24 ธ.ค. 2556 เวลา 12:48:47 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
กูรูชำแหละปีหน้าตลาดเงินตลาดทุนผันผวนหนัก หลัง"เฟด" ดีเดย์ลดคิวอี ม.ค.57 ขณะที่การเมืองยังฝุ่นตลบ เสี่ยงเงินต่างชาติไหลออกจาก "หุ้น-บอนด์"ต่อเนื่องอีกกว่า 2 แสนล้านบาท กดดันบาทอ่อนค่า เมอร์ริล ลินช์ คาดปีหน้าหลุด 33 บาทต่อดอลลาร์ แถมดันต้นทุนการลงทุนภาครัฐเอกชนพุ่ง ธปท.เตือนผู้นำเข้ารับมือบาทอ่อน
ชี้ลด QE กระทบไทย 3 ด้าน
นาย ศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า จากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตัดสินใจลดทอนมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ลง 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ สู่ระดับ 7.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ตั้งแต่เดือน ม.ค. 2557 และหากเศรษฐกิจดีขึ้นต่อเนื่อง เฟดจะลดทอนคิวอีเดือนละหมื่นล้านเหรียญสหรัฐทุกเดือน ซึ่งจะทำให้ประมาณเดือน ก.ย. หรือ ต.ค. 2557 น่าจะจบพอดี อย่างไรก็ตามการลดคิวอีจะหยุดในช่วงใดก็ได้ โดยระหว่างทางหากตัวเลขเศรษฐกิจไม่ดี ก็อาจหยุดการลดทอนได้
การลดคิว อี มีผลกระทบใน 3 ด้าน คือ
1.ราคาหุ้นไทยจะลดลง
2.ต้นทุนการลงทุนของรัฐ และเอกชนจะเพิ่มขึ้น และ
3.เงินจะไหลออก และเงินบาทจะอ่อนค่าลงอีก
ซึ่งเงินน่าจะไหลออกจากตลาดพันธบัตรมากกว่า เพราะเป็นตลาดที่เกี่ยวพันกับส่วนต่างดอกเบี้ย ปัจจุบันต่างชาติถือครองบอนด์ไทยสัดส่วน 12% ของยอดคงค้างพันธบัตรรัฐบาลไทยที่มีอยู่ 8 ล้านล้านบาท
"ปีหน้ามี โอกาสเงินไหลออกทั้งภูมิภาค โดยเฉพาะอินโดนีเซียซึ่งขาดดุลบัญชีเดินสะพัดมาก ส่วนไทยขาดดุลบัญชีเดินสะพัดนิดหน่อย ก็อาจได้รับผลกระทบบ้าง เพราะต่างชาติคิดว่าถ้าเงินอ่อน ราคาบอนด์ตก ก็ไม่น่าเสี่ยงจะถือบอนด์ไทย หรือบอนด์ของชาติอื่น ๆ ในภูมิภาคนี้ต่อไป"
ยีลด์บอนด์ขยับ-ต้นทุนการเงินพุ่ง
ทั้ง นี้ เมอร์ริล ลินช์ พันธมิตรของ บล.ภัทร คาดการณ์ว่า ภายในปลายปี 2557 ยีลด์พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี จะเพิ่มขึ้นเป็น 3.75% จากปัจจุบัน 2.89% หรือเพิ่มขึ้น 100 Basic Point ขณะที่ยีลด์พันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10 ปี ปัจจุบันอยู่ที่ 4% จะเพิ่มขึ้นเป็น 5% ในปีหน้า เพราะพันธบัตรสหรัฐกับพันธบัตรไทยมีส่วนสัมพันธ์กันถึง 80% ซึ่งหากลดทอนคิวอีไปเรื่อย ๆ ย่อมทำให้ยีลด์สูงขึ้นเรื่อย ๆ และอัตราดอกเบี้ยระยะยาวย่อมสูงขึ้นตาม กระทบกับต้นทุนการเงินภายในไทยด้วย
นาย ศุภวุฒิกล่าวว่า ตลาดหุ้นที่ร่วงลงมา ประเด็นหลักไม่ได้เกิดจากเรื่องเฟดลดคิวอีอย่างเดียว แต่เพราะตลาดหุ้นไทยปีที่ผ่านมาไม่เพอร์ฟอร์ม ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐที่ปรับเพิ่มขึ้น 20-30% ปัจจุบันสถานการณ์การเมืองกับภาวะเศรษฐกิจที่กระทบกับการเติบโตของกำไร จึงมีผลต่อความน่าสนใจของหุ้นไทยในสายตาต่างชาติ ต่างชาติจะหยุดขายหุ้นไทยเพราะเห็นว่าราคาหุ้นต่อกำไร (P/E) ถูก และร่วงมากแล้ว
"ตลอดปีที่ผ่านมา หุ้นไทยไม่เพอร์ฟอร์ม อย่าพูดถึงปีหน้าเลย ตอนนี้เราก็ไม่รู้กันว่าการเมืองจะไปต่อยังไง ทำให้คำนวณกำไรหุ้นยากขึ้นไปอีกด้วย"
