
ตลาดหุ้นไทย VS ผลกระทบของเงินบาทแข็งค่า
* เงินบาททำสถิติแข็งค่ามากสุดในรอบ 17 เดือน โดยแข็งค่า 7% อันเป็นผลจากเงินทุนไหลเข้าที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง นับจากธนาคารกลางสำคัญๆ ของโลก ใช้มาตรการการเงินผ่อนคลายตลอดปี 2555 หนุนให้ปริมาณเงินในระบบเพิ่มขึ้น และไหลเข้าสู่แหล่งลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง ทั้งตลาดหุ้น และตราสารหนี้ ทำให้ปี 2555 ตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดแห่งหนึ่งของโลก
* ผู้ประกอบการที่มีรายได้อิงกับสกุลเงินตราต่างประเทศมากสุด แต่ต้นทุนกลับอยู่ในรูปเงินบาทเป็นส่วนใหญ่ จึงน่าจะประสบปัญหาในช่วงที่เงินบาทแข็งค่า เรียงลำดับกระทบจากมากสุดคือ THCOM รองลงมากลุ่มเกษตร STA, KSL, CFRESH และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ DELTA และ HANA
* ตรงข้ามหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทที่แข็งค่า จะอยู่ในกลุ่มที่มีฐานรายได้ในรูปเงินบาทเป็นส่วนใหญ่เช่นกัน ขณะที่มีต้นทุนการผลิต กลับอยู่ในรูปสกุลเงินตราต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ หุ้นที่ได้ประโยชน์มากสุดในสถานการณ์นี้ คือ TVO, SMIT รองลงมาคือ กลุ่มขนส่ง คือ THAI, AAV แต่หุ้นทั้ง 2 บริษัทหลังเต็มมูลค่าแล้ว
* Top Picks: TVO(FV@B32.2) และ SMIT(FV@B5.42) ภายใต้ประมาณการปัจจุบันราคาหุ้นยังมี Upside และ Dividend Yield สูง โดยยังไม่รวมประโยชน์จากเงินบาทแข็งค่า ซึ่งจะเพิ่ม gross margin และศักยภาพการทำกำไรในปี 2556 ปริมาณเงินทุนไหลเข้า และการเปลี่ยนแปลงค่าเงินเอเซียในปี 2555 และ ม.ค. 2556
ค่าเงินเอเซียหลายประเทศ เริ่มมีทิศทางอ่อนค่าระยะสั้น หลังจากที่แข็งค่าต่อเนื่องมานานนับตั้งแต่กลางปี 2555 กล่าวคือ เงินบาทได้แข็งค่ากว่า 7% ในช่วงเกือบ 7 เดือนหลังของปี 2555 สาเหตุหลักเกิดจากการใช้มาตรการการเงินผ่อนคลายทั่วโลก (รายละเอียดดังปรากฏในตารางถัดไป) โดยล่าสุด ญี่ปุ่น ได้เพิ่มประกาศเพิ่มมาตรการ QE รอบใหม่เดือนละ 13 ล้านล้านเยน แต่มีผลบังคับใช้ในเดือน ม.ค. 2557 (หลังการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น 20-21 ม.ค. 2556) ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยหนุนให้ Money Supply เพิ่มขึ้นทั่วโลก และกระตุ้นให้ปริมาณเงิน ไหลออกจากประเทศที่ให้ผลตอบแทนต่ำ มายังประเทศที่ให้ผลตอบแทนสูง โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งภาวะเศรษฐกิจยังมีแนวโน้มเติบโตดี สะท้อนจากปี 2555 ตลาดหุ้นเอเซีย ให้ผลตอบแทนสูงสุดแห่งหนึ่งของโลก
หุ้นที่เผชิญกับปัญหาหากเงินบาทแข็งค่า
