วิธี “ตั้งราคา” ที่เข้าใจผิด ขายดีแค่ไหน…กำไรก็หายหมด! 💸
.
ในยุคที่เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนจากเงินเฟ้อที่ชะลอตัว แต่ยังคงกดดันค่าครองชีพ ราคาอาหารและเครื่องดื่มกลายเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดพฤติกรรมการบริโภคของผู้คน
.
โดยเฉพาะในปี พ.ศ. 2568 ซึ่งเป็นปีที่ตลาดอาหารและเครื่องดื่มในประเทศไทยคาดว่าจะมีมูลค่ารวมกว่า 657,000 ล้านบาท เติบโตเพียง 4.6% จากปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม การเติบโตที่ชะลอตัวนี้สะท้อนถึงความท้าทายจากต้นทุนที่สูงขึ้นและกำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่
.
🍽️ เมนู “ราคาแพง” คนจ่ายไม่ไหว “กำไรหด”
.
ราคาอาหารกลายเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มรายได้ปานกลางและต่ำที่ “ความรู้สึกไวต่อราคา” สูง จากข้อมูลพบว่า ผู้บริโภคไทยกว่า 70% ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินเนื่องจากราคาที่สูงขึ้น
.
เช่น ลดการกินนอกบ้าน และหันไปหาตัวเลือกที่ “คุ้มค่า” มากขึ้น ส่งผลให้ตลาดร้านอาหารโตเพียง 2.8–3.0% ต่ำกว่าปีก่อน ๆ เนื่องจากกำลังซื้อซบเซาและต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มเฉลี่ย 1.5–2.5% ต่อปี
.
ผลกระทบนี้ไม่ใช่แค่การลดปริมาณซื้อ แต่ยังเปลี่ยนรูปแบบการตัดสินใจ โดยผู้บริโภคให้ความสำคัญกับ “ความคุ้มค่า” ที่ต้องจ่าย ซึ่งไม่ใช่แค่ในมุมของร้านอาหารเท่านั้น ในมุมของร้านเครื่องดื่มก็เช่นกัน แม้จะดูว่าพวกกาแฟคือสินค้าที่ไม่ว่าจะยุคไหนสมัยใด ก็ยังขายได้
.
ซึ่งก็ดูจะเป็นจริงตามนั้น เนื่องจากอัตราการบริโภคกาแฟต่อหัวของคนไทยประมาณ 1–2 แก้ว/วัน ซึ่งยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลก คาดว่าธุรกิจนี้มีโอกาสขยายตัว 7–10% ต่อปี มีกำลังซื้อสำคัญจากกลุ่มวัยทำงานและคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพ รสชาติ และประสบการณ์
.
☕ ร้านกาแฟต้องคำนวณ “ต้นทุน” ก่อน “ตั้งราคา”
.
อย่างไรก็ดี ถ้าไปดูข้อมูลร้านกาแฟในปัจจุบัน แม้จะไม่มีตัวเลขรวมทั้งประเทศที่แน่นอน 100% เนื่องจากร้านขนาดเล็กและรถเข็นกระจายตัวมาก แต่จากข้อมูลที่มีคาดว่ามีประมาณ 20,000-25,000 ร้านค้า เฉพาะในกรุงเทพฯ เอง มีร้านคาเฟ่ประมาณ 5,000 แห่ง ซึ่งถ้าไปไล่ดูว่าแม้เป็นธุรกิจที่มีความต้องการสูง ลูกค้ามีต่อเนื่อง แต่ก็เป็นการลงทุนที่มีปัจจัยเสี่ยงในหลายด้านได้แก่
.
