ข่าว:หั่น QEทุนนอกไหลกลับ สัญญาณอันตราย

กระทู้สนทนา
วันที่ 8 กรกฎาคม 2556 10:30
โดย : ศรัณย์ กิจวศิน

หั่นคิวอีทุนนอกไหลกลับ สัญญาณอันตราย



สถานการณ์เงินทุนเคลื่อนย้ายพลิกกลับ เพียงแค่ เดือนเศษ จากการตั้งรับปัญหาทุนไหลเข้า เปลี่ยนเป็นเตรียมพร้อมรับมือเงินไหลออก ผลจาก "เฟด" ส่งสัญญาณลด "คิวอี" เผยเงินที่ไหลออก ยังแค่เศษเสี้ยวของที่ไหลเข้ามา "แบงก์ชาติ" มองทิศทางทุนไหลออกเริ่มชัด ดัน "ยีลบอนด์" พุ่ง ขณะที่ "ไทยบีเอ็มเอ" แนะทิ้งตัวยาวถือตัวสั้นลดความเสี่ยง อดีต "ขุนคลัง" เตือนภาครัฐใช้เงินระวัง เหตุต้นทุนระดมทุนเพิ่ม ด้าน "นักวิชาการ" เผยเอกชนเริ่มชะลอแผนออกบอนด์
ไม่มีใครคาดคิดว่า สถานการณ์เงินทุนเคลื่อนย้ายจะ "พลิกกลับ" อย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาแค่ 1 เดือนเศษ จากปัญหา "ทุนไหลเข้า" จนสร้างความปั่นป่วนไปทั่วตลาดเงิน กดดันให้ "เงินบาท" แข็งค่าทำสถิติสูงสุดในรอบ 17 ปี มาอยู่ที่ 28.55 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เมื่อวันที่ 19 เมษายน ที่ผ่านมา

การไหลเข้าอย่างบ้าคลั่งของเงินทุนเคลื่อนย้ายในคราวนั้น สร้างความกังวลใจให้กับ "รัฐบาล" เป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกแล้ว ยังอาจนำมาซึ่งความเสี่ยงด้าน "ฟองสบู่" ทั้งในตลาดหุ้นและตลาดอสังหาริมทรัพย์จนบวมเป่งได้ ทำให้รัฐบาลต้องระดมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาแนวทางรับมืออย่างเร่งด่วน

แต่ทว่าเพียงไม่กี่สัปดาห์นับจากนั้น สถานการณ์ในตลาดเงินโลกได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง จากเงินทุนเคลื่อนย้ายที่เคยไหลเข้าจนสร้างความปวดหัวให้กับ ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ "แบงก์ชาติ" กลับกลายเป็นการไหลออกอย่างน่าเจ็บใจ

ทั้งหมดนี้เป็นผลจากการดำเนินนโยบายการเงินของ ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ "เฟด" เพราะทันทีที่เฟดส่งสัญญาณ "ลด" ปริมาณการใช้ "คิวอี" หรือมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ รอบ 3 ลง เนื่องจากเห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง ทำให้มุมมองของนักลงทุนทั่วโลกที่มีต่อการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ รวมทั้งประเทศไทยเปลี่ยนไป

จากการสำรวจการ "ไหลออก" ของเงินทุนเคลื่อนย้าย นับจากวันที่ เฟด ส่งสัญญาณลดปริมาณการใช้คิวอีลง ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา พบว่าเฉพาะเดือนมิถุนายนเพียงเดือนเดียว นักลงทุนต่างประเทศมียอดขายสุทธิในตลาดตราสารหนี้ราว 46,314 ล้านบาท และขายสุทธิในตลาดหุ้นราว 55,492 ล้านบาท รวมยอดการขายสุทธิในทั้ง 2 ตลาด อยู่ที่ประมาณ 101,806 ล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 3,360 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

คำถามที่สำคัญ คือ แรงขายของนักลงทุนเหล่านี้สิ้นสุดลงหรือยัง และสถานการณ์เงินทุนเคลื่อนย้ายจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป?

