=====เป็นข้อมูลเพื่อให้ไปพิจารณาต่อนะครับ ไม่ใช่ให้ซื้อตามเลย โอเคร???======
เปิดโผหุ้นเด็ดรับอานิสงส์บาทอ่อน
http://www.efinancethai.com/hotnews/hot/index.aspx?name=h_230813h&release=y
เปิดโผหุ้นเด่นรับประโยชน์จากค่าบาทอ่อน โบรกฯ เชียร์ STA และCPF เด่นสุดในหุ้นกลุ่มเกษตร เพราะมีโครงสร้างรายได้ในรูปเงินดอลลาร์ และยูโร อยู่มาก ส่วนกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ได้รับอานิสงส์เกือบทั้งกลุ่ม ยก SVI เป็น หุ้นเด่น เพราะพี/อีต่ำที่สุด ด้าน SCC ได้ดีเช่นกัน เหตุธุรกิจปิโตรเคมีกำหนดราคาขายอิงกับสกุลดอลลาร์ ส่วน VNG มีสัดส่วนส่งออกมากถึง 70% รับทรัพย์เช่นกัน ด้าน DELTA ยิ้มคาดโกยกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนในไตรมาสนี้ทะลุ 94 ล้านบาท
ตลาดหุ้นไทยสัปดาห์ที่ผ่านมา ปรับตัวลดลงอย่างหนักตลอดทั้งสัปดาห์ โดยนักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง จนทิศทางค่าเงินบาทอ่อนค่าลงแตะระดับ 32 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งถือว่าอ่อนค่าที่สุดในรอบ 3 ปี นับจากไตรมาส 3 ปี 2553 ทั้งนี้เงินบาทในช่วงเดือนส.ค.56 มีการอ่อนค่าอย่างรวดเร็ว และอ่อนลงแล้ว 4.7%YTD เนื่องจากนักลงทุนกังวลภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงอย่างรวดเร็ว และการชะลอโครงการซื้อสินทรัพย์ของเฟด (QE) ทำให้มีแรงขายสินทรัพย์หลายประเภทตามมา ทั้งหุ้น, พันธบัตรระยะยาวในเอเชีย สหรัฐ ฯลฯ , รวมถึงค่าเงินของบางประเทศในเอเชียอ่อนลงมาก เพราะขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูง เช่น อินเดีย และอินโดนีเซีย เป็นต้น
*** ยก STA , CPF เด่นสุดในกลุ่มเกษตร
บริษัทหลักทรัพย์(บล.)เอเซียพลัส (ASP) เปิดเผยว่า ในภาวะการณ์ที่เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว โดยเฉพาะในฝั่งพัฒนาแล้วทั้งสหรัฐ และยุโรป ถือว่าเป็นผลดีต่อภาคส่งออกของไทย โดยเฉพาะในช่วง 3Q56 ซึ่งเป็นช่วงสูงสุดของทุกปี บวกกับสถานการณ์ค่าเงินที่อ่อนค่าทั้งภูมิภาคเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ ถือเป็นตัวช่วยที่สำคัญกับภาคส่งออก (ค่าเงินในภูมิภาคเอเชียอ่อนค่าลงเฉลี่ยราว 7% จากต้นปีจนถึงปัจจุบัน (YTD) และเมื่อพิจารณาเป็นรายประเทศพบว่าเงินรูปีอ่อนมากสุดเกือบ 14% ตามมาด้วยเงินรูเปียะห์ราว 10% เงินริงกิต กว่า 7% เงินเปโซ 6.5% ขณะที่เงินบาทอ่อนตัวกว่า 4.2% เป็นต้นส่วนเงินบาทอ่อนค่าราว 3.4% (ค่าเฉลี่ย 30.16 บาทต่อดอลลาร์ ytd) ขณะนี้อยู่ที่ 32 บาทต่อดอลลาร์ (เทียบกับสมมติฐานของ ASP ที่ใช้ที่ 30 บาทาต่อดอลลาร์) โดยจากการศึกษาของฝ่ายวิจัยพบว่า ทุกๆ 1 บาทที่อ่อนค่า จะส่งผลให้ประมาณการกำไรสุทธิของกลุ่มส่งออกในปี 2556 เพิ่มขึ้น 4.9% จากเดิม