🌱 ต้นทุนวัตถุดิบผันผวนสูง ยกตัวอย่างเช่นเมล็ดกาแฟอาราบิก้าที่ต้นทุนเพิ่มกว่า 60% หรือนม UHT ที่ต้นทุนเพิ่มขึ้น 15%
⚔️ การแข่งขันสูง อย่างในกรุงเทพฯมีตัวเลขว่าเกิดร้านใหม่ 415 แห่งภายใน 6 เดือนแรกของปี 2568 และร้านอิสระส่วนใหญ่กว่า 60% ขายได้ไม่ถึง 50 แก้ว/วัน
🔁 พฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยนเร็ว ข้อมูลระบุว่า 70% ลูกค้าร้านใหม่ กลับมาใช้บริการไม่ถึง 3 ครั้ง
🏠 ค่าเช่าพุ่ง + ทำเลไม่คุ้ม บางพื้นที่ค่าเช่า 1,500–3,000 บ./ตร.ม. กลายเป็นต้นทุนที่ต้องแบกรับ กำไรที่ควรได้ก็ลดลง
👋 พนักงานลาออกบ่อย โดยมีอัตราการลาออกของพนักงาน 45% ต่อปี ซึ่งถือว่าสูงมาก มีผลกระทบในเรื่องการใช้บริการลูกค้าที่ไม่ต่อเนื่อง
.
📊 “ตั้งราคา” ให้คุ้มทุน ต้องเริ่มจากรู้ต้นทุนจริง
.
เมื่อปัจจัยเสี่ยงมีเยอะ การลงทุนธุรกิจร้านอาหาร - เครื่องดื่ม จำเป็นต้องมีระบบบริหารจัดการและหนึ่งในวิธีที่ควรทำคือการ “ตั้งราคา” เพื่อให้คุ้มทุนเร็วที่สุด โดยต้องคำนึงถึงทั้งต้นทุน รายได้ และพฤติกรรมลูกค้า ขอยกตัวอย่างเอาธุรกิจร้านกาแฟมาเป็นต้นแบบในการอธิบาย
.
1.ต้นทุนร้านกาแฟ ก่อนตั้งราคา ต้องรู้ต้นทุนทั้งหมดของร้าน ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก:
.
🧾 ต้นทุนคงที่ (Fixed Costs) ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นไม่ว่าร้านจะขายได้หรือไม่ เช่น ค่าเช่าที่ ค่าพนักงาน ค่าผ่อนเครื่องชงกาแฟ ฯลฯ ยกตัวอย่างเช่น
- ค่าเช่า: 20,000 บาท/เดือน
- ค่าพนักงาน (2 คน): 30,000 บาท/เดือน
- ค่าเครื่องชงกาแฟ (ผ่อน): 5,000 บาท/เดือน
- ค่าน้ำ/ไฟ/อินเทอร์เน็ต: 5,000 บาท/เดือน
➡️ รวมต้นทุนคงที่: 60,000 บาท/เดือน
.
🥤 ต้นทุนผันแปร (Variable Costs) ค่าใช้จ่ายที่ขึ้นอยู่กับปริมาณการขาย เช่น เมล็ดกาแฟ นม น้ำตาล แก้วกระดาษ ฯลฯ
ตัวอย่าง (ต่อแก้ว)
- เมล็ดกาแฟ (10 กรัม): 5 บาท
- นม: 5 บาท
- แก้ว/ฝา/หลอด: 3 บาท
- น้ำตาล/ไซรัป: 2 บาท
➡️ รวมต้นทุนผันแปรต่อแก้ว: 15 บาท
.
2. คำนวณจุดคุ้มทุน (Break-Even Point) คือจำนวนแก้วที่ต้องขายเพื่อให้รายได้ครอบคลุมต้นทุนทั้งหมด โดยใช้สูตร:
.
จำนวนแก้วที่ต้องขาย = ต้นทุนคงที่ ÷ (ราคาขายต่อแก้ว - ต้นทุนผันแปรต่อแก้ว)
.
📌 สมมติตั้งราคาขายกาแฟแก้วละ 50 บาท:
ราคาขายต่อแก้ว = 50 บาท
ต้นทุนผันแปรต่อแก้ว = 15 บาท
กำไรต่อแก้ว = 50 - 15 = 35 บาท
ต้นทุนคงที่ = 60,000 บาท
จำนวนแก้วที่ต้องขาย = 60,000 ÷ 35 = 1,714.29 แก้ว/เดือน
หรือประมาณ 57 แก้ว/วัน (สมมติร้านเปิด 30 วัน/เดือน)
.
