Beginning-จุดสิ้นสุด
ตอนที่ 2 จดหมายจากคนรักเก่า
“ทำไมผู้ถูกเลือกอย่างพวกเราต้องเดินทางด้วยเท้าล่ะ” แม็คเอ่ยถามคู่หู หลังจากเดินเท้าอย่างต่อเนื่องมาชั่วโมงกว่า ในใจกลางเมืองที่มีแต่ตึกรามบ้านช่องโทรมๆ กับรถยนต์หลากหลายยี่ห้อ ที่ถูกฝุ่นจับหนาเป็นนิ้วๆ จอดระเกะระกะตามท้องถนน
“ก็เพราะไม่มีใครขายน้ำมันให้เราน่ะสิ” พงษ์ตอบเจ้าของคำถามด้วยคำพูดยียวนนิดๆ แต่ก็ไม่ใช่การโกหกแต่อย่างใด
เนื่องจากตอนนี้แต่ละเมืองมีแต่ซอมบี้เดินไปเดินมาเต็มไปหมด ปั๊มน้ำมันที่ไหนจะกล้าเปิด อย่าว่าแต่เปิดปั๊มน้ำมันเลย แค่ไปยืนหายใจอยู่ในปั๊มเฉยๆ ยังไม่มีมนุษย์คนไหนกล้าทำเลย
“เปล่าฉันไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น ฉันหมายถึงนั่นต่างหาก” แม็คชี้แจงก่อนหยุดเดินพร้อมกับชี้มือไปที่ร้านขายจักรยานที่ถูกทิ้งร้าง ตรงหัวมุมถนนฝั่งตรงข้าม
สักพักต่อมา...
“แม่เจ้า! จักรยานคันนี้มันสุดยอดไปนะเนี่ย!” คู่หูร่างท้วมของแม็ค ออกอาการดีใจอย่างกับเด็กได้ขนม ในขณะกำลังซิ่งจักรยานดีไซน์โฉบเฉี่ยวล้ำสมัย ที่ทำจากไทเทเนียมทั้งคัน ผาดโผนไปตามท้องถนนที่เต็มไปด้วยซากรถยนต์และเศษขยะ
“นายนี่มันเจ๋งว่ะ ทั้งสร้างทั้งออกแบบเอง ข้าน้อยขอคารวะท่านจากใจจริง” พงษ์ชื่นชมผลงานของเพื่อนใหม่อย่างไม่หยุดปาก พร้อมกับปั่นจักรยานด้วยความสนุกสนาน โดยมีเพื่อนคนดังกล่าวปั่นตามต้อยๆ ด้วยใบหน้าซีดเซียวเนื่องจากเพิ่งเสียเลือดจำนวนไม่น้อย ไปกับการสร้างผลงานดังกล่าว
ความสามารถของแม็คคือ สามารถเปลี่ยนออกซิเจนให้เป็นโลหะทุกชนิด ตามรูปร่างต่างๆที่เขาจินตนาการ จักรยานไทเทเนียมสองคันคือผลจากความสามารถอันนั้น ด้วยความที่เขาเรียนมาทางสายวิศวกรรมเครื่องกลโดยตรง จึงไม่ใช่เรื่องยากในการออกแบบพาหนะให้ถูกต้องตามหลักฟิสิกส์ พร้อมทั้งดึงศักยภาพมันออกมาได้สูงสุด
แต่ความสามารถของแม็ค ก็ไม่ต่างจากผู้ถูกเลือกคนอื่นๆ คือเมื่อใช้ความสามารถออกไป ปริมาณเลือดในตัวก็จะลดลงไปด้วย ซึ่งตอนนี้เขาก็กำลังอ่อนเพลียจากการเสียเลือดอยู่