* เกษตรกระทบมากสุด : STA, KSL, CFRESH และ THCOM
ท่ามกลางความกังวลต่อสถานการณ์เงินบาทแข็งค่า ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทย ที่พึ่งรายได้จากการส่งออก (มีรายได้ในรูปสกุลตราต่างประเทศ หรือสกุลดอลลาร์สหรัฐ) แต่กลับมีต้นทุนในรูปเงินบาทเป็นส่วนใหญ่ หรือเกือบทั้งหมด ได้แก่ THCOM, CFRESH, STA และ KSL
ทั้งนี้ THCOM น่าจะกระทบมากสุด ด้วยลักษณะธุรกิจให้บริการในต่างประเทศ ทำให้มีฐานรายได้ส่วนใหญ่กว่า 80% อยู่ในรูปสกุลเงินตราต่างประเทศ ขณะที่ต้นทุนส่วนใหญ่อยู่ในรูปเงินบาท (ค่าเสื่อมราคา ดอกเบี้ยจ่าย และ ส่วนแบ่งรายได้ตามสัมปทาน) ทำให้เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นทุก 1 บาท จะกดดันกำไรของ THCOM ลงราว 7% จากประมาณการเดิม
ตามมาด้วย CFRESH, STA และ KSL ฐานรายได้สกุลดอลลาร์สหรัฐกว่า 90%, 86% และ 65% ตามลำดับแต่ต้นทุนเกือบทั้งหมดอยู่ในรูปเงินบาท หุ้นในกลุ่มนี้จึงน่าจะได้รับผลกระทบมากรองลงมา โดยคาดว่าจะกระทบต่อกำไรสุทธิกว่า 5% ของประมาณการเดิม หากเงินบาทแข็งค่าขึ้น 1 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
* อาหารส่งออก กระทบรองลงมาคือ TUF
ส่วนหุ้นในหมวดอาหาร คาดว่าจะได้รับผลกระทบในลำดับรองลงมา โดยเฉพาะ TUF แม้มีฐานรายได้ในรูปสกุลเงินตราต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ กล่าวคือ สกุลดอลลาร์สหรัฐ 65% และยูโร 25% ขณะที่เดียวกันมีต้นทุนสกุลดอลลาร์ และยูโร 50% และ 20% ตามลำดับ จึงมีส่วนต่างที่เปิดรับความเสี่ยงเหลืออยู่บ้าง แต่ส่วนนี้อาจจะชดเชยได้จากการที่ TUF มีหนี้สินต่างประเทศราว 20% ของหนี้สินรวม จึงทำให้ TUF ได้รับผลกระทบไม่มากนัก โดยทุก 1 บาทที่แข็งค่าจะทำให้กระทบต่อประมาณการกำไรเดิมราว 4%
ส่วนหุ้น CPF และ GFPT ถือว่าได้รับผลกระทบน้อยสุด เนื่องจากโครงสร้างรายได้และต้นทุน (การผลิตและการกู้ยืม) มีความสมดุล ถือว่าเป็นป้องกันความเสี่ยงตามธรรมชาติ กล่าวคือ CPF มีรายได้สกุลต่างประเทศในสัดส่วนที่สูงกว่าต้นทุนในรูปสกุลเงินตราต่างประเทศ แต่ขณะเดียวกันมีเงินกู้ยืมสกุลต่างประเทศด้วย จึงช่วยหักล้างความเสี่ยงจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าได้เกือบหมด และเช่นเดียวกับ GFPT มีความเสี่ยงน้อย เพราะมีรายได้สกุลดอลลาร์สหรัฐ 27% ขณะที่ต้นทุนสกุลดอลลาร์ 20% จึงมีส่วนต่างอยู่เล็กน้อยเท่านั้น
* อิเล็กทรอนิกส์ กระทบระดับปานกลาง