โดยหุ้นกลุ่มเกษตรและอาหาร บล.เอเซียพลัส ประเมินว่าหุ้นได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่าในช่วงนี้มากที่สุดคือ บริษัทที่มีโครงสร้างรายได้ในรูปดอลลาร์ในสูงเกือบ 100% แต่ต้นทุนกลับอยู่ในรูปเงินบาททั้งหมด ได้แก่ STA(FV@B20) พบว่าโครงสร้างรายได้อยู่ในรูปดอลลาร์สูงสุดในกลุ่มคือ 85% แต่ต้นทุนส่วนใหญ่อยู่ในรูปเงินบาทราว 100% (เท่ากับต้นทุนจะคงที่ขณะที่รายได้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามทิศทางค่าเงินบาทที่อ่อนค่า และไม่มีหนี้สินต่างประเทศด้วย) รองลงมาคือ KSL(FV@B15.5) มีรายได้ในรูปดอลลาร์ 65% (ที่เหลืออยู่ในรูปเงินบาท) แต่ต้นทุนเกือบทั้งหมดเป็นเงินบาทเช่นกัน
ส่วนCPF (FV@B32.3) สร้างรายได้ในรูปดอลลาร์น้อยเพียง 10% แต่ยังมีรายได้ในรูปสกุลอื่นๆ เช่น ยูโร รวมราว 55% ขณะที่ต้นทุนเป็นเงินบาทถึง 50% จึงน่าจะได้ประโยชน์ในสถานการณ์ที่เงินบาทอ่อนค่าทุกสกุลหลักของโลก โดยภาพรวมทำให้กลุ่มเกษตรและอาหารจะมีกำไรเพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิม 5% ทุก 1 บาทที่อ่อนค่า ในขณะที่ปัจจุบันเงินบาทอยู่ที่ 32 บาท สูงกว่าสมมติฐานของ ASP 2 บาท นั่นหมายความว่ากำไรของกลุ่มมีโอกาสสูงกว่าประมาณการเดิม 10% และหากพิจารณณาเป็นรายตัว แนวโน้มกำไรจะเพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิม เรียงลำดับจากมากสุดไปน้อยคือ STA, KSL และ CPF กำไรจะเพิ่มขึ้นจากเดิม 15%, 13.4% และ 9.8% ตามลำดับ ขณะที่ TUFและ GFPT กำไรจะเพิ่มขึ้นราว 6.6% และ 5.8% ตามลำดับ แต่หากพิจารณาในเด้านพื้นฐาน หุ้นในกลุ่มเกษตรและอาหาร ที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนมากสุดจึงเลือกเป็น Top picks คือ STA, CPF (อ่านรายละเอียดใน Equity Talk กลุ่มเกษตรและอาหาร ของวันนี้ตอนสาย ๆ )
โดยวานนี้ราคาหุ้น STA ปิดที่ระดับ 14.10 บาท ลดลง 0.20บาท หรือ -1.40% มูลค่าการซื้อขาย 82.97 ล้านบาท ส่วนราคาหุ้น CPF ปิดที่ระดับ 24.40 บาท ลดลง 0.85 บาท หรือ -3.37% มูลค่าการซื้อขาย 702.59 ล้านบาท
*** ให้ SVI เป็น Top pick ในกลุ่มชิ้นส่วนฯ
บล.เอเซีย พลัส ประเมินว่า สำหรับกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ พบว่าโดยเฉลี่ยแล้วได้ประโยชน์ใกล้เคียงกัน โดยแม้จะมีโครงสร้างได้ในรูปดอลลาร์ และยูโรเกือบทั้ง 100% เช่น HANA, CCET, DELTA แต่โครงสร้างต้นทุนในรูปดอลลาร์เฉลี่ยก็สูงในระดับ 80% ของทุนรวม ขณะที่มีหนี้ต่างประเทศในรูปสกุลดอลลาร์ด้วยเช่น HANA และ DELTA โดยภาพรวมแล้ว การที่เงินบาทอ่อนค่าไป 2 บาท จะทำให้กำไรของกลุ่มชิ้นส่วนเพิ่มขึ้น12.6% โดยหุ้นที่แนวโน้มกำไรเพิ่มขึ้นเรียงลำดับจากมากไปน้อยคือ HANA, DELTA, CCET, KCE, SMT, SVI โดยกำไรจะเพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิมราว 13.4%, 13.2% 12% 11.6% 11.2% 10.2% ตามลำดับ แต่หากพิจารณาในด้านพื้นฐาน โดยคำนึงถึงค่า PERที่ต่ำสุดและ upside สูง ยังแนะนำหุ้น SVI เป็น Top pick ในกลุ่มชิ้นส่วน
โดยวานนี้ราคาหุ้น SVI ปิดที่ระดับ 3.30 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 11.08 ล้านบาท