ปี 57 ค่าเงินแตะ 33 บาท/ดอลล์
สำหรับ ทิศทางเศรษฐกิจไทยในปี 2557 นายศุภวุฒิกล่าวว่า ต้นปีหน้าภาพเศรษฐกิจจะมากับความกลัว และปัญหาเศรษฐกิจไทยอาจไม่หนักแค่ไตรมาสแรกของปีหน้าเท่านั้น แม้จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น และมีรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศก็ตาม แต่ปัญหาการเมืองไทยยังคงอยู่ต่อไป อย่างน้อยก็ตลอดระยะเวลาที่มีการปฏิรูปการเมือง ซึ่งไม่ว่าพรรคการเมืองไหนเข้ามาเป็นรัฐบาลย่อมต้องใช้เวลากับเรื่องปฏิรูป การเมือง ทำให้เรื่องเศรษฐกิจอาจไม่ใช่สิ่งสำคัญลำดับต้น ๆ จึงอาจไม่เห็นการลงทุนขนาดใหญ่ การสร้างความเชื่อมั่นเรื่องการลงทุนภาครัฐให้กับนักลงทุนก็จะยากกว่าปกติ
ด้วย เหตุนี้ บล.ภัทรจึงคาดการณ์ว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ปีหน้าจะอยู่ที่ 4.3% มาจากส่งออก 5% การบริโภคภาคเอกชน 3% ส่วนการลงทุนภาครัฐและเอกชนก็อาจมีไม่มาก ขณะที่ค่าบาท เมอร์ริลลินช์ คาดว่า อัตราแลกเปลี่ยน ณ สิ้นปี 2557 จะอยู่ที่ 33 บาท/เหรียญสหรัฐ และสิ้นปี 2558 อยู่ที่ 34 บาท/เหรียญสหรัฐ
สหรัฐดูดสภาพคล่องกลับใน 2 ปี
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า มุมมองต่อการลดทอนคิวอีแตกออกเป็น 2 กลุ่ม คือ ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าเมื่อเฟดประกาศลดคิวอี จะทำให้เกิดความผันผวนของตลาดเงินมากขึ้นในปี 2557 กับอีกฝ่ายที่มองว่า ขณะนี้ราคาสินทรัพย์ได้ปรับตัว (Price in) กับเรื่องนี้ไปมากแล้ว
"สถานการณ์ จะเกิดขึ้นได้ทั้ง 2 ฝั่ง คือเงินจะไหลออก ซึ่งต้องดูว่าแต่ละประเทศจะมีกระบวนการปรับตัวแบบไหน จะเป็นแบบทุกคนเร่งหนีออกไป แล้วเหยียบกันตาย หรือจะเป็นแบบค่อย ๆ ทยอยออก สำหรับประเทศไทยตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นการค่อย ๆ ทยอยออกไป ส่งผลให้ตลาดหุ้นซึม ๆ อย่างที่เห็น"
ขณะที่ปีหน้าจะเป็นปีแห่งความ ผันผวนอีกครั้ง เพราะสหรัฐจะเริ่มกระบวนการปรับตัวจากการถอนคิวอี ด้วยการดูดสภาพคล่องที่ปล่อยมาเมื่อ 3 ปีก่อนคืน ดังนั้นปี 2557-2558 สหรัฐก็จะเริ่มจากการปิดก๊อก พอถึงปลายปี 2557 ก็จะต้องปิดให้สุด หลังจากนั้นก็จะเป็นการเริ่มดูดสภาพคล่องกลับ โดยที่ปลายปี 2558 ก็จะเริ่มขึ้นดอกเบี้ยอ้างอิง" นายกอบศักดิ์กล่าว
เงินนอกหนีหุ้นแสนล้าน
ด้าน นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา หัวหน้าฝ่ายวิจัยนักลงทุนส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า หลังสหรัฐตัดสินใจลด QE ก็มีผลทำให้เงินที่เคยลงทุนตลาดหุ้นไทยบางส่วนไหลออกไป ซึ่งเบื้องต้นคาดว่านักลงทุนต่างชาติน่าจะมีโอกาสถอนการลงทุนได้อีกราว 1 แสนล้านบาท โดยประมาณการดังกล่าววิเคราะห์จากเงินทุนไหลออกสูงสุดช่วงซับไพรมปี 2551
"นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ต่างชาติถอนการลงทุนในตลาดหุ้นไทยแล้วกว่า 1.9 แสนล้านบาท ทำให้สัดส่วนการถือครองหุ้นล่าสุดของต่างชาติอยู่ที่ประมาณ 34.7% โอกาสที่ต่างชาติจะถอนการลงทุนก็ยังมีอยู่ หากเทียบเคียงกับช่วงซับไพรมที่มีการถือครอง 33% ก็หมายความว่า เงินลงทุนจะไหลออกได้อีก 1 แสนล้านบาท หรืออาจจะเป็นเพียงแค่การปรับพอร์ตบางส่วนก็ได้ เพราะต้องยอมรับว่าตอนนี้ นักลงทุนเริ่มกลับไปมองหาหุ้น และพันธบัตรสหรัฐที่มีแนวโน้มฟื้นตัวแล้ว" นายกิติชาญกล่าว