เอี๊ยดดด!!!...เสียงเบรกจักรยานอย่างกะทันหัน จนล้อสะบัดของพงษ์ ก่อนที่แม็คจะเบรกตามมาติดๆ
“ได้เวลาออกแรงกลางแดดเปรี้ยงๆกันแล้วเพื่อน” พูดจบเจ้าของคำพูดก็วางจักรยานลงกับพื้น บิดคอไปมาพร้อมกับหักนิ้วมือเสียงดังกร็อกแกร็ก ก่อนจะเดินไปข้างหน้าอีกสองสามก้าว
สิ่งที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าสองคู่หูคือ รถขนเสบียงคันใหญ่และรถฮัมวี่ทหารอีกสองคัน พลิกคว่ำอยู่กลางถนนแปดเลน ก่อนจะถึงสี่แยกใหญ่ประมาณห้าสิบเมตร ซึ่งสองข้างทางมีต้นกกสูงกว่าสองเมตรขึ้นรกชัฏตลอดทั้งเส้น และกลุ่มซอมบี้สิบห้าถึงยี่สิบตน กำลังแย่งกันฉีกเนื้อกัดกินศพทหารและเจ้าหน้าที่ขนเสบียง ที่คงโชคร้ายขับรถผ่านมา อย่างน่าสะอิดสะเอียน
ทันทีที่ผีเน่าตนหนึ่งหันมาเห็นผู้มาเยือน มันก็กรีดร้องจนแสบแก้วหู คล้ายกับส่งสัญญาณให้เพื่อนๆมันรู้ตัว
ซอมบี้กลุ่มนั้นหันมาพร้อมกันก่อนจะพุ่งตรงมาหาพงษ์กับแม็คทันที
พงษ์เหวี่ยงมือกวาดลมไปยังทิศทางที่กลุ่มซอมบี้พุ่งเข้ามา ทันใดนั้นไฟก็ลุกท่วมถนนทั้งแปดเลนเป็นวงกว้าง เปลวไฟลุกโชนสูงพอๆกับตึกสองชั้น แผดเผาผีห่ากลุ่มนั้นจนร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด
ยังไม่ทันที่อมนุษย์กลุ่มนั้นจะสลายเป็นขี้เถ้าด้วยเปลวเพลิง พงษ์ก็ถูกพวกมันตนหนึ่งกระโดดออกมาจากป่ากกข้างทาง กัดเข้าที่ไหล่ซ้ายโดยที่ไม่ทันระวังตัว
ในขณะที่ซอมบี้ตนอื่นกำลังจะพุ่งเข้าซ้ำ ก็มีบางอย่างคล้ายๆกระสุนปืนลอยมาจากด้านหลังของพงษ์ พุ่งเข้าเจาะหน้าผากซอมบี้ตัวนั้นอย่างแม่นยำ จนกระเด็นออกไป
พงษ์สะดุ้งหันมาทันที ภาพที่เห็นคือคู่หูหน้าคมของเขา กำลังเดินเข้ามาพร้อมกับยิงบางอย่างคล้ายกระสุนปืน ออกจากปลายนิ้วชี้ของมือทั้งสองข้าง แต่ละนัดแม่นเหมือนจับวาง กระสุนพุ่งเข้ากะโหลกของซอมบี้ ที่ทยอยโผล่ออกมาจากป่ากกทั้งสองข้าง ล้มระเนระนาดไปทีละตัวทีละตัว
เวลาเพียงอึดใจสองคู่หู ก็ตกอยู่ภายใต้วงล้อม ของกลุ่มซอมบี้กว่าสามสิบตัว การต่อสู้เปิดฉากขึ้นอย่างดุเดือด กลุ่มผีห่าถูกประเคนทั้งไฟทั้งกระสุนเข้าใส่จนเกินจะต้านทาน สุดท้ายก็ตายเรียบไม่เหลือหลอ
