ชิงขายหุ้นทำกำไร-รอซื้อคืนหลังรู้ผลเฟด

กระทู้สนทนา
ชิงขายหุ้นทำกำไร-รอซื้อคืนหลังรู้ผลเฟด /efinancethai
https://www.facebook.com/home.php#!/pages/%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%A5/198068607020376

" ทิสโก้ "แนะชิงจังหวะขายหุ้นทำกำไรก่อนรู้ผลประชุมเฟด 17-18 ก.ย.นี้ คาดตลาดจะเกิด “Sell on Facts”หลังทราบผลเฟดลด QE แนะรอเก็บหุ้นช่วงครึ่งหลังของเดือน คาดดัชนีมีโอกาสปรับขึ้นจาก 3 ปัจจัยหลัก ทั้ง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทเข้าสภา- ตัวเลขส่งออกส.ค.พลิกบวก - วินโดว์ เดรสซิ่งหนุน เชียร์เก็บหุ้นกลุ่มรับเหมาฯ-แบงก์- อสังหาฯ-วัสดุก่อสร้าง -ส่งออก ขณะที่ 3โบรกฯเสียงแตก ฟันด์โฟลว์รอบนี้อยู่ยาวหรือแค่หลอกเก็งกำไรระยะสั้น หลังต่างชาติซื้อสุทธิติดกัน 4 วันร่วมหมื่นล้านบาท

** ชิงขายทำกำไรก่อนรู้ผลประชุมเฟด
          บริษัทหลักทรัพย์(บล.)ทิสโก้ ระบุว่า มุมมองต่อตลาดหุ้นไทยที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่ต้นเดือน ก.ย.เป็นต้นมา เสี่ยงต่อการปรับฐานทางเทคนิค จึงแนะนำนักลงทุนชิงทยอยขายทำกำไรช่วง SET Index ขยับขึ้นก่อนรู้ผลประชุม ของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) 18 ก.ย. นี้ เนื่องจากคาดว่าจะมีการขายลักษณะ “Sell on Facts” เกิดขึ้น หลังมองการปรับตัวขึ้นของราคาหุ้นรอบนี้สะท้อนเฟดลดทอนจำนวน QE น้อยกว่าคาดไปมากพอสมควรแล้ว โดยมอง SET Index มีโอกาสกลับมาต่ำกว่าระดับ 1400 จุดอีก แต่มองเป็นจังหวะรอซื้อช่วงพักตัว เนื่องจากเรามอง SET Index จะขยับตัวขึ้นอีกครั้ง จาก 3 ปัจจัยกระตุ้นหลัก คือ (1) การพิจารณาร่างพ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ที่แม้มีความล่าช้า แต่คาดว่าในที่สุดจะสามารถดันเข้าสู่สภาได้ภายในเดือนนี้ (2) การส่งออกเดือน ส.ค. ที่จะประกาศในช่วง 25-27 ก.ย. เราคาดว่าจะพลิกมาเป็นบวกครั้งแรกในรอบ 3 เดือน หลังตัวเลขการส่งออกประเทศในภูมิภาคนี้ดีกว่าคาด อาทิ จีน ไต้หวัน และเกาหลี เป็นต้น และ (3) น่าจะมีแรงซื้อเก็งกำไรช่วงทำราคาปิดสิ้นไตรมาส (Window Dressing)

*** หาจังหวะเก็บหุ้นรับเหมาฯ-แบงก์-อสังหาฯ-วัสดุก่อสร้าง
          บล.ทิสโก้ มองว่าหุ้นที่น่าลงทุนในช่วงที่เหลือของเดือนนี้ คือ(1) หุ้นที่ได้ประโยชน์จากร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท คือ กลุ่มรับเหมาฯ (แนะนำ CK, STEC, SEAFCO), กลุ่มธนาคาร (แนะนำ KTB, SCB, TCAP), กลุ่มที่อยู่อาศัย (แนะนำ LH, QH, SIRI) และกลุ่มวัสดุก่อสร้าง (ชอบ SCC, TPIPL, TASCO) (2) หุ้นส่งออก (แนะนำ KCE, TUF, GFPT) และ (3) หุ้นพื้นฐานที่ราคายังขึ้นน้อย (laggards) เพราะมีโอกาสสูงที่จะเป็นเป้าหมายการทำราคาปิดสิ้นงวด (Window Dressing) ชอบ HMPRO, GLOBAL, TCAP, KKP, BGH, LH, PS, TUF