หากดูตัวเลขเงินทุนไหลเข้านับตั้งแต่ เฟด ประกาศใช้มาตรการคิวอี 3 จะเห็นว่า เงินทุนที่ "ไหลออก" ในช่วงเดือนมิถุนายนนั้น ยังแค่เศษเสี้ยวของเม็ดเงินที่ “ไหลเข้า” ในช่วงก่อนหน้านี้ เพราะนับจากวันที่ เฟด ประกาศใช้มาตรการคิวอี 3 เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2555 จนถึงสิ้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติยังมียอดซื้อสุทธิในตลาดตราสารหนี้กว่า 67,268 ล้านบาท

ส่วนในตลาดหุ้นนั้น แม้ยอดรวมจะเป็นการขายสุทธิรวม 63,956 ล้านบาท แต่ถ้าดูตั้งแต่ เฟด เริ่มประกาศใช้ คิวอี เป็นครั้งแรก หรือ คิวอี 1 ซึ่งเริ่มเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2551 มาจนถึงปัจจุบัน จะพบว่านักลงทุนต่างชาติยังมียอดซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยอยู่กว่า 99,618 ล้านบาท ในขณะที่ตลาดตราสารหนี้นั้น นักลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสะสมรวมกว่า 692,573 ล้านบาท

ข้อมูลจากสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย หรือ "ไทยบีเอ็มเอ" ระบุว่า ณ สิ้นเดือน พฤศจิกายน 2551 ซึ่งเป็นเดือนแรกที่เฟดประกาศใช้ คิวอี1 พบว่า นักลงทุนต่างชาติมียอดถือตราสารหนี้คงค้างราว 77,595 ล้านบาท คิดเป็น 1.6% ของมูลค่าคงค้างตราสารหนี้ทั้งระบบ ขณะที่ล่าสุด ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2556 นักลงทุนกลุ่มนี้มียอดถือตราสารหนี้คงค้างรวม 770,168 ล้านบาท คิดเป็น 8.6% ของยอดคงค้างทั้งระบบ

ผ่องเพ็ญ เรืองวีรยุทธ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย บอกว่า ถ้อยแถลงของเฟดที่ชัดเจนเกี่ยวกับแผนการลดปริมาณการใช้คิวอีลง น่าจะทำให้นักลงทุนต่างชาติลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ รวมถึงประเทศไทยลงด้วย จึงมีความเป็นไปได้ว่าภาวะเงินทุนเคลื่อนย้ายจากนี้ไป น่าจะเป็นทิศทางของการไหลออกมากขึ้น

ขณะที่ นิวัฒน์ กาญจนภูมินทร์ กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย หรือ ไทยบีเอ็มเอ มองว่า สัญญาณจากเฟดที่ต้องการ "ยุติ" การใช้มาตรการคิวอี ทำให้ตลาดคาดการณ์ว่า ความต้องการ หรือ "ดีมานด์" ในพันธบัตรอาจลดลง ส่งผลให้ "ยีลบอนด์" หรือ ผลตอบแทนต่อการลงทุนในพันธบัตร ทั้งรุ่นอายุ 5 ปี และ รุ่นอายุ 10 ปี ปรับเพิ่มขึ้นราว 0.4-0.5% ในขณะที่ นักลงทุนต่างชาติมียอดขายสุทธิในตลาดตราสารหนี้ ช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ประมาณ 90,000 ล้านบาท

ส่วนแนวโน้ม ยีลบอนด์ รุ่นระยะยาวนั้น นิวัฒน์ เชื่อว่า ช่วงครึ่งปีหลังมีโอกาสปรับขึ้นได้อีก ซึ่งเป็นผลจากการระดมทุนของภาครัฐและเอกชนเพื่อไปลงทุน ทำให้มีสินค้าใหม่เข้ามาในตลาดเพิ่ม และยิ่งถ้าเงินทุนเคลื่อนย้าย ยังคงไหลออกต่อเนื่อง ก็ยิ่งทำให้ ยีลบอนด์ตัวยาว ปรับตัวเพิ่มขึ้น จึงแนะนำว่านักลงทุนควรหันไปลงทุนในตราสารระยะสั้นก่อน จนกว่าการปรับตัวของตราสารหนี้ระยะยาวจะสิ้นสุดลง