หุ้นในกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ มีโครงสร้างรายได้ในรูปสกุลเงินตราต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ ขณะเดียวกันมีต้นทุนในรูปเงินตราต่างประเทศ หรือผสมกับเงินบาท จึงทำให้เกิดผลกระทบมากน้อยต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นกับส่วนต่างของรายได้ในรูปสกุลเงินต่างประเทศ เมื่อหักต้นทุนสกุลเงินต่างประเทศแล้วมีมากน้อยเพียงใด ซึ่งหากพิจารณาเป็นรายบริษัทพบว่า DELTA น่าจะได้รับผลกระทบมากสุด เพราะรายได้อยู่ในรูปสกุลเงินตราต่างประเทศทั้ง 100% (ดอลลาร์เป็นส่วนใหญ่รองลงมาเป็นยูโร และอื่น ๆ แต่ต้นทุนเป็นดอลลาร์ 80% แม้ได้รับชดเชยจากการที่มีหนี้สินสกุลเงินตราต่างประเทศราว 20% ของหนี้สินรวมก็ตาม ผลกระทบต่อกำไรสุทธิจะลดลงราว 4% หากเงินบาทแข็งค่าทุก 1 บาท
รองลงมาคือ HANA, SVI, CCET ฐานรายได้อยู่ในรูปสกุลเงินตราต่างประเทศ 100% (ดอลลาร์เป็นส่วนใหญ่) 88% และ 65% แต่ต้นทุนเป็นสกุลต่างประเทศราว 85%, 85%, 90% ตามลำดับ แต่ผลกระทบต่อกำไรสุทธิ จะลดลงราว 3% หากเงินบาทแข็งค่าทุก 1 บาท
ขณะที่ KCE และ SVI แม้ฐานรายได้อยู่ในรูปสกุลเงินตราต่างประเทศ 75% (ดอลลาร์เป็นส่วนใหญ่) และ 88% แต่ต้นทุนเป็นสกุลต่างประเทศในสัดส่วนใกล้เคียง 80% และ 90% และยังมีหนี้สินต่างประเทศในสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับหนี้สินรวม คือ 50% และ 100% ตามลำดับ จึงสามารถช่วยหักล้าง หรือลดผลกระทบจากเงินบาทที่แข็งค่าได้บ้าง โดยภาพรวมจึงทำให้ทั้ง 2 บริษัทได้รับผลกระทบน้อยที่สุดในกลุ่ม
หุ้นที่น่าจะได้ประโยชน์จากเงินบาทที่แข็งค่า
ในทางตรงกันข้าม ผู้ประกอบการที่มีต้นทุน หรือภาระค่าใช้จ่ายที่อยู่ในรูปสกุลเงินตราต่างประเทศ ในสัดส่วนที่มากกว่ารายได้ที่อยู่ในรูปสกุลต่างประเทศ หรือมีต้นทุนในรูปเงินบาท น่าจะได้ประโยชน์จากสถานการณ์ที่เงินบาทแข็งค่า
กลุ่มแรก : ได้ประโยชน์มากสุด รายได้ส่วนใหญ่อยู่ในรูปเงินบาท แต่ต้นทุนเป็นสกุลต่างประเทศ หุ้นที่เข้าข่ายเงื่อนไขแรก เรียงลำดับมากไปน้อยคือ
* TVO(FV@B2.32) เนื่องจากเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำมันถั่วเหลือง และกากถั่วเหลือในประเทศ แต่ต้นทุนวัตถุดิบหลัก คือ เมล็ดถั่วเหลือง ซึ่งต้องนำเข้าจากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ราว 90% ของต้นทุนเมล็ดถั่วเหลือทั้งหมดที่เหลือ 10% ซื้อจากแหล่งผลิตในประเทศ ขณะที่รายได้จากการขายกากถั่วเหลืองและน้ำมันถั่วเหลือง ทั้งหมดจะอยู่ในประเทศ ทำให้เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นทุก 1 บาท จะเพิ่มกำไรให้กับ TVO ราว 15% จากประมาณการเดิม