*** คาดเฟดลด QE ลง 1.5 หมื่นล้านเหรียญฯ
          บล.ทิสโก้ ระบุว่า หลังจากตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯในเดือน ส.ค. เพิ่มขึ้นเพียง 169,000 ตำแหน่ง น้อยกว่าคาดที่ 180,000 ตำแหน่ง ส่งผลให้ Deutsche Bank (DB) ซึ่งเป็นพันธมิตรงานด้านวิจัยของเรา ปรับลดคาดการณ์จำนวน QE (จากปัจจุบันที่ซื้อสินทรัพย์ 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ/เดือน) ที่ FED จะลดทอนลงจาก 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ เป็น 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ ในการประชุมวันที่ 17-18 ก.ย. นี้ สิ่งนี้สอดคล้องกับที่ตลาดคาดการณ์ใหม่ว่า FED จะลดจำนวน QE ลงราว 1-1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ และเป็นการลดแบบค่อยเป็นค่อยไป
          ดังนั้น เงินนอกที่เคยไหลออกจากตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชียในช่วงหลายเดือนก่อนหน้านี้เริ่มไหลกลับ หลังคลายวิตกเกี่ยวกับจำนวนวงเงินที่จะถอน QE โดยนับตั้งแต่ต้นเดือน ก.ย. (MTD ถึงวันที่ 11 ก.ย.) มีเงินต่างชาติไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นเอเชีย (5 ตลาด คือ เกาหลีใต้, ไต้หวัน, อินโดนิเซีย, ฟิลิปปินส์ และไทย) รวม 6.1 พันล้านดอลลาร์ฯ

*** เตือนแนวโน้ม SET Index ทางเทคนิคยังไม่ใช่ขาขึ้น
          บล.ทิสโก้ ระบุว่า ยังคงเป้าหมาย SET Index สิ้นปีนี้ที่ 1420 จุด (PER 12.3 เท่าปี 57F) และมองการขึ้นของ SET Index รอบนี้เป็นขารีบาวด์ โดยโอกาสทะลุระดับ 1450-1460 ได้อย่างมั่นคงมีน้อยมาก เนื่องจากมีแนวต้านอยู่หลายด่าน ทั้งทั้งเส้นค่าเฉลี่ย และเส้นกรอบแนวโน้มขาลง ในแง่ของเทคนิค ตลาดจะเปลี่ยนจาก “ แนวโน้มขาลง” (Downtrend) เป็น “แนวโน้มซิกแซกทรงตัว” (Sideway) เมื่อ SET Index ทะลุ 1420 และยืนได้ อย่างมั่นคง และจะเปลี่ยนเป็น “แนวโน้มขาขึ้น” จริงจังอีกครั้ง (Uptrend) เมื่อ SET Index ทะลุ 1520 จุด