อย่างไรก็ตามแม้จะมีการไหลออกของเงินทุน แต่เชื่อว่าบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ไทยจะยังคงแข็งแกร่งและเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มส่งออกที่ได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจต่างประเทศ ทั้งนี้ประเมินว่า ดัชนีตลาดหุ้นปี 2557 น่าจะอยู่ที่ราว 1,500 จุด พี/อีอยู่ที่ 11.5 เท่า และอัตรากำไรต่อหุ้น (EPS) 14%
โอกาสเงินไหลกลับไทย"ยาก"
นาย กรภัทร วรเชษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โนมูระ พัฒนสิน เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ในระยะสั้นเม็ดเงินต่างชาติคงจะไหลออกอย่างต่อเนื่อง แม้นักลงทุนต่างชาติจะปรับพอร์ตไปตั้งแต่เดือน พ.ย.แล้ว แต่ก็ยังมีเงินเหลือที่ไหลออกได้อีก ทิศทางข้างหน้าต่างชาติยังจะขายต่อไป แต่การขายอาจจะเบาบางลงกว่าที่ผ่านมา เพราะมูลค่าพอร์ตเหลือน้อยแล้ว
ทั้ง นี้ สิ่งที่ทำให้นักลงทุนต่างขายสุทธิออกมาอย่างต่อเนื่อง เป็นเพราะทิศทางเศรษฐกิจของไทยมีแนวโน้มชะลอตัว บวกกับปัญหาการเมืองภายในประเทศ ทำให้ภาพความชัดเจนของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจปรับตัวลดลง ซึ่งแตกต่างจากตลาดหุ้นในภูมิภาคที่แม้จะมีเม็ดเงินไหลออก แต่ก็มีภาพการไหลกลับเข้ามาบ้าง สถานการณ์ปัจจุบันยังคงยากมากที่เม็ดเงินต่างชาติจะกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทย
"ปัจจัยเรื่องลดมาตรการ QE ส่งผลให้สภาพคล่องไหลกลับตลาดสหรัฐและยุโรปจำนวนมาก ในภูมิภาคนี้จะไหลออกจากกลุ่มตลาดประเทศเกิดใหม่ หรือ TIP คือ ไทย, อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ สวนทางกับตลาดไต้หวันและเกาหลีที่มีเงินไหลเข้า"
อย่างไรก็ตามภาพระยะกลางถึงยาวคาดว่ามีโอกาสที่ฟันด์โฟลว์ต่างชาติจะไหลกลับเข้า มาในตลาดหุ้นไทยอีกครั้งในช่วงไตรมาส 2/2557 เมื่อทิศทางการเมืองในประเทศมีความชัดเจน ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะมีทิศทางฟื้นตัวมากขึ้นเช่นกัน โดยมองว่าเสน่ห์ของตลาดหุ้นไทยตอนนี้ก็คือ EPS Growth ปีหน้าที่คาดว่าจะเติบโตประมาณ 16.6% ซึ่งเติบโตสูงเป็นอันดับ 2 ของตลาดในภูมิภาคเอเชีย เป็นรองเพียงตลาดอินเดีย ที่คาดว่า EPS Growth จะเติบโตประมาณ 20%
ขณะที่ P/E ตลาดหุ้นไทยปีหน้าก็ยังต่ำเพียง 11.8% เทียบกับค่าเฉลี่ยระยะยาว 13% ก็ถือว่ามีส่วนลดที่นักลงทุนจะเข้ามาเก็งกำไรได้ โดยคาดว่าปีหน้าจะมีเม็ดเงินต่างชาติไหลกลับเข้ามาซื้อสุทธิประมาณ 3-5 หมื่นล้านบาท จากปีนี้ที่ไหลออกไปกว่า 1.9 แสนล้านบาท
ม.ค.ต่างชาติทิ้งบอนด์สั้นเกลี้ยง
นาย นิวัฒน์ กาญจนภูมินทร์ กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) กล่าวว่า หลังจากเฟดประกาศลดทอน QE มีผลให้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ อายุ 10 ปี เด้งขึ้นไปเป็นเกือบ 3% ทำให้นักลงทุนต่างชาติที่ถือครองอยู่ในตลาดตราสารหนี้ไทยดึงเงินกลับได้ โดยปัจจุบันต่างชาติถือครองตราสารหนี้ไทยสะสม 7.2 แสนล้านบาท แบ่งเป็นพันธบัตรระยะสั้น (อายุต่ำกว่า 1 ปี) 1.17 แสนล้านบาท และระยะยาว 6 แสนล้านบาท โดยเมื่อปี 2552 ซึ่งเป็นปีแรกที่เฟดใช้ QE1 กระตุ้นเศรษฐกิจ มีต่างชาติถือครองตราสารหนี้ไทยสะสมเพียง 9 หมื่นล้านบาท
