีฟ้าสดใสไร้เมฆบดบัง ในวันที่อากาศดีที่สุดวันหนึ่งของทุ่งสะวันน่า ค่อยๆย้ายร่างกายตัวเองออกจากพื้นที่ของถนนลูกรัง เพราะจำต้องหลีกทางให้รถตู้สีขาวฝุ่นเขรอะขนาดคนนั่งสิบสี่คน ที่กำลังวิ่งใกล้พวกมันเข้ามาบนถนน บนรถมีผู้โดยสารมาทั้งหมดห้าคนรวมกับคนขับด้วย แม้จะมีจำนวนผู้โดยสารไม่เต็มที่นั่งของขนาดบรรทุก แต่ที่ว่างที่เหลือก็ไม่ได้เสียประโยชน์ไปเพราะผู้โดยสารไม่ครบ เนื่องจากส่วนที่ไม่มีคนนั่งนั้น ถูกรื้อเบาะและดัดแปลงเป็นที่เก็บสัมภาระและอุปกรณ์สำหรับถ่ายทำสารคดี
ผู้โดยสารทั้งหมดคือทีมงานนักถ่ายทำสารคดีชีวิตสัตว์ ที่ใช้เวลาทำงานทั่วทุกพื้นที่ของป่าในประเทศเคนย่าแห่งนี้มากว่ายี่สิบปี หัวหน้าทีมคือชายวัยกลางคนชาวเสปนร่างกายบึกบึน ผู้ไว้ผมตั้งสีน้ำตาลแดงและมีดวงตาสีฟ้างามราวกับน้ำทะเล ยามต้องแสงอาทิตย์ในตอนเย็น ชื่อของเขาคือ ดีเอโก้ โอลาโน่ โดมิงเกวซ ถูกเรียกในหมู่เพื่อนสั้นๆว่า ดีเอโก้
ดีเอโก้ในชุดเสื้อกล้ามสีขาวกางเกงขาสามส่วนทรงทหารสีครีม กำลังนั่งเขียนบางอย่างลงในสมุดจดข้างคนขับ
“ฉันไม่เข้าใจจริงๆว่า ทำไมนายต้องเขียนสิ่งที่นายจะคุยกับลูกสาว ลงสมุดก่อนโทรหาลูกทุกครั้ง” แบรนดัน โชเฟอร์รถเอ่ยถามแกมจิกดีเอโก้เล็กๆ
“ก็เพราะดีเอโก้มันแยกไม่ออกระหว่างการคุยกับลูกสาวและจีบหญิงน่ะสิ” ประโยคเรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนๆของ โทมัส ซึ่งนั่งคั่นกลางระหว่าง ปีเตอร์และลูอิสดังมาจากเบาะหลัง ก่อนเสียงหัวเราะของทุกคนจะดังลั่นทั้งคันรถ
“ไม่เอาน่าทอมฉันได้เจอหน้าลูกแค่สามเดือนครั้งเอง กว่าจะได้โทรหาลูกทีก็อาทิตย์สองอาทิตย์ ฉันก็แค่อยากทำให้ตัวเองแน่ใจว่าสิ่งที่จะพูดกับลูกคือสิ่งที่ดีที่สุด ในช่วงที่โลกของเรามันติดต่อสื่อสารกันลำบากแบบนี้ ” ดีเอโก้เอ่ยขึ้นท่ามกลางเสียงหัวเราะของเพื่อนๆ
“ปีนี้ วาเลนติน่า อายุเท่าไหร่แล้ว” ปีเตอร์พูดขึ้นมาบ้าง
“ปีนี้ยี่สิบสามแล้ว โตเป็นสาวสวยเชียวล่ะ” ดีเอโก้ตอบด้วยความภูมิใจที่แสดงชัดทางแววตา
“ครั้งสุดท้ายที่ฉันเจอ ยายหนูวอลเลนซ์(ชื่อเล่นของลูกสาวดีเอโก้)ยังสูงแค่สี่ฟุตเอง เวลาเดินเร็วจนไม่ทันรู้ตัวเลยแฮะ” ลูอิสเข้าร่วมสนทนาด้วย
“ใช่ ฉันเองก็เพิ่งรู้ตัวว่าแก่ ตอนส่งลูกเข้าค่ายลี้ภัยที่เมืองไทยเมื่อต้นปีนี่แหละ เพราะใครๆก็บอกว่าฉันคือพ่อของเด็กสาวอายุยี่สิบสาม” ดีเอโก้พูดติดตลก
การสนทนาบนรถตู้ของชายฉกรรจ์ทั้งห้า ยังคงดำเนินต่อไปพร้อมกับการเดินทาง โดยมีแม่น้ำเติร์กเวลที่อยู่ห่างออกไปพอสมควรทางซ้ายมือ ทอดยาวตีคู่ไปกับถนน พร้อมด้วยทุ่งหญ้าโล่งกว้างใหญ่และฝูงสัตว์หลายชนิดทางขวามือ ช่วยกันทำหน้าที่เป็นฉากหลัง ของภาพรถตู้ที่กำลังวิ่งไปตามถนน มุ่งสู่ค่ายลี้ภัยซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับทะเลสาบเทอร์กาน่า อันเป็นจุดหมายปลายทางของคณะ
(มีต่อครับ)