*** ฟิลลิป ยังไม่ฟันธง ต่างชาติกลับมาจริง
           นางสาวธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย)เปิดเผยกับ " สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย" ว่า การที่นักลงทุนต่างชาติเข้ามาซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยติดกัน 4วันทำการรวมกว่า 1 หมื่นล้านบาทนั้น ยังตอบได้ยากว่าเข้ามาซื้อเพื่อลงทุนในระยะยาวแล้วหรือว่าเป็นการซื้อในช่วงสั้น เพราะในสัปดาห์หน้าจะต้องติดตามผลประชุมเฟด (17-18 ก.ย.)ซึ่งจะเป็นตัวบ่งชี้ถึงการลดปริมาณวงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐ และสะท้อนมายังทิศทางของเงินทุนต่างชาติในระยะถัดไป สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ หากจะเก็งกำไร เล่นได้เป็นรายวัน โดยจัดสรรพอร์ตหุ้น 50%เพื่อรอดูทิศทางตลาดในสัปดาห์หน้า
          " ตอบได้ยากว่ารอบนี้เข้ามาจริงไหม เข้ายาวหรือสั้น เพราะว่าต้องจับตาความต่อเนื่อง โดยต่างชาติซื้อมา 4 วันก็จริง แต่เพราะมีแฟกเตอร์ที่สำคัญในสัปดาห์หน้า จึงต้องระวังแรงซื้อของต่างชาติในช่วงนี้" นางสาวธีรดา กล่าว

*** โกลเบล็ก เชื่อต่างชาติกลับมาจริง-แนะถือ
          ด้านนายธวัชชัย อัศวพรไชย ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.โกลเบล็ก เปิดเผยกับ " สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย" ในกรณีเดียวกันว่า เชื่อว่าต่างชาติเข้ามาลงทุนยาวแล้ว ด้วยเหตุผลหลักคือ มองภาพเศรษฐกิจไทยไตรมาส 4 ฟื้นตัว หลังจากที่ไตรมาส 1 และ 2 อยู่ในช่วงถดถอย และเริ่มดีขึ้นในไตรมาส 3 ก่อนที่จะดีที่สุดในไตรมาสสุดท้ายของปี ดังนั้นการเข้ามาซื้อหุ้นในช่วงที่ปรับลดลง ประกอบกับเงินบาทก็อ่อนค่า จึงเป็นแรงจูงใจให้ต่างชาติตัดสินใจกลับเข้ามาเริ่มซื้อสะสมหุ้นไทยในช่วงดังกล่าว ส่งผลให้มีการซื้อสุทธิต่อเนื่อง 4 วันทำการราว 1 หมื่นล้านบาท
          "น่าจะเป็นของจริงแล้ว เขาเข้ามาซื้อสุทธิ คงมองว่าราคาหุ้นไทยที่ปรับลดลงต่ำ เลยจูงใจให้เขามาซื้อ และบาทอ่อนช่วง 32 บาท/ดอลลาร์ ก็จูงใจให้แปลงดอลลาร์เป็นบาทเพื่อมาซื้อหุ้น และเขาคงมีมุมมองต่อเศรษฐกิจไทยดีขึ้นในไตรมาส 4 เหมือนกับที่คนไทยมอง " นายธวัชชัย กล่าว

*** เอเซียพลัสมอง การกลับมาซื้อของต่างชาติยังไม่จริงจัง
          นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเซียพลัส เปิดเผยกับ " สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย" ว่า การกลับมาซื้อของต่างชาติในช่วงนี้ ไม่น่าจะมากเหมือนในอดีต เมื่อปี 2009- เดือน พ.ค.2013 เพราะในรอบก่อนหน้านั้นที่เงินต่างชาติไหลเข้ามา เกิดจากสหรัฐฯ ใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงิน ทำให้มีเงินทุนต่างชาติไหลไปลงทุนทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดหุ้นเอเชีย ซึ่งเป็นตลาดเกิดใหม่ ในขณะที่การไหลกลับเข้าเอเชียรอบนี้เป็นคนละสถานการณ์ จึงเชื่อว่าเข้ามาไม่มาก ทั้งนี้แนะนำเทรดดิ้งระยะสั้น มีแนวรับ 1380 จุด แนวต้าน 1420 จุด
          " บรรรยากาศการกลับมาซื้อของต่างชาติยังไม่จริงจัง และคงไม่เข้ามามากเหมือนรอบก่อน โดยรอบก่อนหน้าเขาใช้นโยบายผ่อนคลาย รอบนี้คงเข้ามาสั้น สถานการณ์ต่างกัน และมูลค่าคงไม่มากเท่าครั้งก่อน" นายเทิดศักดิ์ กล่าว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่