"2 สัปดาห์ก่อนสิ้นปีไม่น่าจะไหลออกไปมากนัก แต่ต้นปี 2557 มีความเป็นไปได้ที่เงินจากบอนด์สั้น 1.17 แสนล้านบาทจะไหลออกไปหมด และมีแนวโน้มไหลออกจากบอนด์ยาวบ้าง โดยเฉพาะในเดือน ม.ค. ซึ่งจะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 22 ม.ค. และเฟดจะประชุมอีกครั้งในวันที่ 28-29 ม.ค. ซึ่งน่าจะเป็นช่วงกดดันตลาดเช่นกัน" นายนิวัฒน์กล่าว
นอก จากนี้ นายนิวัฒน์กล่าวถึงอัตราดอกเบี้ยในตลาดพันธบัตรที่จะสูงขึ้นหลังจากเฟดทยอย ลดคิวอีว่า จะมีผลต่อต้นทุนการเงินของรัฐและผู้ประกอบการ ดังนั้นในปีหน้าน่าจะเห็นการปรับตัวของผู้ออกตราสารหนี้ โดยเฉพาะภาคเอกชนให้หันมาออกตราสารหนี้ที่มีอายุ 1-3 ปี แทนจากเดิมที่นิยมออกตราสารหนี้อายุ 3-5 ปี
ธปท.เตือนผู้นำเข้ารับมือบาทอ่อน
นาย เกริก วณิกกุล รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า จากการประเมินผลเฟดลดคิวอี เบื้องต้น 3 ด้าน ด้านแรกคือส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่า ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น แต่ภาคส่งออกก็จะได้รับผลดี แต่สำหรับผู้นำเข้าอาจได้รับผลกระทบบ้าง ด้านที่ 2 คือ ตลาดหุ้นปรับตัวลดลง แต่เชื่อว่านักลงทุนจะสามารถบริหารความเสี่ยงได้ สุดท้ายคือจะส่งผลให้ความต้องการพันธบัตรลดน้อยลง
ด้านนางรุ่ง มัลลิกะมาส โฆษก ธปท. กล่าวว่า กรณีเฟดมีมติทยอยปรับลดการอัดฉีด QE ลง ถือเป็นข่าวดีต่อตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลก เพราะชี้ให้เห็นถึงสถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น อีกทั้งเฟดยังส่งสัญญาณชัดเจนว่า ทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไป และมีความยืดหยุ่น หากการลด QE ส่งสัญญาณไม่ดี เฟดก็อาจหยุดการลด QE เพื่อประคับประคองสถานการณ์ไว้
โดยในส่วนค่าบาทพบว่า อ่อนค่าสอดคล้องกับภูมิภาค หลังค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าสอดรับข่าวดังกล่าว โดยวันที่ 19 ธ.ค. ค่าเงินเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 32.30-32.40 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ 20 ธ.ค ค่าบาทอ่อนค่าต่อเนื่องหลุดระดับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
นอกจากนี้ ธปท.ได้พิจารณาปรับลดคาดการณ์การส่งออกไทยปี 2557 ว่า น่าจะต่ำกว่า 7% ตามที่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้า เนื่องจากแนวโน้มการส่งออกของไทยฟื้นตัวช้ากว่าประเทศอื่น ๆ และโครงสร้างสินค้าที่ไทยผลิตได้ไม่รองรับความต้องการของตลาด
ขณะ ที่นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า แนวโน้มการส่งออกในปี 2557 น่าจะขยายตัวได้ถึง 5% เพราะมีสัญญาณการฟื้นตัวในตลาดสหรัฐ และสหภาพยุโรป ส่งผลให้ดีมานด์ความต้องการสินค้าไทยมากขึ้น อย่างไรก็ตามต้องประเมินสถานการณ์หลังจากสหรัฐปรับลด คิวอีว่าจะมีผลสะท้อนอย่างไร ซึ่งยังมองภาพว่าส่งออกไตรมาส 1/2557 ไม่น่าจะติดลบ
อ่านต่อ...>