เมื่อผลการต่อสู้ถูกเฉลย สองหนุ่มก็ทิ้งตัวลงนอนแผ่หลากลางถนน อย่างคนหมดเรี่ยวหมดแรง
“เฮย์ นายทำแบบนั้นได้ตั้งแต่เมื่อไหร่” พงษ์เอ่ยถามคู่หูร่วมศึกด้วยน้ำเสียงกระหืดกระหอบ
“ทำอะไรเหรอ” แม็คแกล้งถาม
“ก็ไอ้ที่ยิงกระสุน ปิ้วปิ้ว ใส่พวกเดรัจฉานพวกนั้นน่ะสิ” พงษ์ขยายความ
“อืม...ก็ลองฝึกทำดูตอนสร้างจักรยานนั่นล่ะ แล้วไหล่ซ้ายนายเป็นไงบ้าง จะกลายร่างเป็นซอมบี้หรือเปล่า” แม็คตอบคำถาม พร้อมทั้งแสดงความเป็นห่วงจอมอัคคีพิโรธร่างท้วม
“จะบ้าเหรอ ไม่เป็นหรอก ซอมบี้พวกนี้มันเกิดจากความสามารถของเจ้าฮอนโด ไม่ใช่โรคติดต่อทางน้ำลายสักหน่อย แต่ก็คงต้องล้างแผลล่ะนะ พวกมันเป็นซากศพคงมีเชื้อโรคติดตัวติดน้ำลายมันเยอะเอาเรื่อง” พงษ์ตอบเพื่อนพร้อมกับทำหน้าเซ็งๆ
“ความสามารถของนายมีข้อจำกัดหรือเปล่า” พงษ์ยังข้องใจความสามารถของเพื่อนอยู่
“แบบของนายน่ะเหรอ” แม็คย้อนคืนบ้าง
“แบบของฉัน หมายถึงยังไง” หนุ่มร่างท้วมออกอาการงง
“เมื่อกี้ตอนสู้กับพวกซอมบี้ ชั้นสังเกตเห็นว่า นายจะใช้ไฟได้ที่ละจุด นายต้องรอให้ไฟมอดสนิทก่อน นายถึงจะใช้ความสามารถได้ใหม่ ชั้นคิดว่าสาเหตุที่นายถูกกัด เพราะ ไฟกองใหญ่ที่นายจุดครั้งแรกมันยังไม่มอด นายเลยใช้ความสามารถป้องกันตัวไม่ได้ และอีกอย่างยิ่งนายสร้างไฟกองใหญ่เท่าไหร่ ไฟของนายก็จะอุณหภูมิน้อยลงผกผันกัน เพราะฉันจำได้ตอนที่นายช่วยชั้นครั้งแรกในซอกตึก ซอมบี้ตัวนั้นถูกนายเผาสลายไปเกือบจะทันที แต่ครั้งนี้นายเผาซอมบี้ทีละหลายๆตัว มันกินเวลาเยอะกว่าพอสมควร” แม็คร่ายยาว
พงษ์อึ้งกับคำสันนิษฐานของคู่สนทนาไปพักหนึ่ง ก่อนจะเริ่มสนทนาต่อ
“ใช่ นายพูดถูกทุกอย่าง นายเป็นคนฉลาดมากที่สุด เท่าที่ฉันเคยรู้จักมาเลย แล้วความสามารถของนาย มีข้อจำกัดหรือเปล่า”
“มีเหมือนกัน ฉันสามารถควบคุมการเคลื่อนที่ของโลหะ ที่ชั้นสร้างขึ้นได้ไม่เกินหนึ่งนาที จากนั้นมันจะคงสภาพเป็นโลหะทั่วๆไป และฉันจะควบคุมพวกมันได้แค่รัศมียี่สิบเมตร ถ้าออกนอกรัศมีมันก็จะล่วงลงพื้น เหมือนสิ่งของทั่วๆไปที่ตกพื้น” แม็คอธิบาย
