เรื่องของผู้หญิงที่ชื่อว่า "วารี"
เสียงคลื่นซัดสาด กระทบฝั่ง แสงอาทิตย์ยามเย็น กำลังจะลับขอบฟ้า ฉันเดินไปเรื่อยเปื่อยอย่างไร้จุดหมาย วันหยุดกำลังจะหมดลง พรุ่งนี้เช้าตื่นขึ้นมา ฉันก็จะกลับสู่โลกความเป็นจริง โลกที่มีแต่ความวุ่นวาย ทุกคนแก่งแย่งกัน เอารัดเอาเปรียบ ไม่มีน้ำใจต่อกัน ฉันต้องรีบซึมซับความสุขนี้เอาไว้ เพื่อเป็นพลังในการทำงาน
‘ ใครโยนขวดแก้วลงทะเล? ‘ ฉันตัดสินใจเดินเข้าไปเก็บขวดใบนั้น เพื่อที่จะเอาไปทิ้งถังขยะ แต่ก็ต้องสะดุดกับเศษกระดาษที่อยู่ในขวด ‘ชื่อ ที่อยู่พร้อม คงหวังรอรักแท้สินะ เพ้อฝันชะมัด’ ฉันไม่เชื่อในเรื่องพรหมลิขิต เป็นไปไม่ได้ ที่จะมีใครสักคนที่เกิดมาเพื่อคนๆเดียว สังคมในทุกวันนี้มีแต่เรื่อง หย่าร้าง มือที่สาม แล้วจะจริงได้ยังไงที่จะมีคนที่เกิดมาเพื่อเป็นของกันและกัน ฉันเกิดนึกสนุกขึ้นมาและตัดสินใจเดินไปร้านขายโปสการ์ดที่อยู่ไม่ไกลมากนัก เลือกโปสการ์ดมาหนึ่งใบ พร้อมกับเขียนข้อความ
‘สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก’
ข้อความในโปสการ์ดมีเพียงเท่านี้ ฉันเขียนชื่อ – ที่อยู่ตามเศษกระดาษใบนั้น ติดแสตมป์ แล้วนำไปใส่กล่องไปรษณีย์ ที่วางไว้ ฉันไม่หวังให้มันไปถึงเจ้าของ เพราะฉันมั่นใจว่ามันไม่มีทางไปถึง
“รี ไปได้แล้ว เดี๋ยวจะถึงกรุงเทพฯดึกเสียก่อน” ฉันโยนขวดแก้วลงถังขยะ และเดินไปตามเสียงเรียกของเพื่อน ลาก่อนทะเล ลาก่อนแสงแดดอันอบอุ่น....
บรรยากาศในวันนี้กับเมื่อวาน มันช่างแตกต่างกันยิ่งนัก จากเสียงของคลื่นทะเล กลายเป็นเสียงบีบแตรรถยนต์ดังสนั่นบนท้องถนน แสงแดด จากที่เคยอบอุ่น กลายเป็นแสงแดดที่ร้อนจัด ไม่มีลมเย็นๆ มีแต่ไอความร้อน ฉันเปิดแอร์ทันทีเมื่อถึงห้องพัก ความร้อนเริ่มหมดไป ความเย็นสบายจากแอร์เริ่มเข้ามาแทนที่ อาการเหนื่อยล้าจากการทำงานเริ่มหมดไป เมื่อฉันได้พัก ฉันทำงานอยู่ที่บริษัทโฆษณามาเป็นระยะเวลา 2 ปีตั้งแต่เรียนจบปริญญาตรี แยกตัวเองออกมาจากครอบครัว พ่อกับแม่เลิกกัน และต่างฝ่ายต่างแต่งงานมีครอบครัวใหม่ เพราะเหตุนี้ฉันจึงไม่เชื่อในเรื่องพรหมลิขิต