* SMIT(FV@B5.42) เป็นผู้นำเข้าเครื่องจักรอุตสาหกรรม และเหล็กพิเศษ สำหรับทำแม่พิมพ์ มาจำหน่ายในประเทศ รายได้ทั้ง 100% จึงอยู่ในรูปเงินบาท แต่ตรงกันข้าม ต้นทุนสินค้าทั้งหมดอยู่ในรูปสกุลต่างประเทศ แต่ประกอบด้วยต้นทุนสกุลดอลลาร์สหรัฐ 50% และที่เหลืออีก 50% เป็นเงินสกุลยูโร ในสถานการณ์นี้จึงน่าจะได้ประโยชน์จากต้นทุนสินค้านำเข้าลดลง ขณะที่ราคาขายในประเทศไม่เปลี่ยนแปลง น่าจะส่งผลดีต่อประสิทธิการทำกำไร แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากบริษัทฯ มีนโยบายป้องกันความเสี่ยง จึงทำให้คาดว่าจะได้ประโยชน์จากเงินบาทที่แข็งค่า น้อยกว่าที่ควรจะเป็น โดยพบว่าทุก 1 บาทที่แข็งค่า กำไรของ SMIT จะเพิ่มขึ้นราว 5% จากประมาณการเดิมเท่านั้น
กลุ่มสอง : ได้ประโยชน์รองลงมา กลุ่มนี้ได้ประโยชน์เพราะจะมีส่วนต่างค่าใช้จ่ายสกุลต่างประเทศ ในสัดส่วนที่มากกว่ารายได้สกุลต่างประเทศ คือ
* THAI(FV@B25) รายได้ส่วนใหญ่ 75% อยู่ในรูปสกุลต่างประเทศ (38% ในรูปสกุลดอลลาร์สหรัฐ 27% สกุลยูโร และ 3% เงินเยน) ขณะที่ต้นทุนโดยรวม (น้ำมันเชื้อเพลิง และพนักงานเป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐ) 67% ของต้นทุนทั้งหมด และยังมีต้นทุนเงินกู้ยืมอยู่ในรูปสกุลตราต่างประเทศ (เงินเยน 1.1 พันล้านยูโร และ 5 หมื่นล้านเยน) ซึ่งทำให้สามารถชดเชน ส่วนต่างระหว่างรายได้และค่าใช้จ่ายสุทธิได้ โดยสรุป ทุก 1 บาทที่แข็งค่าขึ้น จะหนุนให้กำไรสุทธิของ THAI เพิ่มขึ้นราว 8.56% จากประมาณการเดิม
* AAV(FV@B4.73) ดำเนินธุรกิจ Low cost air line มีบริษัทแม่อยู่ในมาเลเซีย ให้บริการในลักษณะเดียวกัน (AAV ถือหุ้นในไทยแอร์เอเซีย 55%) ได้ประโยชน์ในการสร้างอำนาจต่อรอง ทั้งการขยายตลาด และประหยัดต้นทุน ปัจจุบัน AAV มีฐานรายได้ในรูปสกุลเงินตราต่างประเทศสัดส่วนราว20% ของรายได้รวม ขณะที่ต้นทุนส่วนใหญ่ราว 60% อยู่ในรูปสกุลดอลลาร์สหรัฐ ด้วยเหตุนี้ทุก 1 บาทที่แข็งค่าน่าจะหนุนกำไรสุทธิให้กับ AAV ราว 7% จากประมาณการเดิม
แต่อย่างไรก็ตามเนื่องจากราคาหุ้นตลาด ของสายการบินทั้ง 2 บริษัท อยู่ในระดับใกล้เคียงกับ Fair Value ปี 2556 จึงไม่แนะนำให้ซื้อลงทุน
LOXLEY (FV@B 6.13) ฐานรายได้ส่วนใหญ่เป็นเงินบาท และมีต้นทุนส่วนใหญ่เป็นเงินบาทราว 87% จึงทำให้เปิดความเสี่ยงไว้เพียง 13% ผลกระทบจึงคาดว่าจะมีต่อประมารการกำไรเดิมราว 2% หากเงินบาทแข็งค่าขึ้น 1%
อย่างไรก็ตาม ยังมีหุ้นอีกหลายกลุ่มแม้จะมีความเสี่ยงจากเงินบาทที่แข็งค่า แต่หากมีการป้องการความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนก็น่าจะทำให้ช่วยลดความเสี่ยงจากปัจจัยดังกล่าวได้ ดังเช่น กรณีธุรกิจค้าปลีก ปัจจัยพบว่าอีกหลายแห่ง ได้มีการลงทุนในต่างประเทศ เช่น BJC แต่เนื่องจากบริษัทมีการป้องกันความเสี่ยงเกือบทั้งหมด ทำให้มีความเสี่ยงน้อยจากการแข็งค่าของเงินบาทน้อย