“นายนี่มันฉลาดจริงๆนั่นแหละ นายเพิ่งรู้จักความสามารถตัวเองไม่กี่ชั่วโมง นายก็สามารถวิเคราะห์และใช้มันคล่องแคล่วขนาดนี้” พงษ์กล่าวชื่นชมเพื่อนใหม่ด้วยความทึ่ง
“จากที่นี่ไปถึงที่นายจะพาไป อยู่อีกไกลไหม” แม็คเปลี่ยนเรื่อง
“ฉันเดินเท้าไปหานายใช้เวลาเกือบสี่วัน นี่ก็คงเกือบครึ่งทางแล้วที่จะไปแล้ว ถ้าใช้จักรยานอีกราวๆวันหนึ่งก็คงถึง” พงษ์คาดการณ์
แม็คตรึกตรองอยู่พักหนึ่งก่อนจะกล่าวขึ้นว่า
“หมู่บ้านฉันอยู่ห่างจากจุดนี้ไม่ไกล เราน่าจะไปแวะพักที่นั่นก่อนค่อยเดินทาง ฉันอยากกลับบ้านไปเก็บของที่จำเป็น และเผื่อคนที่บ้านจะทิ้งเบาะแสอะไรไว้...ว่าพวกเขาไปอยู่ที่ไหน”
“ก็ดีเหมือนกัน พวกเราเสียเลือดไปเยอะ ยังไงเดินทางต่อไกลๆคงไม่สะดวก นำทางไปเลย” พงษ์เห็นด้วย
สองคู่หูจึงเริ่มปั่นจักรยานออกไป พอถึงจุดที่รถคว่ำ แม็คหยุดรถเพื่อมองดูรอยแตกของพื้นถนน
“เฮย์ พงษ์นายว่ารอยแตกนี่พวกซอมบี้มันทำเองหรือเปล่า” แม็คขอความเห็น
“ไม่รู้สิเพื่อน อากาศร้อนมันอาจจะแตกเองก็ได้” พงษ์ตอบแบบขอไปที
จากนั้นทั้งคู่ก็ออกจากจุดนั้นตรงไปยังบ้านแม็ค โดยที่แม็คยังติดใจเรื่องรอยแตกบนถนน ตลอดการเดินทางจนถึงบ้าน
Beginning-จุดสิ้นสุด ตอนที่ 2 จดหมายจากคนรักเก่า (สายป่านสีชมพู)
“ทำไมผู้ถูกเลือกอย่างพวกเราต้องเดินทางด้วยเท้าล่ะ” แม็คเอ่ยถามคู่หู หลังจากเดินเท้าอย่างต่อเนื่องมาชั่วโมงกว่า ในใจกลางเมืองที่มีแต่ตึกรามบ้านช่องโทรมๆ กับรถยนต์หลากหลายยี่ห้อ ที่ถูกฝุ่นจับหนาเป็นนิ้วๆ จอดระเกะระกะตามท้องถนน
“ก็เพราะไม่มีใครขายน้ำมันให้เราน่ะสิ” พงษ์ตอบเจ้าของคำถามด้วยคำพูดยียวนนิดๆ แต่ก็ไม่ใช่การโกหกแต่อย่างใด
เนื่องจากตอนนี้แต่ละเมืองมีแต่ซอมบี้เดินไปเดินมาเต็มไปหมด ปั๊มน้ำมันที่ไหนจะกล้าเปิด อย่าว่าแต่เปิดปั๊มน้ำมันเลย แค่ไปยืนหายใจอยู่ในปั๊มเฉยๆ ยังไม่มีมนุษย์คนไหนกล้าทำเลย
“เปล่าฉันไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น ฉันหมายถึงนั่นต่างหาก” แม็คชี้แจงก่อนหยุดเดินพร้อมกับชี้มือไปที่ร้านขายจักรยานที่ถูกทิ้งร้าง ตรงหัวมุมถนนฝั่งตรงข้าม
สักพักต่อมา...