ด้าน ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่า แม้ ยีลบอนด์ จะปรับเพิ่มขึ้น แต่ถือเป็นการปรับเข้าสู่ภาวะปกติ เพราะก่อนหน้านี้ยีลบอนด์ปรับลดลงไปมาก จากปัญหาเงินทุนไหลเข้า ซึ่งการที่ยีลบอนด์ลดลงมากๆ ก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะฟองสบู่ตามมาได้เช่นกัน

"การที่เฟดปรับนโยบายการเงินให้อยู่ในระดับเหมาะสม ผมคิดว่าน่าจะทำให้ความเสี่ยงต่างๆ ได้ข้อยุติลง แต่ถ้าเฟดไม่มีทีท่าว่าจะชะลอการใช้ คิวอี เลย อันนี้น่าเสี่ยงกว่า เพราะมีความเสี่ยงว่าจะเกิดฟองสบู่ได้"

อย่างไรก็ตามการที่ ยีลบอนด์ ปรับเพิ่มขึ้น ย่อมทำให้ต้นทุนการระดมทุนของทั้งภาครัฐและเอกชนปรับเพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะภาครัฐที่กำลังมีแผนลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐาน มูลค่า 2 ล้านล้านบาท ควรต้องจัดลำดับความสำคัญก่อนหลัง เน้นความรัดกุม และเลือกลงทุนในโครงการที่สามารถให้ผลตอบแทนสูงไว้ก่อน

ขณะที่ วิรไท สันติประภพ นักเศรษฐศาสตร์อิสระ มองว่า ยีลบอนด์ที่ปรับเพิ่มขึ้น ย่อมเพิ่มภาระต้นทุนให้กับทั้งภาครัฐและเอกชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น จะเห็นว่าช่วงที่ผ่านมา เอกชนขนาดใหญ่หลายแห่ง เริ่มชะลอแผนการออกหุ้นกู้ไปบ้างแล้ว เนื่องจากมีต้นทุนการเงินเพิ่มขึ้น และความเสี่ยงที่ยีลบอนด์จะเพิ่มขึ้นในอนาคตก็มีความเป็นไปได้สูง เพราะหาก เฟด ยุติการใช้มาตรการคิวอีจริง เงินทุนที่เคยเข้ามาลงทุนก่อนหน้านี้ มีโอกาสที่จะไหลกลับออกไปมากขึ้นได้เช่นกัน

"การที่เงินไหลออก ย่อมทำให้ต้นทุนการกู้ยืมเพิ่มสูงขึ้น เป็นสิ่งที่หลายคนเองก็คาดการณ์ไว้บ้างแล้ว เพราะเมื่อไหร่ที่มีการลดการใช้คิวอี ผลกระทบย่อมเกิดต่อปริมาณเงินที่มีอยู่ในโลก ประเทศตลาดเกิดใหม่ อาจถูกมองว่ามีความเสี่ยงสูงขึ้น เขาก็จะดึงเงินกลับออกไป ดังนั้นในอนาคตยีลบอนด์มีโอกาสที่จะขึ้นไปสูงกว่านี้ได้เช่นกัน"

บทสรุปทั้งหมดนี้ สะท้อนชัดเจนว่า ปัญหาเงินทุนไหลกลับ จากการลดมาตรการ "คิวอี" ของเฟดนั้น ณ ขณะนี้ยังเป็นเพียงแค่ "ปฐมฤกษ์" เท่านั้น ยังมีเม็ดเงินของนักลงทุนต่างชาติอีกจำนวนมาก ที่พร้อมไหลกลับในวันที่เฟดกดปุ่มลดคิวอีลง!

ที่มา http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/finance/20130708/515810/%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2.html


เสพกันไป  มีความเห็นอย่างไรก็ว่ากันไป  บังเอิญอยากรู้ตัวเลข QE1-QE3 พอดี แล้วมันมีรูปก็เลยเอามาแชร์กัน

ป.ล.คงไม่มีใครมาโพสต์บอก 'ว่าแล้วพอหุ้นตกข่าวพวกนี้ก็มา' นะ  555

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่