***เงินบาทอ่อนค่าทุก 1 บ./เหรียญ หนุนกำไร SCC โต 400 ลบ.
บล.เอเซียพลัส ระบุว่า กลุ่มวัสดุก่อสร้างก็ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า แต่อยู่ในระดับที่น้อยกว่า ซึ่งจากการสอบถามนักวิเคราะห์ในกลุ่มนี้ พบว่า SCC น่าจะได้ประโยชน์มากสุด เนื่องจากมีธุรกิจปิโตรเคมี (คิดเป็นประมาณ 50%) มีการกำหนดราคาขายอิงกับสกุลดอลลาร์ และเช่นเดียวกับต้นทุนการผลิตที่อิงกับสกุลดอลลาร์ แต่อย่างไรก็ตามบริษัทเปิดเผยว่าได้มีการทำป้องกันความเสี่ยงไว้ส่วนใหญ่ จึงมีส่วนน้อย หรือราว 1/3 ของธุรกิจที่ยังเปิดความเสี่ยงต่ออัตราแลกเปลี่ยน ทำให้ยังคงได้ประโยชน์จากการที่เงินบาทที่อ่อนค่าเล็กน้อย กล่าวคือทุก 1 บาท/เหรียญฯ จะเพิ่มกำไรขึ้นราว 400 ล้านบาท แต่ปัจจุบันเงินบาทอ่อนค่าไป 2 บาท น่าจะทำให้กำไรเพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิม 800 บาท หรือราว 2.4% จากประมาณการเดิม
ส่วนหุ้นที่จะได้ประโยชน์รองลงมาคือ VNG มีสัดส่วนรายได้จากการส่งออกประมาณ 70% แต่มีต้นทุนสกุลดอลลาร์ประมาณ 40% แม้จะได้ประโยชน์เงินบาทอ่อนค่า แต่เนื่องจากสถานการณ์ธุรกิจมีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะตลาดในฝั่งเอเชีย ขณะที่ความต้องการโดยรวมยังอ่อนแอ จึงยังไม่ได้ประโยชน์ในสถานการณ์นี้มากนัก ส่วนบริษัทอื่น ๆ ที่เหลือ ไม่น่าจะได้ประโยชน์ ได้แก่ TASCO เพราะมีสัดส่วนรายได้จากการส่งออก และต้นทุนที่อยู่ในสกุลดอลลาร์พอ ๆ กันประมาณ 70% จึงหักล้างกันเกือบหมด ส่วน SCC และ TPIPL ยอดขาย และต้นทุนอยู่ในรูปสกุลบาททั้งหมด
โดยวานนี้ราคาหุ้น SCC ปิดที่ระดับ 414 บาท ลดลง 20.00 บาท หรือ -4.61% มูลค่าการซื้อขาย 1,012.93 ล้านบาท ส่วนราคาหุ้น VNG ปิดที่ระดับ 2.72 บาท เพิ่มขึ้น 0.02 บาท หรือ +0.74% มูลค่าการซื้อขาย 0.63 ล้านบาท