💡 กลยุทธ์การตั้งราคาให้คุ้มทุนเร็ว
การตั้งราคาไม่ใช่แค่บวกราคาจากต้นทุน แต่ต้องคำนึงถึง “คุณค่า” ที่ลูกค้าเห็นและ “ราคาตลาด” ด้วยซึ่งควรเริ่มจาก
.
🔍 วิเคราะห์ราคาตลาด
สำรวจว่าร้านกาแฟคู่แข่งในพื้นที่ตั้งราคาเท่าไหร่ เช่น ถ้าคู่แข่งขายกาแฟลาเต้แก้วละ 60-80 บาท เราอาจตั้งราคาที่ 65 บาท เพื่อแข่งขันได้ แต่ยังมีกำไรดี
.
📉 ลดต้นทุนผันแปร
ด้วยการเจรจากับซัพพลายเออร์เพื่อซื้อเมล็ดกาแฟหรือแก้วในราคาที่ถูกลงเมื่อซื้อจำนวนมาก เช่น ลดต้นทุนผันแปรจาก 15 บาท/แก้ว เป็น 12 บาท/แก้ว เมื่อต้นทุนผันแปรลดลงก็มีผลต่อยอดขายที่เพิ่มขึ้นด้วย
.
🍰 เพิ่มยอดขายด้วยเมนูหลากหลาย
เพิ่มเมนูที่มีต้นทุนต่ำแต่ตั้งราคาสูงได้ เช่น ชาไทย (ต้นทุน 10 บาท ขาย 50 บาท) หรือขนมที่ทำเอง (ต้นทุน 5 บาท ขาย 30 บาท) เพื่อเพิ่มกำไรโดยรวมเป็นต้น
.
🎁 โปรโมชั่นดึงดูดลูกค้า
ใช้โปรโมชั่น เช่น “ซื้อ 10 แก้ว ฟรี 1 แก้ว” เพื่อเพิ่มความถี่ในการซื้อ หรือตั้งราคาเริ่มต้นต่ำ (เช่น 45 บาท) ในช่วงแรกเพื่อดึงลูกค้าใหม่ แล้วค่อยปรับราคาขึ้นเมื่อมีฐานลูกค้าประจำ หรือบางครั้งหากเป็นแบรนด์ใหญ่อาจมีวิธีเพิ่มกำไรให้ธุรกิจคุ้มทุนเร็วได้ดีกว่าการใช้เทคนิคตั้งราคา
.
ยกตัวอย่าง Starbucks แบรนด์กาแฟที่วางคอนเซปต์ ว่า ไม่ได้ต้องการขายกาแฟ แต่ต้องการเป็นสังคมย่อมๆ ให้คนได้เข้ามานั่งเล่น พบปะ พูดคุย และขายประสบการณ์ดีๆ ให้ลูกค้า
.
ดังนั้น Starbucks จึงอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าทุกอย่าง ซึ่งปัจจัยที่ทำให้ Starbucks ทำได้คือ พื้นที่ร้านกว้าง รองรับลูกค้าได้มาก และต้นทุนต่ำกว่า เนื่องจากมีหลายสาขาทำให้อำนาจการต่อรองกับซัพพลายเออร์สูง ที่สำคัญราคาเครื่องดื่มสูงกว่าร้านกาแฟทั่วไป 2 – 3 เท่า
.
นั่นแปลว่าการที่ Starbucks รับลูกค้าคนเดียว กลับมียอดขายเทียบเท่ากับร้านกาแฟเล็กๆ รับลูกค้า 2 – 3 คน Starbucks จึงสามารถปล่อยให้ลูกค้านั่งนานๆ ได้โดยไม่เดือดร้อน นี่คือข้อได้เปรียบของแบรนด์ใหญ่ สำหรับร้านกาแฟแบบทั่วไปคงยากที่จะทำตามแนวทางนี้ของ Starbucks ได้
.