“แม่เจ้า! จักรยานคันนี้มันสุดยอดไปนะเนี่ย!” คู่หูร่างท้วมของแม็ค ออกอาการดีใจอย่างกับเด็กได้ขนม ในขณะกำลังซิ่งจักรยานดีไซน์โฉบเฉี่ยวล้ำสมัย ที่ทำจากไทเทเนียมทั้งคัน ผาดโผนไปตามท้องถนนที่เต็มไปด้วยซากรถยนต์และเศษขยะ
“นายนี่มันเจ๋งว่ะ ทั้งสร้างทั้งออกแบบเอง ข้าน้อยขอคารวะท่านจากใจจริง” พงษ์ชื่นชมผลงานของเพื่อนใหม่อย่างไม่หยุดปาก พร้อมกับปั่นจักรยานด้วยความสนุกสนาน โดยมีเพื่อนคนดังกล่าวปั่นตามต้อยๆ ด้วยใบหน้าซีดเซียวเนื่องจากเพิ่งเสียเลือดจำนวนไม่น้อย ไปกับการสร้างผลงานดังกล่าว
ความสามารถของแม็คคือ สามารถเปลี่ยนออกซิเจนให้เป็นโลหะทุกชนิด ตามรูปร่างต่างๆที่เขาจินตนาการ จักรยานไทเทเนียมสองคันคือผลจากความสามารถอันนั้น ด้วยความที่เขาเรียนมาทางสายวิศวกรรมเครื่องกลโดยตรง จึงไม่ใช่เรื่องยากในการออกแบบพาหนะให้ถูกต้องตามหลักฟิสิกส์ พร้อมทั้งดึงศักยภาพมันออกมาได้สูงสุด
แต่ความสามารถของแม็ค ก็ไม่ต่างจากผู้ถูกเลือกคนอื่นๆ คือเมื่อใช้ความสามารถออกไป ปริมาณเลือดในตัวก็จะลดลงไปด้วย ซึ่งตอนนี้เขาก็กำลังอ่อนเพลียจากการเสียเลือดอยู่
เอี๊ยดดด!!!...เสียงเบรกจักรยานอย่างกะทันหัน จนล้อสะบัดของพงษ์ ก่อนที่แม็คจะเบรกตามมาติดๆ
“ได้เวลาออกแรงกลางแดดเปรี้ยงๆกันแล้วเพื่อน” พูดจบเจ้าของคำพูดก็วางจักรยานลงกับพื้น บิดคอไปมาพร้อมกับหักนิ้วมือเสียงดังกร็อกแกร็ก ก่อนจะเดินไปข้างหน้าอีกสองสามก้าว
สิ่งที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าสองคู่หูคือ รถขนเสบียงคันใหญ่และรถฮัมวี่ทหารอีกสองคัน พลิกคว่ำอยู่กลางถนนแปดเลน ก่อนจะถึงสี่แยกใหญ่ประมาณห้าสิบเมตร ซึ่งสองข้างทางมีต้นกกสูงกว่าสองเมตรขึ้นรกชัฏตลอดทั้งเส้น และกลุ่มซอมบี้สิบห้าถึงยี่สิบตน กำลังแย่งกันฉีกเนื้อกัดกินศพทหารและเจ้าหน้าที่ขนเสบียง ที่คงโชคร้ายขับรถผ่านมา อย่างน่าสะอิดสะเอียน
ทันทีที่ผีเน่าตนหนึ่งหันมาเห็นผู้มาเยือน มันก็กรีดร้องจนแสบแก้วหู คล้ายกับส่งสัญญาณให้เพื่อนๆมันรู้ตัว
ซอมบี้กลุ่มนั้นหันมาพร้อมกันก่อนจะพุ่งตรงมาหาพงษ์กับแม็คทันที