*** DELTA ยิ้มคาดงวด Q3/56 บุ๊คกำไรอัตราแลกเปลี่ยนเกิน 94 ลบ.
นายอนุสรณ์ มุทราอิศ กรรมการ บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA เปิดเผยกับ "สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย" ว่า จากการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่กลับมาอ่อนค่าสูงสุดในรอบ 3 ปีย่อมส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานของบริษัทฯในไตรมาส 3/56 อย่างแน่นอน โดยเฉพาะการรับรู้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน เมื่อหักต้นทุนทางการเงินจากยอดขายในไตรมาสดังกล่าวแล้ว โดยทั้งต้นทุนและยอดขายของ DELTA อยู่ในรูปสกุลเงินดอลลาร์ราว 80-90% ดังนั้น เมื่อแปลงกลับมาบันทึกเป็นกำไรทางบัญชีจึงอยู่ในรูปสกุลเงินบาทที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ มองว่า การบันทึกกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนในไตรมาสนี้ จะเพิ่มสูงขึ้นกว่าไตรมาส 2/56 ที่มีจำนวน 94 ล้านบาท
" เงินบาทอ่อน ข้อดีที่สุดของเรา คือได้เงินมากขึ้น ซึ่งแม้ว่าเราจะทำ Natural Hedge เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวนมาก เราขายเป็นดอลลาร์ 80-90% และมีสกุลเงินรูปอื่นๆ อีกบ้าง และเวลาเราซื้อของก็จะพยายามจ่ายเป็นดอลลาร์เหมือนกัน แต่เมื่อมีการ Operation แล้วแปลงกลับมาเป็นเงินไทย กำไรก็จะสูงขึ้น ดังนั้นกำไรจากเงินบาทในไตรมาส 3 ดูดีกว่าเดิมแน่ๆ" นายอนุสรณ์ กล่าว
ด้าน บทวิเคราะห์ บล.บัวหลวง ระบุว่า คาดการณ์กำไรหลักไตรมาส 3/56 ของ DELTA จะเติบโต จากไตรมาสก่อนหน้า จากรายได้ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากช่วงไฮซีซั่นและการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยคาดอัตรากำไรขั้นต้นจะเติบโตก้าวกระโดดจากไตรมาสก่อนหน้า จากสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นของชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องกับ Data center ในสัดส่วนยอดขาย
ส่วนราคาหุ้น DELTA ปิดที่ระดับ 46.75 บาท เพิ่มขึ้น 2.25 บาท หรือ 5.06% มูลค่าการซื้อขาย 68.81 ล้านบาท
https://www.facebook.com/feed/following#!/pages/%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%A5/198068607020376
เปิดโผหุ้นเด็ดรับอานิสงส์บาทอ่อน
เปิดโผหุ้นเด็ดรับอานิสงส์บาทอ่อน
http://www.efinancethai.com/hotnews/hot/index.aspx?name=h_230813h&release=y
เปิดโผหุ้นเด่นรับประโยชน์จากค่าบาทอ่อน โบรกฯ เชียร์ STA และCPF เด่นสุดในหุ้นกลุ่มเกษตร เพราะมีโครงสร้างรายได้ในรูปเงินดอลลาร์ และยูโร อยู่มาก ส่วนกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ได้รับอานิสงส์เกือบทั้งกลุ่ม ยก SVI เป็น หุ้นเด่น เพราะพี/อีต่ำที่สุด ด้าน SCC ได้ดีเช่นกัน เหตุธุรกิจปิโตรเคมีกำหนดราคาขายอิงกับสกุลดอลลาร์ ส่วน VNG มีสัดส่วนส่งออกมากถึง 70% รับทรัพย์เช่นกัน ด้าน DELTA ยิ้มคาดโกยกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนในไตรมาสนี้ทะลุ 94 ล้านบาท