เพราะคนใกล้ตัวฉันเองยังเป็นแบบนี้ ฉันจึงตัดสินออกจากบ้านแม่ทันทีหลังจากเรียนจบ และใช้ชีวิตคนเดียวมาจนถึงทุกวันนี้ มีบ้าน มีงาน มีเงินเดือน แค่นี้ฉันก็พอใจแล้ว ฉันนั่งทำงานไปเรื่อย จนเลยเวลานอน ความง่วงเริ่มเข้ามาแทนที่ แต่แล้วสายตาของฉันก็หันไปเห็นเศษกระดาษใบนั้น เศษกระดาษที่ฉันมองว่าเป็นเรื่องตลก แต่แล้วฉันก็ หยิบโปสการ์ดที่ฉันสะสมเป็นงานอดิเรกขึ้นมาหนึ่งใบ
‘สวัสดีครั้งที่สอง หวังว่าคุณคงได้รับโปสการ์ดใบแรกแล้ว
เรารู้จักกันแล้วนะคะ คุณมีตัวตนจริงไหม? เพราะฉันคิดว่าคุณไม่มีตัวตน
มันคงจะแปลกมาก ถ้าคุณได้รับโปสการ์ดใบแรกจากฉัน
และคงจะแปลกยิ่งขึ้นอีก ถ้าคุณได้รับโปสการ์ดใบที่สองจากฉันเช่นกัน...’
แล้วฉันก็เขียนชื่อ – ที่อยู่ ติดแสตมป์พร้อมส่ง บางทีการเขียนถึงคนที่เราไม่เคยรู้จัก ไม่เคยเห็นหน้า มันก็เป็นเรื่องสนุกดีนะ ถึงแม้ว่าเขาจะมีตัวตนหรือไม่ก็ตาม ฉันเป็นนักสะสมโปสการ์ด และชอบเขียนโปสการ์ดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เวลาไปสถานที่แปลกๆ ฉันชอบเขียนโปสการ์ดส่งให้ตัวเอง หรือคนรู้จัก มันเหมือนเป็นการถ่ายทอดความสุขให้ผู้อื่นรับรู้ ผ่านตัวหนังสือที่เขียนไป ดังนั้น การที่ฉันจะเขียนโปสการ์ดให้ใครอีกคนที่ไม่รู้จัก ก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร...
แสงแดดยามเช้าเป็นสิ่งที่ฉันชอบมากที่สุด ยิ่งวันไหนได้ตื่นก่อนพระอาทิตย์จะเป็นวันที่ฉันมีความสุขมาก ยิ่งฉันตื่นเช้ามากเท่าไหร่ ฉันจะยิ่งมีเวลาทำในสิ่งที่ฉันอยากทำมากขึ้นเท่านั้น และวันนี้ก็เช่นกัน ฉันรีบตื่นเช้าเพื่อไปทำงาน เหมือนเดิมในทุกๆวัน และก็ไม่ลืมที่จะส่งโปสการ์ดใส่ตู้ไปรษณีย์หน้าคอนโด ฉันไม่มีรถยนต์ส่วนตัว เดินทางไปทำงานด้วยรถเมล์แต่ถ้าวันไหนเร่งรีบก็จะหันไปขึ้นรถไฟฟ้าบีทีเอสแทน หลังจากที่แวะซื้อกาแฟเจ้าประจำแล้ว ฉันก็เดินไปเรื่อยๆ ผู้คนรอบข้างต่างเร่งรีบ ‘หรือเขาจะไปทำงานสาย’ ความคิดของฉันทำให้ตัวเองหลุดยิ้มขึ้นมา แต่ก็ต้องหุบยิ้มทันทีเมื่อเห็นนาฬิกาที่ข้อมือตัวเอง ‘ตายแล้ว นี่เราก็สายเหมือนกันเหรอเนี่ย !!’
