ส่งออกน้ำมันสหรัฐบูม ส่งผลกระทบบรรดาคู่แข่งโรงกลั่นน้ำมันในเอเชีย
บรรดาบริษัทโรงกลั่นน้ำมันในเอเชียกลายเป็นผู้เล่นรายสำคัญในตลาดโลกสำหรับเชื้อเพลิงเหลว ซึ่งเป็นผลจากการลงทุนในโรงกลั่นขนาดใหญ่และทันสมัย แต่ยังต้องเผชิญกับแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นจากสหรัฐ
โรงกลั่นน้ำมันหลายแห่งในสหรัฐสามารถเข้าถึงน้ำมันจากหินดินดาน หรือหินเชล ภายในประเทศที่มีราคาค่อนข้างถูก และน้ำมันดิบจากแคนาดาได้มากขึ้น ซึ่งช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันในตลาดส่งออกเชื้อเพลิง เช่น น้ำมันเบนซินและดีเซล
บรรดาคู่แข่งในเอเชียเริ่มรับรู้ถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น หลังเรือบรรทุกน้ำมันที่ออกจากท่าเรือในสหรัฐ พากันไปขนถ่ายสินค้าในยุโรป และอเมริกาใต้ ทั้งในปัจจุบัน บริษัทหลายแห่งของสหรัฐ ก็เริ่มหันมาลงทุนในเอเชียด้วย
เทรดเดอร์ในสิงคโปร์ ระบุว่า ช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา บีพี และวิทอล กรุ๊ป 2 ยักษ์ใหญ่แห่งอุตสาหกรรมน้ำมันสหรัฐ บรรลุข้อตกงที่จะขายน้ำมันสำหรับเครื่องบินไอพ่นให้กับลูกค้าในจีน การเคลื่อนไหวซึ่งถือเป็นการสวนกระแสกาไหลเวียนของตลาดตามปกติ และตอกย้ำถึงผลกระทบที่แหล่งน้ำมันทางเลือก กำลังมีต่อการค้าน้ำมันโลก
ก่อนหน้านี้ ในเดือนก.พ.ปีที่แล้ว โตเกียว อิเล็กทริก เพาเวอร์ (เทปโก) ผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ของญี่ปุ่น เคยระบุว่า บริษัทจะนำเข้าก๊าซปิโตรเลียมเหลวหรือแอลพีจีปริมาณ 2 หมื่นตันจากบริษัทเอนเตอร์ไพรซ์ โปรดักส์ พาร์ทเนอร์ ของสหรัฐในช่วงระหว่างปี 2556-2559 ข้อตกลงดังกล่าวถือว่าสมเหตุสมผลสำหรับเทปโก ซึ่งจำเป็นต้องซื้อไฮโดรคาร์บอนเพิ่มเป็นปริมาณมาก หลังจากที่ระงับการดำเนินการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ของตนที่ได้รับความเสียหายจากเหตุแผ่นดินไหวและสึนามิเมื่อเดือนมี.ค. 2554
ข้อมูลจากธนาคารดีเอ็นบีระบุว่า ก๊าซหุงต้มในสหรัฐมีราคาอยู่ที่ประมาณ 620 ดอลลาร์ต่อตัน เทียบกับในจีนที่มีราคากว่า 1,000 ดอลลาร์ต่อตัน ขณะที่ก๊าซบิวเทนก็มีส่วนต่างราคามากกว่า ซึ่งนายลูเชียน พักเลียเรซิ ประธานบริหารมูลนิธิวิจัยนโยบายพลังงาน องค์กรไม่หวังผลกำไรในวอชิงตัน สหรัฐ ชี้ว่า ความแตกต่างด้านราคานี้ ทำให้แอลพีจีที่ส่งออกจากสหรัฐ มีความน่าสนใจมากขึ้น
ทั้งนี้ ก๊าซแอลพีจีผลิตจากไฮโดรคาร์บอนที่เรียกว่าก๊าซเหลวธรรมชาติซึ่งได้มาจากการสกัดหินเชลด้วยไฮดรอลิค อันเป็นการปฏิวัติเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่ทำให้สหรัฐทะยานขึ้นเป็นอันดับ 1 ในด้านการผลิตพลังงานทั่วโลก
กระทั่งปัจจุบัน ผลผลิตน้ำมันของสหรัฐส่วนใหญ่ส่งไปยังตลาดหลายแห่งที่อยู่ใกล้กับศูนย์กลางการกลั่นน้ำมันและรอบอ่าวเม็กซิโก ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงกลั่นน้ำมันสหรัฐมากกว่า 40%
ผู้ค้ายังคาดการณ์ว่า การส่งออกน้ำมันดีเซลไปยุโรปเพิ่มขึ้น 2 เท่าเป็นประมาณ 1.3 ล้านบาร์เรลต่อวันในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา และเมื่อจากดูภาพรวม การนำเข้าของยุโรปยังคงอยู่ในระดับค่อนข้างมีเสถียรภาพ โดยอยู่ที่ระหว่าง 3-4 ล้านบาร์เรลต่อวัน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผลกำไรจากการส่งออกน้ำมันไปยุโรปจากเอเชีย รัสเซีย และตะวันออกกลาง
นอกจากนี้ สหรัฐอาจจะสามารถชิงส่วนแบ่งการส่งออกน้ำมันของเอเชียได้มากขึ้นอย่างมหาศาล ถ้าหากการขยายคลองปานามาแล้วเสร็จในปี 2559 ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะลดต้นทุนการส่งออกและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านราคาให้กับภาคส่งออกของสหรัฐอีกด้วย
เครดิต
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/world/20140106/553944/%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%9A%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A2.html