บาทแข็ง หุ้นตัวไหน ใครได้ ใครเสีย
* เงินบาททำสถิติแข็งค่ามากสุดในรอบ 17 เดือน โดยแข็งค่า 7% อันเป็นผลจากเงินทุนไหลเข้าที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง นับจากธนาคารกลางสำคัญๆ ของโลก ใช้มาตรการการเงินผ่อนคลายตลอดปี 2555 หนุนให้ปริมาณเงินในระบบเพิ่มขึ้น และไหลเข้าสู่แหล่งลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง ทั้งตลาดหุ้น และตราสารหนี้ ทำให้ปี 2555 ตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดแห่งหนึ่งของโลก
* ผู้ประกอบการที่มีรายได้อิงกับสกุลเงินตราต่างประเทศมากสุด แต่ต้นทุนกลับอยู่ในรูปเงินบาทเป็นส่วนใหญ่ จึงน่าจะประสบปัญหาในช่วงที่เงินบาทแข็งค่า เรียงลำดับกระทบจากมากสุดคือ THCOM รองลงมากลุ่มเกษตร STA, KSL, CFRESH และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ DELTA และ HANA
* ตรงข้ามหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทที่แข็งค่า จะอยู่ในกลุ่มที่มีฐานรายได้ในรูปเงินบาทเป็นส่วนใหญ่เช่นกัน ขณะที่มีต้นทุนการผลิต กลับอยู่ในรูปสกุลเงินตราต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ หุ้นที่ได้ประโยชน์มากสุดในสถานการณ์นี้ คือ TVO, SMIT รองลงมาคือ กลุ่มขนส่ง คือ THAI, AAV แต่หุ้นทั้ง 2 บริษัทหลังเต็มมูลค่าแล้ว
* Top Picks: TVO(FV@B32.2) และ SMIT(FV@B5.42) ภายใต้ประมาณการปัจจุบันราคาหุ้นยังมี Upside และ Dividend Yield สูง โดยยังไม่รวมประโยชน์จากเงินบาทแข็งค่า ซึ่งจะเพิ่ม gross margin และศักยภาพการทำกำไรในปี 2556 ปริมาณเงินทุนไหลเข้า และการเปลี่ยนแปลงค่าเงินเอเซียในปี 2555 และ ม.ค. 2556
ค่าเงินเอเซียหลายประเทศ เริ่มมีทิศทางอ่อนค่าระยะสั้น หลังจากที่แข็งค่าต่อเนื่องมานานนับตั้งแต่กลางปี 2555 กล่าวคือ เงินบาทได้แข็งค่ากว่า 7% ในช่วงเกือบ 7 เดือนหลังของปี 2555 สาเหตุหลักเกิดจากการใช้มาตรการการเงินผ่อนคลายทั่วโลก (รายละเอียดดังปรากฏในตารางถัดไป) โดยล่าสุด ญี่ปุ่น ได้เพิ่มประกาศเพิ่มมาตรการ QE รอบใหม่เดือนละ 13 ล้านล้านเยน แต่มีผลบังคับใช้ในเดือน ม.ค. 2557 (หลังการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น 20-21 ม.ค. 2556) ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยหนุนให้ Money Supply เพิ่มขึ้นทั่วโลก และกระตุ้นให้ปริมาณเงิน ไหลออกจากประเทศที่ให้ผลตอบแทนต่ำ มายังประเทศที่ให้ผลตอบแทนสูง โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งภาวะเศรษฐกิจยังมีแนวโน้มเติบโตดี สะท้อนจากปี 2555 ตลาดหุ้นเอเซีย ให้ผลตอบแทนสูงสุดแห่งหนึ่งของโลก
หุ้นที่เผชิญกับปัญหาหากเงินบาทแข็งค่า