“น้องรี คืนนี้รีบกลับบ้านหรือเปล่า? ถ้าไม่รีบอยู่ช่วยพี่แก้งานให้ลูกค้าก่อนนะ..” พี่ฟ้า หัวหน้าแผนกขอให้ฉันอยู่ช่วยงานต่อ ซึ่งฉันก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ทุกวันนี้งานที่ทำอยู่ ก็เหมือนส่วนหนึ่งของชีวิตฉัน
“กลับบ้านไป ก็ไม่มีใครอยู่แล้ว นอนออฟฟิศเป็นเพื่อนพี่ฟ้าก็ได้ค่ะ ฮ่าๆๆๆ ” ฉันหัวเราะออกมาเสียงดัง แต่พี่ฟ้าก็สวนกลับทันควัน
“แหม ทำมาหัวเราะ ไม่มีใครอยู่ที่บ้าน ทำไมไม่หาสักคนหล่ะจ๊ะ อยู่คนเดียวมานานเกินไปแล้วนะเราอ่ะ หาใครสักคนให้กระชุ่ม กระชวยหัวใจหน่อยสิจ๊ะ” ฉันหัวเราะและอมยิ้ม และก้มหน้าทำงานต่อไป โดยที่ไม่คิดอะไร
‘อยู่แบบนี้จนชินแล้ว จะให้หาใครมาให้หัวใจเจ็บเล่นทำไม’ ฉันได้แต่พร่ำบอกกับตัวเองอยู่เสมอมา
ฉันช่วยงานพี่ฟ้าอยู่จนดึก คนอื่นๆก็เช่นกัน การทำงานโฆษณา เป็นงานที่ฉันชอบ ได้ใช้หัวคิดอยู่ตลอดเวลา และสร้างความตื่นเต้นให้ฉันอยู่ไม่น้อย แต่ฉันก็ชอบท่องเที่ยวเช่นกัน ฉันชอบหาเวลาว่างพาตัวเองออกไปเที่ยวไกลๆ หาสถานที่เที่ยวที่ไม่มีคนพลุกพล่าน ไปกับเพื่อนๆบ้าง หรือไปคนเดียวบ้าง หาอะไรสนุกๆทำ หาประสบการณ์ดีๆให้กับตัวเอง ฉันฝันว่าอยากไปเที่ยวรอบโลก และถ้ามีโอกาสฉันจะทำให้ได้ ฉันไม่มีครอบครัว ไม่มีภาระใดใด บางทีอาจจะทำได้ เพื่อนๆชอบว่าฉันเพ้อฝัน แต่ฉันคอยบอกตัวเองเสมอ ว่ามันจะต้องเป็นจริง!!
กว่าจะถึงบ้านก็เป็นเวลาตีสามกว่าๆแล้ว ฉันรีบอาบน้ำ เข้านอนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะมีเวลานอนไม่ถึง 3 ชั่วโมง เมื่อล้มตัวลงที่นอน ฉันก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย
เสียงโทรศัพท์ ทำให้ฉันงัวเงียขึ้นมาอีกครั้ง เหลือบมองนาฬิกาเป็นเวลาตีห้ากว่าๆ ฉันรับโทรศัพท์ โดยที่ยังไม่รู้ว่าใครโทรมา
“ฮัลโหลค่ะ ใครโทรมาป่านนี้เนี่ย!!” ฉันแอบหงุดหงิดกับปลายสาย เพราะยังอยู่ในอาการงัวเงีย
“น้องรี พี่ฟ้าเอง พี่ขอโทษนะ แต่พอดีมีงานด่วน พรุ่งนี้ 11 โมง น้องต้องบินไปขายงานที่เชียงใหม่นะ ไม่ต้องเข้าออฟฟิศแล้วนะ เก็บของไปสนามบินเลย เดี๋ยวพี่ให้เด็กเอาเอกสารไปให้ พี่จองตั๋วเครื่องบินให้เรียบร้อยแล้ว โอเคนะ”
หลังจากนั้น สายก็ถูกตัดไป ฉันนอนมึน งงอยู่บนที่นอน พยายามจับใจความว่าตัวเองต้องทำอะไร เมื่อเข้าใจเรียบร้อยแล้ว ก็ตัดสินใจนอนต่ออีกสักพัก ‘ขอหลับอีกสักหน่อยนะ แล้วจะตื่นมาลุยต่อ’