ส่งออกน้ำมันสหรัฐบูมกระทบเอเชีย
บรรดาบริษัทโรงกลั่นน้ำมันในเอเชียกลายเป็นผู้เล่นรายสำคัญในตลาดโลกสำหรับเชื้อเพลิงเหลว ซึ่งเป็นผลจากการลงทุนในโรงกลั่นขนาดใหญ่และทันสมัย แต่ยังต้องเผชิญกับแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นจากสหรัฐ
โรงกลั่นน้ำมันหลายแห่งในสหรัฐสามารถเข้าถึงน้ำมันจากหินดินดาน หรือหินเชล ภายในประเทศที่มีราคาค่อนข้างถูก และน้ำมันดิบจากแคนาดาได้มากขึ้น ซึ่งช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันในตลาดส่งออกเชื้อเพลิง เช่น น้ำมันเบนซินและดีเซล
บรรดาคู่แข่งในเอเชียเริ่มรับรู้ถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น หลังเรือบรรทุกน้ำมันที่ออกจากท่าเรือในสหรัฐ พากันไปขนถ่ายสินค้าในยุโรป และอเมริกาใต้ ทั้งในปัจจุบัน บริษัทหลายแห่งของสหรัฐ ก็เริ่มหันมาลงทุนในเอเชียด้วย
เทรดเดอร์ในสิงคโปร์ ระบุว่า ช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา บีพี และวิทอล กรุ๊ป 2 ยักษ์ใหญ่แห่งอุตสาหกรรมน้ำมันสหรัฐ บรรลุข้อตกงที่จะขายน้ำมันสำหรับเครื่องบินไอพ่นให้กับลูกค้าในจีน การเคลื่อนไหวซึ่งถือเป็นการสวนกระแสกาไหลเวียนของตลาดตามปกติ และตอกย้ำถึงผลกระทบที่แหล่งน้ำมันทางเลือก กำลังมีต่อการค้าน้ำมันโลก
ก่อนหน้านี้ ในเดือนก.พ.ปีที่แล้ว โตเกียว อิเล็กทริก เพาเวอร์ (เทปโก) ผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ของญี่ปุ่น เคยระบุว่า บริษัทจะนำเข้าก๊าซปิโตรเลียมเหลวหรือแอลพีจีปริมาณ 2 หมื่นตันจากบริษัทเอนเตอร์ไพรซ์ โปรดักส์ พาร์ทเนอร์ ของสหรัฐในช่วงระหว่างปี 2556-2559 ข้อตกลงดังกล่าวถือว่าสมเหตุสมผลสำหรับเทปโก ซึ่งจำเป็นต้องซื้อไฮโดรคาร์บอนเพิ่มเป็นปริมาณมาก หลังจากที่ระงับการดำเนินการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ของตนที่ได้รับความเสียหายจากเหตุแผ่นดินไหวและสึนามิเมื่อเดือนมี.ค. 2554
ข้อมูลจากธนาคารดีเอ็นบีระบุว่า ก๊าซหุงต้มในสหรัฐมีราคาอยู่ที่ประมาณ 620 ดอลลาร์ต่อตัน เทียบกับในจีนที่มีราคากว่า 1,000 ดอลลาร์ต่อตัน ขณะที่ก๊าซบิวเทนก็มีส่วนต่างราคามากกว่า ซึ่งนายลูเชียน พักเลียเรซิ ประธานบริหารมูลนิธิวิจัยนโยบายพลังงาน องค์กรไม่หวังผลกำไรในวอชิงตัน สหรัฐ ชี้ว่า ความแตกต่างด้านราคานี้ ทำให้แอลพีจีที่ส่งออกจากสหรัฐ มีความน่าสนใจมากขึ้น
ทั้งนี้ ก๊าซแอลพีจีผลิตจากไฮโดรคาร์บอนที่เรียกว่าก๊าซเหลวธรรมชาติซึ่งได้มาจากการสกัดหินเชลด้วยไฮดรอลิค อันเป็นการปฏิวัติเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่ทำให้สหรัฐทะยานขึ้นเป็นอันดับ 1 ในด้านการผลิตพลังงานทั่วโลก
กระทั่งปัจจุบัน ผลผลิตน้ำมันของสหรัฐส่วนใหญ่ส่งไปยังตลาดหลายแห่งที่อยู่ใกล้กับศูนย์กลางการกลั่นน้ำมันและรอบอ่าวเม็กซิโก ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงกลั่นน้ำมันสหรัฐมากกว่า 40%
ผู้ค้ายังคาดการณ์ว่า การส่งออกน้ำมันดีเซลไปยุโรปเพิ่มขึ้น 2 เท่าเป็นประมาณ 1.3 ล้านบาร์เรลต่อวันในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา และเมื่อจากดูภาพรวม การนำเข้าของยุโรปยังคงอยู่ในระดับค่อนข้างมีเสถียรภาพ โดยอยู่ที่ระหว่าง 3-4 ล้านบาร์เรลต่อวัน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผลกำไรจากการส่งออกน้ำมันไปยุโรปจากเอเชีย รัสเซีย และตะวันออกกลาง
นอกจากนี้ สหรัฐอาจจะสามารถชิงส่วนแบ่งการส่งออกน้ำมันของเอเชียได้มากขึ้นอย่างมหาศาล ถ้าหากการขยายคลองปานามาแล้วเสร็จในปี 2559 ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะลดต้นทุนการส่งออกและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านราคาให้กับภาคส่งออกของสหรัฐอีกด้วย
เครดิต http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/world/20140106/553944/%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%9A%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A2.html