* เกษตรกระทบมากสุด : STA, KSL, CFRESH และ THCOM
ท่ามกลางความกังวลต่อสถานการณ์เงินบาทแข็งค่า ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทย ที่พึ่งรายได้จากการส่งออก (มีรายได้ในรูปสกุลตราต่างประเทศ หรือสกุลดอลลาร์สหรัฐ) แต่กลับมีต้นทุนในรูปเงินบาทเป็นส่วนใหญ่ หรือเกือบทั้งหมด ได้แก่ THCOM, CFRESH, STA และ KSL
ทั้งนี้ THCOM น่าจะกระทบมากสุด ด้วยลักษณะธุรกิจให้บริการในต่างประเทศ ทำให้มีฐานรายได้ส่วนใหญ่กว่า 80% อยู่ในรูปสกุลเงินตราต่างประเทศ ขณะที่ต้นทุนส่วนใหญ่อยู่ในรูปเงินบาท (ค่าเสื่อมราคา ดอกเบี้ยจ่าย และ ส่วนแบ่งรายได้ตามสัมปทาน) ทำให้เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นทุก 1 บาท จะกดดันกำไรของ THCOM ลงราว 7% จากประมาณการเดิม
ตามมาด้วย CFRESH, STA และ KSL ฐานรายได้สกุลดอลลาร์สหรัฐกว่า 90%, 86% และ 65% ตามลำดับแต่ต้นทุนเกือบทั้งหมดอยู่ในรูปเงินบาท หุ้นในกลุ่มนี้จึงน่าจะได้รับผลกระทบมากรองลงมา โดยคาดว่าจะกระทบต่อกำไรสุทธิกว่า 5% ของประมาณการเดิม หากเงินบาทแข็งค่าขึ้น 1 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
* อาหารส่งออก กระทบรองลงมาคือ TUF
ส่วนหุ้นในหมวดอาหาร คาดว่าจะได้รับผลกระทบในลำดับรองลงมา โดยเฉพาะ TUF แม้มีฐานรายได้ในรูปสกุลเงินตราต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ กล่าวคือ สกุลดอลลาร์สหรัฐ 65% และยูโร 25% ขณะที่เดียวกันมีต้นทุนสกุลดอลลาร์ และยูโร 50% และ 20% ตามลำดับ จึงมีส่วนต่างที่เปิดรับความเสี่ยงเหลืออยู่บ้าง แต่ส่วนนี้อาจจะชดเชยได้จากการที่ TUF มีหนี้สินต่างประเทศราว 20% ของหนี้สินรวม จึงทำให้ TUF ได้รับผลกระทบไม่มากนัก โดยทุก 1 บาทที่แข็งค่าจะทำให้กระทบต่อประมาณการกำไรเดิมราว 4%
ส่วนหุ้น CPF และ GFPT ถือว่าได้รับผลกระทบน้อยสุด เนื่องจากโครงสร้างรายได้และต้นทุน (การผลิตและการกู้ยืม) มีความสมดุล ถือว่าเป็นป้องกันความเสี่ยงตามธรรมชาติ กล่าวคือ CPF มีรายได้สกุลต่างประเทศในสัดส่วนที่สูงกว่าต้นทุนในรูปสกุลเงินตราต่างประเทศ แต่ขณะเดียวกันมีเงินกู้ยืมสกุลต่างประเทศด้วย จึงช่วยหักล้างความเสี่ยงจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าได้เกือบหมด และเช่นเดียวกับ GFPT มีความเสี่ยงน้อย เพราะมีรายได้สกุลดอลลาร์สหรัฐ 27% ขณะที่ต้นทุนสกุลดอลลาร์ 20% จึงมีส่วนต่างอยู่เล็กน้อยเท่านั้น
* อิเล็กทรอนิกส์ กระทบระดับปานกลาง