ฉันนั่งดื่มกาแฟ อยู่คนเดียวในสนามบิน หลังจากที่รุ่นน้องจากที่ทำงานเอาเอกสารมาให้ ฉันก็นั่งทบทวนข้อมูล เอกสารงานที่ต้องคุยกับลูกค้า และเตรียมตัวจะขึ้นเครื่อง ฉันเดินผ่านร้านขายหนังสือและเห็นมุมโปสการ์ดตั้งอยู่ในร้าน ‘นี่ เราไม่ได้เขียนโปสการ์ดมาหลายวันแล้วสินะ เขียนสักหน่อยดีกว่า’ ฉันเดินเข้าไปเลือกโปสการ์ด และเลือกรูปวัดพระแก้ว สถานที่ศักดิ์ คู่บ้านคู่เมือง และเป็นจุดเด่นของแหล่งท่องเที่ยวของเมืองไทย
‘เป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม ฉันไม่ได้เขียนซะหลายวัน
ทำงานยุ่งมากเลย คุณก็คงทำงานยุ่งเหมือนกันสินะ
ฉันกำลังจะไปเชียงใหม่ ถ้าเจอร้านโปสการ์ดสวยๆและจะเขียนไปหาคุณนะ..
แล้วเจอกัน...บาย ’
ฉันจำชื่อและที่อยู่ของเขาได้แม่น ไม่ต้องเอากระดาษมาเปิดดูอีกต่อไปแล้ว เมื่อส่งไปรษณีย์เรียบร้อยแล้ว ฉันก็ออกเดินทางไปยังทางเดินผู้โดยสารขาออกทันที..
จบตอน 1
1เรื่องรัก 2 ความรู้สึก (ตอน 1)
เสียงคลื่นซัดสาด กระทบฝั่ง แสงอาทิตย์ยามเย็น กำลังจะลับขอบฟ้า ฉันเดินไปเรื่อยเปื่อยอย่างไร้จุดหมาย วันหยุดกำลังจะหมดลง พรุ่งนี้เช้าตื่นขึ้นมา ฉันก็จะกลับสู่โลกความเป็นจริง โลกที่มีแต่ความวุ่นวาย ทุกคนแก่งแย่งกัน เอารัดเอาเปรียบ ไม่มีน้ำใจต่อกัน ฉันต้องรีบซึมซับความสุขนี้เอาไว้ เพื่อเป็นพลังในการทำงาน
‘ ใครโยนขวดแก้วลงทะเล? ‘ ฉันตัดสินใจเดินเข้าไปเก็บขวดใบนั้น เพื่อที่จะเอาไปทิ้งถังขยะ แต่ก็ต้องสะดุดกับเศษกระดาษที่อยู่ในขวด ‘ชื่อ ที่อยู่พร้อม คงหวังรอรักแท้สินะ เพ้อฝันชะมัด’ ฉันไม่เชื่อในเรื่องพรหมลิขิต เป็นไปไม่ได้ ที่จะมีใครสักคนที่เกิดมาเพื่อคนๆเดียว สังคมในทุกวันนี้มีแต่เรื่อง หย่าร้าง มือที่สาม แล้วจะจริงได้ยังไงที่จะมีคนที่เกิดมาเพื่อเป็นของกันและกัน ฉันเกิดนึกสนุกขึ้นมาและตัดสินใจเดินไปร้านขายโปสการ์ดที่อยู่ไม่ไกลมากนัก เลือกโปสการ์ดมาหนึ่งใบ พร้อมกับเขียนข้อความ
‘สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก’
ข้อความในโปสการ์ดมีเพียงเท่านี้ ฉันเขียนชื่อ – ที่อยู่ตามเศษกระดาษใบนั้น ติดแสตมป์ แล้วนำไปใส่กล่องไปรษณีย์ ที่วางไว้ ฉันไม่หวังให้มันไปถึงเจ้าของ เพราะฉันมั่นใจว่ามันไม่มีทางไปถึง
“รี ไปได้แล้ว เดี๋ยวจะถึงกรุงเทพฯดึกเสียก่อน” ฉันโยนขวดแก้วลงถังขยะ และเดินไปตามเสียงเรียกของเพื่อน ลาก่อนทะเล ลาก่อนแสงแดดอันอบอุ่น....