วิบากกรรม QE ปี 57 ทุบเศรษฐกิจซ้ำ เงินออก 2 แสนล.ถล่มบาทอ่อนหลุด 33 บาท / ดอลล่าร์
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
กูรูชำแหละปีหน้าตลาดเงินตลาดทุนผันผวนหนัก หลัง"เฟด" ดีเดย์ลดคิวอี ม.ค.57 ขณะที่การเมืองยังฝุ่นตลบ เสี่ยงเงินต่างชาติไหลออกจาก "หุ้น-บอนด์"ต่อเนื่องอีกกว่า 2 แสนล้านบาท กดดันบาทอ่อนค่า เมอร์ริล ลินช์ คาดปีหน้าหลุด 33 บาทต่อดอลลาร์ แถมดันต้นทุนการลงทุนภาครัฐเอกชนพุ่ง ธปท.เตือนผู้นำเข้ารับมือบาทอ่อน
ชี้ลด QE กระทบไทย 3 ด้าน
นาย ศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า จากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตัดสินใจลดทอนมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ลง 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ สู่ระดับ 7.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ตั้งแต่เดือน ม.ค. 2557 และหากเศรษฐกิจดีขึ้นต่อเนื่อง เฟดจะลดทอนคิวอีเดือนละหมื่นล้านเหรียญสหรัฐทุกเดือน ซึ่งจะทำให้ประมาณเดือน ก.ย. หรือ ต.ค. 2557 น่าจะจบพอดี อย่างไรก็ตามการลดคิวอีจะหยุดในช่วงใดก็ได้ โดยระหว่างทางหากตัวเลขเศรษฐกิจไม่ดี ก็อาจหยุดการลดทอนได้
การลดคิว อี มีผลกระทบใน 3 ด้าน คือ
1.ราคาหุ้นไทยจะลดลง
2.ต้นทุนการลงทุนของรัฐ และเอกชนจะเพิ่มขึ้น และ
3.เงินจะไหลออก และเงินบาทจะอ่อนค่าลงอีก
ซึ่งเงินน่าจะไหลออกจากตลาดพันธบัตรมากกว่า เพราะเป็นตลาดที่เกี่ยวพันกับส่วนต่างดอกเบี้ย ปัจจุบันต่างชาติถือครองบอนด์ไทยสัดส่วน 12% ของยอดคงค้างพันธบัตรรัฐบาลไทยที่มีอยู่ 8 ล้านล้านบาท
"ปีหน้ามี โอกาสเงินไหลออกทั้งภูมิภาค โดยเฉพาะอินโดนีเซียซึ่งขาดดุลบัญชีเดินสะพัดมาก ส่วนไทยขาดดุลบัญชีเดินสะพัดนิดหน่อย ก็อาจได้รับผลกระทบบ้าง เพราะต่างชาติคิดว่าถ้าเงินอ่อน ราคาบอนด์ตก ก็ไม่น่าเสี่ยงจะถือบอนด์ไทย หรือบอนด์ของชาติอื่น ๆ ในภูมิภาคนี้ต่อไป"
ยีลด์บอนด์ขยับ-ต้นทุนการเงินพุ่ง
ทั้ง นี้ เมอร์ริล ลินช์ พันธมิตรของ บล.ภัทร คาดการณ์ว่า ภายในปลายปี 2557 ยีลด์พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี จะเพิ่มขึ้นเป็น 3.75% จากปัจจุบัน 2.89% หรือเพิ่มขึ้น 100 Basic Point ขณะที่ยีลด์พันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10 ปี ปัจจุบันอยู่ที่ 4% จะเพิ่มขึ้นเป็น 5% ในปีหน้า เพราะพันธบัตรสหรัฐกับพันธบัตรไทยมีส่วนสัมพันธ์กันถึง 80% ซึ่งหากลดทอนคิวอีไปเรื่อย ๆ ย่อมทำให้ยีลด์สูงขึ้นเรื่อย ๆ และอัตราดอกเบี้ยระยะยาวย่อมสูงขึ้นตาม กระทบกับต้นทุนการเงินภายในไทยด้วย
นาย ศุภวุฒิกล่าวว่า ตลาดหุ้นที่ร่วงลงมา ประเด็นหลักไม่ได้เกิดจากเรื่องเฟดลดคิวอีอย่างเดียว แต่เพราะตลาดหุ้นไทยปีที่ผ่านมาไม่เพอร์ฟอร์ม ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐที่ปรับเพิ่มขึ้น 20-30% ปัจจุบันสถานการณ์การเมืองกับภาวะเศรษฐกิจที่กระทบกับการเติบโตของกำไร จึงมีผลต่อความน่าสนใจของหุ้นไทยในสายตาต่างชาติ ต่างชาติจะหยุดขายหุ้นไทยเพราะเห็นว่าราคาหุ้นต่อกำไร (P/E) ถูก และร่วงมากแล้ว
"ตลอดปีที่ผ่านมา หุ้นไทยไม่เพอร์ฟอร์ม อย่าพูดถึงปีหน้าเลย ตอนนี้เราก็ไม่รู้กันว่าการเมืองจะไปต่อยังไง ทำให้คำนวณกำไรหุ้นยากขึ้นไปอีกด้วย"