พงษ์เหวี่ยงมือกวาดลมไปยังทิศทางที่กลุ่มซอมบี้พุ่งเข้ามา ทันใดนั้นไฟก็ลุกท่วมถนนทั้งแปดเลนเป็นวงกว้าง เปลวไฟลุกโชนสูงพอๆกับตึกสองชั้น แผดเผาผีห่ากลุ่มนั้นจนร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด
ยังไม่ทันที่อมนุษย์กลุ่มนั้นจะสลายเป็นขี้เถ้าด้วยเปลวเพลิง พงษ์ก็ถูกพวกมันตนหนึ่งกระโดดออกมาจากป่ากกข้างทาง กัดเข้าที่ไหล่ซ้ายโดยที่ไม่ทันระวังตัว
ในขณะที่ซอมบี้ตนอื่นกำลังจะพุ่งเข้าซ้ำ ก็มีบางอย่างคล้ายๆกระสุนปืนลอยมาจากด้านหลังของพงษ์ พุ่งเข้าเจาะหน้าผากซอมบี้ตัวนั้นอย่างแม่นยำ จนกระเด็นออกไป
พงษ์สะดุ้งหันมาทันที ภาพที่เห็นคือคู่หูหน้าคมของเขา กำลังเดินเข้ามาพร้อมกับยิงบางอย่างคล้ายกระสุนปืน ออกจากปลายนิ้วชี้ของมือทั้งสองข้าง แต่ละนัดแม่นเหมือนจับวาง กระสุนพุ่งเข้ากะโหลกของซอมบี้ ที่ทยอยโผล่ออกมาจากป่ากกทั้งสองข้าง ล้มระเนระนาดไปทีละตัวทีละตัว
เวลาเพียงอึดใจสองคู่หู ก็ตกอยู่ภายใต้วงล้อม ของกลุ่มซอมบี้กว่าสามสิบตัว การต่อสู้เปิดฉากขึ้นอย่างดุเดือด กลุ่มผีห่าถูกประเคนทั้งไฟทั้งกระสุนเข้าใส่จนเกินจะต้านทาน สุดท้ายก็ตายเรียบไม่เหลือหลอ
เมื่อผลการต่อสู้ถูกเฉลย สองหนุ่มก็ทิ้งตัวลงนอนแผ่หลากลางถนน อย่างคนหมดเรี่ยวหมดแรง
“เฮย์ นายทำแบบนั้นได้ตั้งแต่เมื่อไหร่” พงษ์เอ่ยถามคู่หูร่วมศึกด้วยน้ำเสียงกระหืดกระหอบ
“ทำอะไรเหรอ” แม็คแกล้งถาม
“ก็ไอ้ที่ยิงกระสุน ปิ้วปิ้ว ใส่พวกเดรัจฉานพวกนั้นน่ะสิ” พงษ์ขยายความ
“อืม...ก็ลองฝึกทำดูตอนสร้างจักรยานนั่นล่ะ แล้วไหล่ซ้ายนายเป็นไงบ้าง จะกลายร่างเป็นซอมบี้หรือเปล่า” แม็คตอบคำถาม พร้อมทั้งแสดงความเป็นห่วงจอมอัคคีพิโรธร่างท้วม
“จะบ้าเหรอ ไม่เป็นหรอก ซอมบี้พวกนี้มันเกิดจากความสามารถของเจ้าฮอนโด ไม่ใช่โรคติดต่อทางน้ำลายสักหน่อย แต่ก็คงต้องล้างแผลล่ะนะ พวกมันเป็นซากศพคงมีเชื้อโรคติดตัวติดน้ำลายมันเยอะเอาเรื่อง” พงษ์ตอบเพื่อนพร้อมกับทำหน้าเซ็งๆ
“ความสามารถของนายมีข้อจำกัดหรือเปล่า” พงษ์ยังข้องใจความสามารถของเพื่อนอยู่
“แบบของนายน่ะเหรอ” แม็คย้อนคืนบ้าง
“แบบของฉัน หมายถึงยังไง” หนุ่มร่างท้วมออกอาการงง