บรรยากาศในวันนี้กับเมื่อวาน มันช่างแตกต่างกันยิ่งนัก จากเสียงของคลื่นทะเล กลายเป็นเสียงบีบแตรรถยนต์ดังสนั่นบนท้องถนน แสงแดด จากที่เคยอบอุ่น กลายเป็นแสงแดดที่ร้อนจัด ไม่มีลมเย็นๆ มีแต่ไอความร้อน ฉันเปิดแอร์ทันทีเมื่อถึงห้องพัก ความร้อนเริ่มหมดไป ความเย็นสบายจากแอร์เริ่มเข้ามาแทนที่ อาการเหนื่อยล้าจากการทำงานเริ่มหมดไป เมื่อฉันได้พัก ฉันทำงานอยู่ที่บริษัทโฆษณามาเป็นระยะเวลา 2 ปีตั้งแต่เรียนจบปริญญาตรี แยกตัวเองออกมาจากครอบครัว พ่อกับแม่เลิกกัน และต่างฝ่ายต่างแต่งงานมีครอบครัวใหม่ เพราะเหตุนี้ฉันจึงไม่เชื่อในเรื่องพรหมลิขิต เพราะคนใกล้ตัวฉันเองยังเป็นแบบนี้ ฉันจึงตัดสินออกจากบ้านแม่ทันทีหลังจากเรียนจบ และใช้ชีวิตคนเดียวมาจนถึงทุกวันนี้ มีบ้าน มีงาน มีเงินเดือน แค่นี้ฉันก็พอใจแล้ว ฉันนั่งทำงานไปเรื่อย จนเลยเวลานอน ความง่วงเริ่มเข้ามาแทนที่ แต่แล้วสายตาของฉันก็หันไปเห็นเศษกระดาษใบนั้น เศษกระดาษที่ฉันมองว่าเป็นเรื่องตลก แต่แล้วฉันก็ หยิบโปสการ์ดที่ฉันสะสมเป็นงานอดิเรกขึ้นมาหนึ่งใบ
‘สวัสดีครั้งที่สอง หวังว่าคุณคงได้รับโปสการ์ดใบแรกแล้ว
เรารู้จักกันแล้วนะคะ คุณมีตัวตนจริงไหม? เพราะฉันคิดว่าคุณไม่มีตัวตน
มันคงจะแปลกมาก ถ้าคุณได้รับโปสการ์ดใบแรกจากฉัน
และคงจะแปลกยิ่งขึ้นอีก ถ้าคุณได้รับโปสการ์ดใบที่สองจากฉันเช่นกัน...’
แล้วฉันก็เขียนชื่อ – ที่อยู่ ติดแสตมป์พร้อมส่ง บางทีการเขียนถึงคนที่เราไม่เคยรู้จัก ไม่เคยเห็นหน้า มันก็เป็นเรื่องสนุกดีนะ ถึงแม้ว่าเขาจะมีตัวตนหรือไม่ก็ตาม ฉันเป็นนักสะสมโปสการ์ด และชอบเขียนโปสการ์ดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เวลาไปสถานที่แปลกๆ ฉันชอบเขียนโปสการ์ดส่งให้ตัวเอง หรือคนรู้จัก มันเหมือนเป็นการถ่ายทอดความสุขให้ผู้อื่นรับรู้ ผ่านตัวหนังสือที่เขียนไป ดังนั้น การที่ฉันจะเขียนโปสการ์ดให้ใครอีกคนที่ไม่รู้จัก ก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร...