ตลาดหุ้นไทยสัปดาห์ที่ผ่านมา ปรับตัวลดลงอย่างหนักตลอดทั้งสัปดาห์ โดยนักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง จนทิศทางค่าเงินบาทอ่อนค่าลงแตะระดับ 32 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งถือว่าอ่อนค่าที่สุดในรอบ 3 ปี นับจากไตรมาส 3 ปี 2553 ทั้งนี้เงินบาทในช่วงเดือนส.ค.56 มีการอ่อนค่าอย่างรวดเร็ว และอ่อนลงแล้ว 4.7%YTD เนื่องจากนักลงทุนกังวลภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงอย่างรวดเร็ว และการชะลอโครงการซื้อสินทรัพย์ของเฟด (QE) ทำให้มีแรงขายสินทรัพย์หลายประเภทตามมา ทั้งหุ้น, พันธบัตรระยะยาวในเอเชีย สหรัฐ ฯลฯ , รวมถึงค่าเงินของบางประเทศในเอเชียอ่อนลงมาก เพราะขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูง เช่น อินเดีย และอินโดนีเซีย เป็นต้น
*** ยก STA , CPF เด่นสุดในกลุ่มเกษตร
บริษัทหลักทรัพย์(บล.)เอเซียพลัส (ASP) เปิดเผยว่า ในภาวะการณ์ที่เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว โดยเฉพาะในฝั่งพัฒนาแล้วทั้งสหรัฐ และยุโรป ถือว่าเป็นผลดีต่อภาคส่งออกของไทย โดยเฉพาะในช่วง 3Q56 ซึ่งเป็นช่วงสูงสุดของทุกปี บวกกับสถานการณ์ค่าเงินที่อ่อนค่าทั้งภูมิภาคเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ ถือเป็นตัวช่วยที่สำคัญกับภาคส่งออก (ค่าเงินในภูมิภาคเอเชียอ่อนค่าลงเฉลี่ยราว 7% จากต้นปีจนถึงปัจจุบัน (YTD) และเมื่อพิจารณาเป็นรายประเทศพบว่าเงินรูปีอ่อนมากสุดเกือบ 14% ตามมาด้วยเงินรูเปียะห์ราว 10% เงินริงกิต กว่า 7% เงินเปโซ 6.5% ขณะที่เงินบาทอ่อนตัวกว่า 4.2% เป็นต้นส่วนเงินบาทอ่อนค่าราว 3.4% (ค่าเฉลี่ย 30.16 บาทต่อดอลลาร์ ytd) ขณะนี้อยู่ที่ 32 บาทต่อดอลลาร์ (เทียบกับสมมติฐานของ ASP ที่ใช้ที่ 30 บาทาต่อดอลลาร์) โดยจากการศึกษาของฝ่ายวิจัยพบว่า ทุกๆ 1 บาทที่อ่อนค่า จะส่งผลให้ประมาณการกำไรสุทธิของกลุ่มส่งออกในปี 2556 เพิ่มขึ้น 4.9% จากเดิม
โดยหุ้นกลุ่มเกษตรและอาหาร บล.เอเซียพลัส ประเมินว่าหุ้นได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่าในช่วงนี้มากที่สุดคือ บริษัทที่มีโครงสร้างรายได้ในรูปดอลลาร์ในสูงเกือบ 100% แต่ต้นทุนกลับอยู่ในรูปเงินบาททั้งหมด ได้แก่ STA(FV@B20) พบว่าโครงสร้างรายได้อยู่ในรูปดอลลาร์สูงสุดในกลุ่มคือ 85% แต่ต้นทุนส่วนใหญ่อยู่ในรูปเงินบาทราว 100% (เท่ากับต้นทุนจะคงที่ขณะที่รายได้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามทิศทางค่าเงินบาทที่อ่อนค่า และไม่มีหนี้สินต่างประเทศด้วย) รองลงมาคือ KSL(FV@B15.5) มีรายได้ในรูปดอลลาร์ 65% (ที่เหลืออยู่ในรูปเงินบาท) แต่ต้นทุนเกือบทั้งหมดเป็นเงินบาทเช่นกัน