ปี 57 ค่าเงินแตะ 33 บาท/ดอลล์
สำหรับ ทิศทางเศรษฐกิจไทยในปี 2557 นายศุภวุฒิกล่าวว่า ต้นปีหน้าภาพเศรษฐกิจจะมากับความกลัว และปัญหาเศรษฐกิจไทยอาจไม่หนักแค่ไตรมาสแรกของปีหน้าเท่านั้น แม้จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น และมีรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศก็ตาม แต่ปัญหาการเมืองไทยยังคงอยู่ต่อไป อย่างน้อยก็ตลอดระยะเวลาที่มีการปฏิรูปการเมือง ซึ่งไม่ว่าพรรคการเมืองไหนเข้ามาเป็นรัฐบาลย่อมต้องใช้เวลากับเรื่องปฏิรูป การเมือง ทำให้เรื่องเศรษฐกิจอาจไม่ใช่สิ่งสำคัญลำดับต้น ๆ จึงอาจไม่เห็นการลงทุนขนาดใหญ่ การสร้างความเชื่อมั่นเรื่องการลงทุนภาครัฐให้กับนักลงทุนก็จะยากกว่าปกติ
ด้วย เหตุนี้ บล.ภัทรจึงคาดการณ์ว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ปีหน้าจะอยู่ที่ 4.3% มาจากส่งออก 5% การบริโภคภาคเอกชน 3% ส่วนการลงทุนภาครัฐและเอกชนก็อาจมีไม่มาก ขณะที่ค่าบาท เมอร์ริลลินช์ คาดว่า อัตราแลกเปลี่ยน ณ สิ้นปี 2557 จะอยู่ที่ 33 บาท/เหรียญสหรัฐ และสิ้นปี 2558 อยู่ที่ 34 บาท/เหรียญสหรัฐ
สหรัฐดูดสภาพคล่องกลับใน 2 ปี
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า มุมมองต่อการลดทอนคิวอีแตกออกเป็น 2 กลุ่ม คือ ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าเมื่อเฟดประกาศลดคิวอี จะทำให้เกิดความผันผวนของตลาดเงินมากขึ้นในปี 2557 กับอีกฝ่ายที่มองว่า ขณะนี้ราคาสินทรัพย์ได้ปรับตัว (Price in) กับเรื่องนี้ไปมากแล้ว
"สถานการณ์ จะเกิดขึ้นได้ทั้ง 2 ฝั่ง คือเงินจะไหลออก ซึ่งต้องดูว่าแต่ละประเทศจะมีกระบวนการปรับตัวแบบไหน จะเป็นแบบทุกคนเร่งหนีออกไป แล้วเหยียบกันตาย หรือจะเป็นแบบค่อย ๆ ทยอยออก สำหรับประเทศไทยตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นการค่อย ๆ ทยอยออกไป ส่งผลให้ตลาดหุ้นซึม ๆ อย่างที่เห็น"
ขณะที่ปีหน้าจะเป็นปีแห่งความ ผันผวนอีกครั้ง เพราะสหรัฐจะเริ่มกระบวนการปรับตัวจากการถอนคิวอี ด้วยการดูดสภาพคล่องที่ปล่อยมาเมื่อ 3 ปีก่อนคืน ดังนั้นปี 2557-2558 สหรัฐก็จะเริ่มจากการปิดก๊อก พอถึงปลายปี 2557 ก็จะต้องปิดให้สุด หลังจากนั้นก็จะเป็นการเริ่มดูดสภาพคล่องกลับ โดยที่ปลายปี 2558 ก็จะเริ่มขึ้นดอกเบี้ยอ้างอิง" นายกอบศักดิ์กล่าว
เงินนอกหนีหุ้นแสนล้าน
ด้าน นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา หัวหน้าฝ่ายวิจัยนักลงทุนส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า หลังสหรัฐตัดสินใจลด QE ก็มีผลทำให้เงินที่เคยลงทุนตลาดหุ้นไทยบางส่วนไหลออกไป ซึ่งเบื้องต้นคาดว่านักลงทุนต่างชาติน่าจะมีโอกาสถอนการลงทุนได้อีกราว 1 แสนล้านบาท โดยประมาณการดังกล่าววิเคราะห์จากเงินทุนไหลออกสูงสุดช่วงซับไพรมปี 2551
"นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ต่างชาติถอนการลงทุนในตลาดหุ้นไทยแล้วกว่า 1.9 แสนล้านบาท ทำให้สัดส่วนการถือครองหุ้นล่าสุดของต่างชาติอยู่ที่ประมาณ 34.7% โอกาสที่ต่างชาติจะถอนการลงทุนก็ยังมีอยู่ หากเทียบเคียงกับช่วงซับไพรมที่มีการถือครอง 33% ก็หมายความว่า เงินลงทุนจะไหลออกได้อีก 1 แสนล้านบาท หรืออาจจะเป็นเพียงแค่การปรับพอร์ตบางส่วนก็ได้ เพราะต้องยอมรับว่าตอนนี้ นักลงทุนเริ่มกลับไปมองหาหุ้น และพันธบัตรสหรัฐที่มีแนวโน้มฟื้นตัวแล้ว" นายกิติชาญกล่าว