แสงแดดยามเช้าเป็นสิ่งที่ฉันชอบมากที่สุด ยิ่งวันไหนได้ตื่นก่อนพระอาทิตย์จะเป็นวันที่ฉันมีความสุขมาก ยิ่งฉันตื่นเช้ามากเท่าไหร่ ฉันจะยิ่งมีเวลาทำในสิ่งที่ฉันอยากทำมากขึ้นเท่านั้น และวันนี้ก็เช่นกัน ฉันรีบตื่นเช้าเพื่อไปทำงาน เหมือนเดิมในทุกๆวัน และก็ไม่ลืมที่จะส่งโปสการ์ดใส่ตู้ไปรษณีย์หน้าคอนโด ฉันไม่มีรถยนต์ส่วนตัว เดินทางไปทำงานด้วยรถเมล์แต่ถ้าวันไหนเร่งรีบก็จะหันไปขึ้นรถไฟฟ้าบีทีเอสแทน หลังจากที่แวะซื้อกาแฟเจ้าประจำแล้ว ฉันก็เดินไปเรื่อยๆ ผู้คนรอบข้างต่างเร่งรีบ ‘หรือเขาจะไปทำงานสาย’ ความคิดของฉันทำให้ตัวเองหลุดยิ้มขึ้นมา แต่ก็ต้องหุบยิ้มทันทีเมื่อเห็นนาฬิกาที่ข้อมือตัวเอง ‘ตายแล้ว นี่เราก็สายเหมือนกันเหรอเนี่ย !!’
“น้องรี คืนนี้รีบกลับบ้านหรือเปล่า? ถ้าไม่รีบอยู่ช่วยพี่แก้งานให้ลูกค้าก่อนนะ..” พี่ฟ้า หัวหน้าแผนกขอให้ฉันอยู่ช่วยงานต่อ ซึ่งฉันก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ทุกวันนี้งานที่ทำอยู่ ก็เหมือนส่วนหนึ่งของชีวิตฉัน
“กลับบ้านไป ก็ไม่มีใครอยู่แล้ว นอนออฟฟิศเป็นเพื่อนพี่ฟ้าก็ได้ค่ะ ฮ่าๆๆๆ ” ฉันหัวเราะออกมาเสียงดัง แต่พี่ฟ้าก็สวนกลับทันควัน
“แหม ทำมาหัวเราะ ไม่มีใครอยู่ที่บ้าน ทำไมไม่หาสักคนหล่ะจ๊ะ อยู่คนเดียวมานานเกินไปแล้วนะเราอ่ะ หาใครสักคนให้กระชุ่ม กระชวยหัวใจหน่อยสิจ๊ะ” ฉันหัวเราะและอมยิ้ม และก้มหน้าทำงานต่อไป โดยที่ไม่คิดอะไร
‘อยู่แบบนี้จนชินแล้ว จะให้หาใครมาให้หัวใจเจ็บเล่นทำไม’ ฉันได้แต่พร่ำบอกกับตัวเองอยู่เสมอมา
ฉันช่วยงานพี่ฟ้าอยู่จนดึก คนอื่นๆก็เช่นกัน การทำงานโฆษณา เป็นงานที่ฉันชอบ ได้ใช้หัวคิดอยู่ตลอดเวลา และสร้างความตื่นเต้นให้ฉันอยู่ไม่น้อย แต่ฉันก็ชอบท่องเที่ยวเช่นกัน ฉันชอบหาเวลาว่างพาตัวเองออกไปเที่ยวไกลๆ หาสถานที่เที่ยวที่ไม่มีคนพลุกพล่าน ไปกับเพื่อนๆบ้าง หรือไปคนเดียวบ้าง หาอะไรสนุกๆทำ หาประสบการณ์ดีๆให้กับตัวเอง ฉันฝันว่าอยากไปเที่ยวรอบโลก และถ้ามีโอกาสฉันจะทำให้ได้ ฉันไม่มีครอบครัว ไม่มีภาระใดใด บางทีอาจจะทำได้ เพื่อนๆชอบว่าฉันเพ้อฝัน แต่ฉันคอยบอกตัวเองเสมอ ว่ามันจะต้องเป็นจริง!!