ส่วนCPF (FV@B32.3) สร้างรายได้ในรูปดอลลาร์น้อยเพียง 10% แต่ยังมีรายได้ในรูปสกุลอื่นๆ เช่น ยูโร รวมราว 55% ขณะที่ต้นทุนเป็นเงินบาทถึง 50% จึงน่าจะได้ประโยชน์ในสถานการณ์ที่เงินบาทอ่อนค่าทุกสกุลหลักของโลก โดยภาพรวมทำให้กลุ่มเกษตรและอาหารจะมีกำไรเพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิม 5% ทุก 1 บาทที่อ่อนค่า ในขณะที่ปัจจุบันเงินบาทอยู่ที่ 32 บาท สูงกว่าสมมติฐานของ ASP 2 บาท นั่นหมายความว่ากำไรของกลุ่มมีโอกาสสูงกว่าประมาณการเดิม 10% และหากพิจารณณาเป็นรายตัว แนวโน้มกำไรจะเพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิม เรียงลำดับจากมากสุดไปน้อยคือ STA, KSL และ CPF กำไรจะเพิ่มขึ้นจากเดิม 15%, 13.4% และ 9.8% ตามลำดับ ขณะที่ TUFและ GFPT กำไรจะเพิ่มขึ้นราว 6.6% และ 5.8% ตามลำดับ แต่หากพิจารณาในเด้านพื้นฐาน หุ้นในกลุ่มเกษตรและอาหาร ที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนมากสุดจึงเลือกเป็น Top picks คือ STA, CPF (อ่านรายละเอียดใน Equity Talk กลุ่มเกษตรและอาหาร ของวันนี้ตอนสาย ๆ )
โดยวานนี้ราคาหุ้น STA ปิดที่ระดับ 14.10 บาท ลดลง 0.20บาท หรือ -1.40% มูลค่าการซื้อขาย 82.97 ล้านบาท ส่วนราคาหุ้น CPF ปิดที่ระดับ 24.40 บาท ลดลง 0.85 บาท หรือ -3.37% มูลค่าการซื้อขาย 702.59 ล้านบาท
*** ให้ SVI เป็น Top pick ในกลุ่มชิ้นส่วนฯ
บล.เอเซีย พลัส ประเมินว่า สำหรับกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ พบว่าโดยเฉลี่ยแล้วได้ประโยชน์ใกล้เคียงกัน โดยแม้จะมีโครงสร้างได้ในรูปดอลลาร์ และยูโรเกือบทั้ง 100% เช่น HANA, CCET, DELTA แต่โครงสร้างต้นทุนในรูปดอลลาร์เฉลี่ยก็สูงในระดับ 80% ของทุนรวม ขณะที่มีหนี้ต่างประเทศในรูปสกุลดอลลาร์ด้วยเช่น HANA และ DELTA โดยภาพรวมแล้ว การที่เงินบาทอ่อนค่าไป 2 บาท จะทำให้กำไรของกลุ่มชิ้นส่วนเพิ่มขึ้น12.6% โดยหุ้นที่แนวโน้มกำไรเพิ่มขึ้นเรียงลำดับจากมากไปน้อยคือ HANA, DELTA, CCET, KCE, SMT, SVI โดยกำไรจะเพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิมราว 13.4%, 13.2% 12% 11.6% 11.2% 10.2% ตามลำดับ แต่หากพิจารณาในด้านพื้นฐาน โดยคำนึงถึงค่า PERที่ต่ำสุดและ upside สูง ยังแนะนำหุ้น SVI เป็น Top pick ในกลุ่มชิ้นส่วน
โดยวานนี้ราคาหุ้น SVI ปิดที่ระดับ 3.30 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 11.08 ล้านบาท
***เงินบาทอ่อนค่าทุก 1 บ./เหรียญ หนุนกำไร SCC โต 400 ลบ.
บล.เอเซียพลัส ระบุว่า กลุ่มวัสดุก่อสร้างก็ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า แต่อยู่ในระดับที่น้อยกว่า ซึ่งจากการสอบถามนักวิเคราะห์ในกลุ่มนี้ พบว่า SCC น่าจะได้ประโยชน์มากสุด เนื่องจากมีธุรกิจปิโตรเคมี (คิดเป็นประมาณ 50%) มีการกำหนดราคาขายอิงกับสกุลดอลลาร์ และเช่นเดียวกับต้นทุนการผลิตที่อิงกับสกุลดอลลาร์ แต่อย่างไรก็ตามบริษัทเปิดเผยว่าได้มีการทำป้องกันความเสี่ยงไว้ส่วนใหญ่ จึงมีส่วนน้อย หรือราว 1/3 ของธุรกิจที่ยังเปิดความเสี่ยงต่ออัตราแลกเปลี่ยน ทำให้ยังคงได้ประโยชน์จากการที่เงินบาทที่อ่อนค่าเล็กน้อย กล่าวคือทุก 1 บาท/เหรียญฯ จะเพิ่มกำไรขึ้นราว 400 ล้านบาท แต่ปัจจุบันเงินบาทอ่อนค่าไป 2 บาท น่าจะทำให้กำไรเพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิม 800 บาท หรือราว 2.4% จากประมาณการเดิม