อย่างไรก็ตามแม้จะมีการไหลออกของเงินทุน แต่เชื่อว่าบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ไทยจะยังคงแข็งแกร่งและเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มส่งออกที่ได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจต่างประเทศ ทั้งนี้ประเมินว่า ดัชนีตลาดหุ้นปี 2557 น่าจะอยู่ที่ราว 1,500 จุด พี/อีอยู่ที่ 11.5 เท่า และอัตรากำไรต่อหุ้น (EPS) 14%
โอกาสเงินไหลกลับไทย"ยาก"
นาย กรภัทร วรเชษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โนมูระ พัฒนสิน เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ในระยะสั้นเม็ดเงินต่างชาติคงจะไหลออกอย่างต่อเนื่อง แม้นักลงทุนต่างชาติจะปรับพอร์ตไปตั้งแต่เดือน พ.ย.แล้ว แต่ก็ยังมีเงินเหลือที่ไหลออกได้อีก ทิศทางข้างหน้าต่างชาติยังจะขายต่อไป แต่การขายอาจจะเบาบางลงกว่าที่ผ่านมา เพราะมูลค่าพอร์ตเหลือน้อยแล้ว
ทั้ง นี้ สิ่งที่ทำให้นักลงทุนต่างขายสุทธิออกมาอย่างต่อเนื่อง เป็นเพราะทิศทางเศรษฐกิจของไทยมีแนวโน้มชะลอตัว บวกกับปัญหาการเมืองภายในประเทศ ทำให้ภาพความชัดเจนของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจปรับตัวลดลง ซึ่งแตกต่างจากตลาดหุ้นในภูมิภาคที่แม้จะมีเม็ดเงินไหลออก แต่ก็มีภาพการไหลกลับเข้ามาบ้าง สถานการณ์ปัจจุบันยังคงยากมากที่เม็ดเงินต่างชาติจะกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทย
"ปัจจัยเรื่องลดมาตรการ QE ส่งผลให้สภาพคล่องไหลกลับตลาดสหรัฐและยุโรปจำนวนมาก ในภูมิภาคนี้จะไหลออกจากกลุ่มตลาดประเทศเกิดใหม่ หรือ TIP คือ ไทย, อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ สวนทางกับตลาดไต้หวันและเกาหลีที่มีเงินไหลเข้า"
อย่างไรก็ตามภาพระยะกลางถึงยาวคาดว่ามีโอกาสที่ฟันด์โฟลว์ต่างชาติจะไหลกลับเข้า มาในตลาดหุ้นไทยอีกครั้งในช่วงไตรมาส 2/2557 เมื่อทิศทางการเมืองในประเทศมีความชัดเจน ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะมีทิศทางฟื้นตัวมากขึ้นเช่นกัน โดยมองว่าเสน่ห์ของตลาดหุ้นไทยตอนนี้ก็คือ EPS Growth ปีหน้าที่คาดว่าจะเติบโตประมาณ 16.6% ซึ่งเติบโตสูงเป็นอันดับ 2 ของตลาดในภูมิภาคเอเชีย เป็นรองเพียงตลาดอินเดีย ที่คาดว่า EPS Growth จะเติบโตประมาณ 20%
ขณะที่ P/E ตลาดหุ้นไทยปีหน้าก็ยังต่ำเพียง 11.8% เทียบกับค่าเฉลี่ยระยะยาว 13% ก็ถือว่ามีส่วนลดที่นักลงทุนจะเข้ามาเก็งกำไรได้ โดยคาดว่าปีหน้าจะมีเม็ดเงินต่างชาติไหลกลับเข้ามาซื้อสุทธิประมาณ 3-5 หมื่นล้านบาท จากปีนี้ที่ไหลออกไปกว่า 1.9 แสนล้านบาท
ม.ค.ต่างชาติทิ้งบอนด์สั้นเกลี้ยง
นาย นิวัฒน์ กาญจนภูมินทร์ กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) กล่าวว่า หลังจากเฟดประกาศลดทอน QE มีผลให้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ อายุ 10 ปี เด้งขึ้นไปเป็นเกือบ 3% ทำให้นักลงทุนต่างชาติที่ถือครองอยู่ในตลาดตราสารหนี้ไทยดึงเงินกลับได้ โดยปัจจุบันต่างชาติถือครองตราสารหนี้ไทยสะสม 7.2 แสนล้านบาท แบ่งเป็นพันธบัตรระยะสั้น (อายุต่ำกว่า 1 ปี) 1.17 แสนล้านบาท และระยะยาว 6 แสนล้านบาท โดยเมื่อปี 2552 ซึ่งเป็นปีแรกที่เฟดใช้ QE1 กระตุ้นเศรษฐกิจ มีต่างชาติถือครองตราสารหนี้ไทยสะสมเพียง 9 หมื่นล้านบาท