หุ้นในกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ มีโครงสร้างรายได้ในรูปสกุลเงินตราต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ ขณะเดียวกันมีต้นทุนในรูปเงินตราต่างประเทศ หรือผสมกับเงินบาท จึงทำให้เกิดผลกระทบมากน้อยต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นกับส่วนต่างของรายได้ในรูปสกุลเงินต่างประเทศ เมื่อหักต้นทุนสกุลเงินต่างประเทศแล้วมีมากน้อยเพียงใด ซึ่งหากพิจารณาเป็นรายบริษัทพบว่า DELTA น่าจะได้รับผลกระทบมากสุด เพราะรายได้อยู่ในรูปสกุลเงินตราต่างประเทศทั้ง 100% (ดอลลาร์เป็นส่วนใหญ่รองลงมาเป็นยูโร และอื่น ๆ แต่ต้นทุนเป็นดอลลาร์ 80% แม้ได้รับชดเชยจากการที่มีหนี้สินสกุลเงินตราต่างประเทศราว 20% ของหนี้สินรวมก็ตาม ผลกระทบต่อกำไรสุทธิจะลดลงราว 4% หากเงินบาทแข็งค่าทุก 1 บาท
รองลงมาคือ HANA, SVI, CCET ฐานรายได้อยู่ในรูปสกุลเงินตราต่างประเทศ 100% (ดอลลาร์เป็นส่วนใหญ่) 88% และ 65% แต่ต้นทุนเป็นสกุลต่างประเทศราว 85%, 85%, 90% ตามลำดับ แต่ผลกระทบต่อกำไรสุทธิ จะลดลงราว 3% หากเงินบาทแข็งค่าทุก 1 บาท
ขณะที่ KCE และ SVI แม้ฐานรายได้อยู่ในรูปสกุลเงินตราต่างประเทศ 75% (ดอลลาร์เป็นส่วนใหญ่) และ 88% แต่ต้นทุนเป็นสกุลต่างประเทศในสัดส่วนใกล้เคียง 80% และ 90% และยังมีหนี้สินต่างประเทศในสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับหนี้สินรวม คือ 50% และ 100% ตามลำดับ จึงสามารถช่วยหักล้าง หรือลดผลกระทบจากเงินบาทที่แข็งค่าได้บ้าง โดยภาพรวมจึงทำให้ทั้ง 2 บริษัทได้รับผลกระทบน้อยที่สุดในกลุ่ม
หุ้นที่น่าจะได้ประโยชน์จากเงินบาทที่แข็งค่า
ในทางตรงกันข้าม ผู้ประกอบการที่มีต้นทุน หรือภาระค่าใช้จ่ายที่อยู่ในรูปสกุลเงินตราต่างประเทศ ในสัดส่วนที่มากกว่ารายได้ที่อยู่ในรูปสกุลต่างประเทศ หรือมีต้นทุนในรูปเงินบาท น่าจะได้ประโยชน์จากสถานการณ์ที่เงินบาทแข็งค่า
กลุ่มแรก : ได้ประโยชน์มากสุด รายได้ส่วนใหญ่อยู่ในรูปเงินบาท แต่ต้นทุนเป็นสกุลต่างประเทศ หุ้นที่เข้าข่ายเงื่อนไขแรก เรียงลำดับมากไปน้อยคือ
* TVO(FV@B2.32) เนื่องจากเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำมันถั่วเหลือง และกากถั่วเหลือในประเทศ แต่ต้นทุนวัตถุดิบหลัก คือ เมล็ดถั่วเหลือง ซึ่งต้องนำเข้าจากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ราว 90% ของต้นทุนเมล็ดถั่วเหลือทั้งหมดที่เหลือ 10% ซื้อจากแหล่งผลิตในประเทศ ขณะที่รายได้จากการขายกากถั่วเหลืองและน้ำมันถั่วเหลือง ทั้งหมดจะอยู่ในประเทศ ทำให้เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นทุก 1 บาท จะเพิ่มกำไรให้กับ TVO ราว 15% จากประมาณการเดิม