ส่วนหุ้นที่จะได้ประโยชน์รองลงมาคือ VNG มีสัดส่วนรายได้จากการส่งออกประมาณ 70% แต่มีต้นทุนสกุลดอลลาร์ประมาณ 40% แม้จะได้ประโยชน์เงินบาทอ่อนค่า แต่เนื่องจากสถานการณ์ธุรกิจมีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะตลาดในฝั่งเอเชีย ขณะที่ความต้องการโดยรวมยังอ่อนแอ จึงยังไม่ได้ประโยชน์ในสถานการณ์นี้มากนัก ส่วนบริษัทอื่น ๆ ที่เหลือ ไม่น่าจะได้ประโยชน์ ได้แก่ TASCO เพราะมีสัดส่วนรายได้จากการส่งออก และต้นทุนที่อยู่ในสกุลดอลลาร์พอ ๆ กันประมาณ 70% จึงหักล้างกันเกือบหมด ส่วน SCC และ TPIPL ยอดขาย และต้นทุนอยู่ในรูปสกุลบาททั้งหมด
โดยวานนี้ราคาหุ้น SCC ปิดที่ระดับ 414 บาท ลดลง 20.00 บาท หรือ -4.61% มูลค่าการซื้อขาย 1,012.93 ล้านบาท ส่วนราคาหุ้น VNG ปิดที่ระดับ 2.72 บาท เพิ่มขึ้น 0.02 บาท หรือ +0.74% มูลค่าการซื้อขาย 0.63 ล้านบาท
*** DELTA ยิ้มคาดงวด Q3/56 บุ๊คกำไรอัตราแลกเปลี่ยนเกิน 94 ลบ.
นายอนุสรณ์ มุทราอิศ กรรมการ บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA เปิดเผยกับ "สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย" ว่า จากการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่กลับมาอ่อนค่าสูงสุดในรอบ 3 ปีย่อมส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานของบริษัทฯในไตรมาส 3/56 อย่างแน่นอน โดยเฉพาะการรับรู้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน เมื่อหักต้นทุนทางการเงินจากยอดขายในไตรมาสดังกล่าวแล้ว โดยทั้งต้นทุนและยอดขายของ DELTA อยู่ในรูปสกุลเงินดอลลาร์ราว 80-90% ดังนั้น เมื่อแปลงกลับมาบันทึกเป็นกำไรทางบัญชีจึงอยู่ในรูปสกุลเงินบาทที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ มองว่า การบันทึกกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนในไตรมาสนี้ จะเพิ่มสูงขึ้นกว่าไตรมาส 2/56 ที่มีจำนวน 94 ล้านบาท
" เงินบาทอ่อน ข้อดีที่สุดของเรา คือได้เงินมากขึ้น ซึ่งแม้ว่าเราจะทำ Natural Hedge เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวนมาก เราขายเป็นดอลลาร์ 80-90% และมีสกุลเงินรูปอื่นๆ อีกบ้าง และเวลาเราซื้อของก็จะพยายามจ่ายเป็นดอลลาร์เหมือนกัน แต่เมื่อมีการ Operation แล้วแปลงกลับมาเป็นเงินไทย กำไรก็จะสูงขึ้น ดังนั้นกำไรจากเงินบาทในไตรมาส 3 ดูดีกว่าเดิมแน่ๆ" นายอนุสรณ์ กล่าว
ด้าน บทวิเคราะห์ บล.บัวหลวง ระบุว่า คาดการณ์กำไรหลักไตรมาส 3/56 ของ DELTA จะเติบโต จากไตรมาสก่อนหน้า จากรายได้ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากช่วงไฮซีซั่นและการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยคาดอัตรากำไรขั้นต้นจะเติบโตก้าวกระโดดจากไตรมาสก่อนหน้า จากสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นของชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องกับ Data center ในสัดส่วนยอดขาย
ส่วนราคาหุ้น DELTA ปิดที่ระดับ 46.75 บาท เพิ่มขึ้น 2.25 บาท หรือ 5.06% มูลค่าการซื้อขาย 68.81 ล้านบาท
https://www.facebook.com/feed/following#!/pages/%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%A5/198068607020376