กว่าจะถึงบ้านก็เป็นเวลาตีสามกว่าๆแล้ว ฉันรีบอาบน้ำ เข้านอนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะมีเวลานอนไม่ถึง 3 ชั่วโมง เมื่อล้มตัวลงที่นอน ฉันก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย
เสียงโทรศัพท์ ทำให้ฉันงัวเงียขึ้นมาอีกครั้ง เหลือบมองนาฬิกาเป็นเวลาตีห้ากว่าๆ ฉันรับโทรศัพท์ โดยที่ยังไม่รู้ว่าใครโทรมา
“ฮัลโหลค่ะ ใครโทรมาป่านนี้เนี่ย!!” ฉันแอบหงุดหงิดกับปลายสาย เพราะยังอยู่ในอาการงัวเงีย
“น้องรี พี่ฟ้าเอง พี่ขอโทษนะ แต่พอดีมีงานด่วน พรุ่งนี้ 11 โมง น้องต้องบินไปขายงานที่เชียงใหม่นะ ไม่ต้องเข้าออฟฟิศแล้วนะ เก็บของไปสนามบินเลย เดี๋ยวพี่ให้เด็กเอาเอกสารไปให้ พี่จองตั๋วเครื่องบินให้เรียบร้อยแล้ว โอเคนะ”
หลังจากนั้น สายก็ถูกตัดไป ฉันนอนมึน งงอยู่บนที่นอน พยายามจับใจความว่าตัวเองต้องทำอะไร เมื่อเข้าใจเรียบร้อยแล้ว ก็ตัดสินใจนอนต่ออีกสักพัก ‘ขอหลับอีกสักหน่อยนะ แล้วจะตื่นมาลุยต่อ’
ฉันนั่งดื่มกาแฟ อยู่คนเดียวในสนามบิน หลังจากที่รุ่นน้องจากที่ทำงานเอาเอกสารมาให้ ฉันก็นั่งทบทวนข้อมูล เอกสารงานที่ต้องคุยกับลูกค้า และเตรียมตัวจะขึ้นเครื่อง ฉันเดินผ่านร้านขายหนังสือและเห็นมุมโปสการ์ดตั้งอยู่ในร้าน ‘นี่ เราไม่ได้เขียนโปสการ์ดมาหลายวันแล้วสินะ เขียนสักหน่อยดีกว่า’ ฉันเดินเข้าไปเลือกโปสการ์ด และเลือกรูปวัดพระแก้ว สถานที่ศักดิ์ คู่บ้านคู่เมือง และเป็นจุดเด่นของแหล่งท่องเที่ยวของเมืองไทย
‘เป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม ฉันไม่ได้เขียนซะหลายวัน
ทำงานยุ่งมากเลย คุณก็คงทำงานยุ่งเหมือนกันสินะ
ฉันกำลังจะไปเชียงใหม่ ถ้าเจอร้านโปสการ์ดสวยๆและจะเขียนไปหาคุณนะ..
แล้วเจอกัน...บาย ’
ฉันจำชื่อและที่อยู่ของเขาได้แม่น ไม่ต้องเอากระดาษมาเปิดดูอีกต่อไปแล้ว เมื่อส่งไปรษณีย์เรียบร้อยแล้ว ฉันก็ออกเดินทางไปยังทางเดินผู้โดยสารขาออกทันที..
จบตอน 1