"2 สัปดาห์ก่อนสิ้นปีไม่น่าจะไหลออกไปมากนัก แต่ต้นปี 2557 มีความเป็นไปได้ที่เงินจากบอนด์สั้น 1.17 แสนล้านบาทจะไหลออกไปหมด และมีแนวโน้มไหลออกจากบอนด์ยาวบ้าง โดยเฉพาะในเดือน ม.ค. ซึ่งจะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 22 ม.ค. และเฟดจะประชุมอีกครั้งในวันที่ 28-29 ม.ค. ซึ่งน่าจะเป็นช่วงกดดันตลาดเช่นกัน" นายนิวัฒน์กล่าว
นอก จากนี้ นายนิวัฒน์กล่าวถึงอัตราดอกเบี้ยในตลาดพันธบัตรที่จะสูงขึ้นหลังจากเฟดทยอย ลดคิวอีว่า จะมีผลต่อต้นทุนการเงินของรัฐและผู้ประกอบการ ดังนั้นในปีหน้าน่าจะเห็นการปรับตัวของผู้ออกตราสารหนี้ โดยเฉพาะภาคเอกชนให้หันมาออกตราสารหนี้ที่มีอายุ 1-3 ปี แทนจากเดิมที่นิยมออกตราสารหนี้อายุ 3-5 ปี
ธปท.เตือนผู้นำเข้ารับมือบาทอ่อน
นาย เกริก วณิกกุล รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า จากการประเมินผลเฟดลดคิวอี เบื้องต้น 3 ด้าน ด้านแรกคือส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่า ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น แต่ภาคส่งออกก็จะได้รับผลดี แต่สำหรับผู้นำเข้าอาจได้รับผลกระทบบ้าง ด้านที่ 2 คือ ตลาดหุ้นปรับตัวลดลง แต่เชื่อว่านักลงทุนจะสามารถบริหารความเสี่ยงได้ สุดท้ายคือจะส่งผลให้ความต้องการพันธบัตรลดน้อยลง
ด้านนางรุ่ง มัลลิกะมาส โฆษก ธปท. กล่าวว่า กรณีเฟดมีมติทยอยปรับลดการอัดฉีด QE ลง ถือเป็นข่าวดีต่อตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลก เพราะชี้ให้เห็นถึงสถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น อีกทั้งเฟดยังส่งสัญญาณชัดเจนว่า ทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไป และมีความยืดหยุ่น หากการลด QE ส่งสัญญาณไม่ดี เฟดก็อาจหยุดการลด QE เพื่อประคับประคองสถานการณ์ไว้
โดยในส่วนค่าบาทพบว่า อ่อนค่าสอดคล้องกับภูมิภาค หลังค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าสอดรับข่าวดังกล่าว โดยวันที่ 19 ธ.ค. ค่าเงินเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 32.30-32.40 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ 20 ธ.ค ค่าบาทอ่อนค่าต่อเนื่องหลุดระดับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
นอกจากนี้ ธปท.ได้พิจารณาปรับลดคาดการณ์การส่งออกไทยปี 2557 ว่า น่าจะต่ำกว่า 7% ตามที่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้า เนื่องจากแนวโน้มการส่งออกของไทยฟื้นตัวช้ากว่าประเทศอื่น ๆ และโครงสร้างสินค้าที่ไทยผลิตได้ไม่รองรับความต้องการของตลาด
ขณะ ที่นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า แนวโน้มการส่งออกในปี 2557 น่าจะขยายตัวได้ถึง 5% เพราะมีสัญญาณการฟื้นตัวในตลาดสหรัฐ และสหภาพยุโรป ส่งผลให้ดีมานด์ความต้องการสินค้าไทยมากขึ้น อย่างไรก็ตามต้องประเมินสถานการณ์หลังจากสหรัฐปรับลด คิวอีว่าจะมีผลสะท้อนอย่างไร ซึ่งยังมองภาพว่าส่งออกไตรมาส 1/2557 ไม่น่าจะติดลบ
อ่านต่อ...>