“เมื่อกี้ตอนสู้กับพวกซอมบี้ ชั้นสังเกตเห็นว่า นายจะใช้ไฟได้ที่ละจุด นายต้องรอให้ไฟมอดสนิทก่อน นายถึงจะใช้ความสามารถได้ใหม่ ชั้นคิดว่าสาเหตุที่นายถูกกัด เพราะ ไฟกองใหญ่ที่นายจุดครั้งแรกมันยังไม่มอด นายเลยใช้ความสามารถป้องกันตัวไม่ได้ และอีกอย่างยิ่งนายสร้างไฟกองใหญ่เท่าไหร่ ไฟของนายก็จะอุณหภูมิน้อยลงผกผันกัน เพราะฉันจำได้ตอนที่นายช่วยชั้นครั้งแรกในซอกตึก ซอมบี้ตัวนั้นถูกนายเผาสลายไปเกือบจะทันที แต่ครั้งนี้นายเผาซอมบี้ทีละหลายๆตัว มันกินเวลาเยอะกว่าพอสมควร” แม็คร่ายยาว
พงษ์อึ้งกับคำสันนิษฐานของคู่สนทนาไปพักหนึ่ง ก่อนจะเริ่มสนทนาต่อ
“ใช่ นายพูดถูกทุกอย่าง นายเป็นคนฉลาดมากที่สุด เท่าที่ฉันเคยรู้จักมาเลย แล้วความสามารถของนาย มีข้อจำกัดหรือเปล่า”
“มีเหมือนกัน ฉันสามารถควบคุมการเคลื่อนที่ของโลหะ ที่ชั้นสร้างขึ้นได้ไม่เกินหนึ่งนาที จากนั้นมันจะคงสภาพเป็นโลหะทั่วๆไป และฉันจะควบคุมพวกมันได้แค่รัศมียี่สิบเมตร ถ้าออกนอกรัศมีมันก็จะล่วงลงพื้น เหมือนสิ่งของทั่วๆไปที่ตกพื้น” แม็คอธิบาย
“นายนี่มันฉลาดจริงๆนั่นแหละ นายเพิ่งรู้จักความสามารถตัวเองไม่กี่ชั่วโมง นายก็สามารถวิเคราะห์และใช้มันคล่องแคล่วขนาดนี้” พงษ์กล่าวชื่นชมเพื่อนใหม่ด้วยความทึ่ง
“จากที่นี่ไปถึงที่นายจะพาไป อยู่อีกไกลไหม” แม็คเปลี่ยนเรื่อง
“ฉันเดินเท้าไปหานายใช้เวลาเกือบสี่วัน นี่ก็คงเกือบครึ่งทางแล้วที่จะไปแล้ว ถ้าใช้จักรยานอีกราวๆวันหนึ่งก็คงถึง” พงษ์คาดการณ์
แม็คตรึกตรองอยู่พักหนึ่งก่อนจะกล่าวขึ้นว่า
“หมู่บ้านฉันอยู่ห่างจากจุดนี้ไม่ไกล เราน่าจะไปแวะพักที่นั่นก่อนค่อยเดินทาง ฉันอยากกลับบ้านไปเก็บของที่จำเป็น และเผื่อคนที่บ้านจะทิ้งเบาะแสอะไรไว้...ว่าพวกเขาไปอยู่ที่ไหน”
“ก็ดีเหมือนกัน พวกเราเสียเลือดไปเยอะ ยังไงเดินทางต่อไกลๆคงไม่สะดวก นำทางไปเลย” พงษ์เห็นด้วย
สองคู่หูจึงเริ่มปั่นจักรยานออกไป พอถึงจุดที่รถคว่ำ แม็คหยุดรถเพื่อมองดูรอยแตกของพื้นถนน
“เฮย์ พงษ์นายว่ารอยแตกนี่พวกซอมบี้มันทำเองหรือเปล่า” แม็คขอความเห็น
“ไม่รู้สิเพื่อน อากาศร้อนมันอาจจะแตกเองก็ได้” พงษ์ตอบแบบขอไปที
จากนั้นทั้งคู่ก็ออกจากจุดนั้นตรงไปยังบ้านแม็ค โดยที่แม็คยังติดใจเรื่องรอยแตกบนถนน ตลอดการเดินทางจนถึงบ้าน