* SMIT(FV@B5.42) เป็นผู้นำเข้าเครื่องจักรอุตสาหกรรม และเหล็กพิเศษ สำหรับทำแม่พิมพ์ มาจำหน่ายในประเทศ รายได้ทั้ง 100% จึงอยู่ในรูปเงินบาท แต่ตรงกันข้าม ต้นทุนสินค้าทั้งหมดอยู่ในรูปสกุลต่างประเทศ แต่ประกอบด้วยต้นทุนสกุลดอลลาร์สหรัฐ 50% และที่เหลืออีก 50% เป็นเงินสกุลยูโร ในสถานการณ์นี้จึงน่าจะได้ประโยชน์จากต้นทุนสินค้านำเข้าลดลง ขณะที่ราคาขายในประเทศไม่เปลี่ยนแปลง น่าจะส่งผลดีต่อประสิทธิการทำกำไร แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากบริษัทฯ มีนโยบายป้องกันความเสี่ยง จึงทำให้คาดว่าจะได้ประโยชน์จากเงินบาทที่แข็งค่า น้อยกว่าที่ควรจะเป็น โดยพบว่าทุก 1 บาทที่แข็งค่า กำไรของ SMIT จะเพิ่มขึ้นราว 5% จากประมาณการเดิมเท่านั้น
กลุ่มสอง : ได้ประโยชน์รองลงมา กลุ่มนี้ได้ประโยชน์เพราะจะมีส่วนต่างค่าใช้จ่ายสกุลต่างประเทศ ในสัดส่วนที่มากกว่ารายได้สกุลต่างประเทศ คือ
* THAI(FV@B25) รายได้ส่วนใหญ่ 75% อยู่ในรูปสกุลต่างประเทศ (38% ในรูปสกุลดอลลาร์สหรัฐ 27% สกุลยูโร และ 3% เงินเยน) ขณะที่ต้นทุนโดยรวม (น้ำมันเชื้อเพลิง และพนักงานเป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐ) 67% ของต้นทุนทั้งหมด และยังมีต้นทุนเงินกู้ยืมอยู่ในรูปสกุลตราต่างประเทศ (เงินเยน 1.1 พันล้านยูโร และ 5 หมื่นล้านเยน) ซึ่งทำให้สามารถชดเชน ส่วนต่างระหว่างรายได้และค่าใช้จ่ายสุทธิได้ โดยสรุป ทุก 1 บาทที่แข็งค่าขึ้น จะหนุนให้กำไรสุทธิของ THAI เพิ่มขึ้นราว 8.56% จากประมาณการเดิม
* AAV(FV@B4.73) ดำเนินธุรกิจ Low cost air line มีบริษัทแม่อยู่ในมาเลเซีย ให้บริการในลักษณะเดียวกัน (AAV ถือหุ้นในไทยแอร์เอเซีย 55%) ได้ประโยชน์ในการสร้างอำนาจต่อรอง ทั้งการขยายตลาด และประหยัดต้นทุน ปัจจุบัน AAV มีฐานรายได้ในรูปสกุลเงินตราต่างประเทศสัดส่วนราว20% ของรายได้รวม ขณะที่ต้นทุนส่วนใหญ่ราว 60% อยู่ในรูปสกุลดอลลาร์สหรัฐ ด้วยเหตุนี้ทุก 1 บาทที่แข็งค่าน่าจะหนุนกำไรสุทธิให้กับ AAV ราว 7% จากประมาณการเดิม
แต่อย่างไรก็ตามเนื่องจากราคาหุ้นตลาด ของสายการบินทั้ง 2 บริษัท อยู่ในระดับใกล้เคียงกับ Fair Value ปี 2556 จึงไม่แนะนำให้ซื้อลงทุน
LOXLEY (FV@B 6.13) ฐานรายได้ส่วนใหญ่เป็นเงินบาท และมีต้นทุนส่วนใหญ่เป็นเงินบาทราว 87% จึงทำให้เปิดความเสี่ยงไว้เพียง 13% ผลกระทบจึงคาดว่าจะมีต่อประมารการกำไรเดิมราว 2% หากเงินบาทแข็งค่าขึ้น 1%
อย่างไรก็ตาม ยังมีหุ้นอีกหลายกลุ่มแม้จะมีความเสี่ยงจากเงินบาทที่แข็งค่า แต่หากมีการป้องการความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนก็น่าจะทำให้ช่วยลดความเสี่ยงจากปัจจัยดังกล่าวได้ ดังเช่น กรณีธุรกิจค้าปลีก ปัจจัยพบว่าอีกหลายแห่ง ได้มีการลงทุนในต่างประเทศ เช่น BJC แต่เนื่องจากบริษัทมีการป้องกันความเสี่ยงเกือบทั้งหมด ทำให้มีความเสี่ยงน้อยจากการแข็งค่าของเงินบาทน้อย