อย่างไรก็ดีถ้ามองภาพรวมที่แท้จริงของธุรกิจร้านเครื่องดื่ม - อาหารในปัจจุบันการตั้งราคาให้ “คุ้มทุน” เร็วที่สุดต้องเริ่มจากการเข้าใจต้นทุนทั้งหมด คำนวณจุดคุ้มทุน และปรับกลยุทธ์ให้เหมาะกับตลาด การใช้เทคนิคเพิ่มราคา , ลดต้นทุนผันแปร , เพิ่มเมนูกำไรสูง แม้จะเป็นเรื่องที่น่าสนใจแต่สุดท้ายต้องคำนึงถึงความสมดุลระหว่างราคาที่ลูกค้ายอมจ่ายและกำไรที่ร้านต้องการ เพื่อให้ธุรกิจของเราไม่เพียงแค่คุ้มทุน แต่ยังเติบโตได้อย่างยั่งยืนอีกด้วย
.
.
#การตลาด #ตั้งราคา #เทคนิคการตั้งราคา #จุดคุ้มทุน #Marketing #FixedCosts #VariableCosts
CR
https://www.facebook.com/share/1C5yqWdw8d/?mibextid=wwXIfr
วิธี “ตั้งราคา” ที่เข้าใจผิด ขายดีแค่ไหน…กำไรก็หายหมด! 💸
.
ในยุคที่เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนจากเงินเฟ้อที่ชะลอตัว แต่ยังคงกดดันค่าครองชีพ ราคาอาหารและเครื่องดื่มกลายเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดพฤติกรรมการบริโภคของผู้คน
.
โดยเฉพาะในปี พ.ศ. 2568 ซึ่งเป็นปีที่ตลาดอาหารและเครื่องดื่มในประเทศไทยคาดว่าจะมีมูลค่ารวมกว่า 657,000 ล้านบาท เติบโตเพียง 4.6% จากปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม การเติบโตที่ชะลอตัวนี้สะท้อนถึงความท้าทายจากต้นทุนที่สูงขึ้นและกำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่
.
🍽️ เมนู “ราคาแพง” คนจ่ายไม่ไหว “กำไรหด”
.
ราคาอาหารกลายเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มรายได้ปานกลางและต่ำที่ “ความรู้สึกไวต่อราคา” สูง จากข้อมูลพบว่า ผู้บริโภคไทยกว่า 70% ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินเนื่องจากราคาที่สูงขึ้น
.
เช่น ลดการกินนอกบ้าน และหันไปหาตัวเลือกที่ “คุ้มค่า” มากขึ้น ส่งผลให้ตลาดร้านอาหารโตเพียง 2.8–3.0% ต่ำกว่าปีก่อน ๆ เนื่องจากกำลังซื้อซบเซาและต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มเฉลี่ย 1.5–2.5% ต่อปี
.
ผลกระทบนี้ไม่ใช่แค่การลดปริมาณซื้อ แต่ยังเปลี่ยนรูปแบบการตัดสินใจ โดยผู้บริโภคให้ความสำคัญกับ “ความคุ้มค่า” ที่ต้องจ่าย ซึ่งไม่ใช่แค่ในมุมของร้านอาหารเท่านั้น ในมุมของร้านเครื่องดื่มก็เช่นกัน แม้จะดูว่าพวกกาแฟคือสินค้าที่ไม่ว่าจะยุคไหนสมัยใด ก็ยังขายได้
.
ซึ่งก็ดูจะเป็นจริงตามนั้น เนื่องจากอัตราการบริโภคกาแฟต่อหัวของคนไทยประมาณ 1–2 แก้ว/วัน ซึ่งยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลก คาดว่าธุรกิจนี้มีโอกาสขยายตัว 7–10% ต่อปี มีกำลังซื้อสำคัญจากกลุ่มวัยทำงานและคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพ รสชาติ และประสบการณ์
.
☕ ร้านกาแฟต้องคำนวณ “ต้นทุน” ก่อน “ตั้งราคา”
.
อย่างไรก็ดี ถ้าไปดูข้อมูลร้านกาแฟในปัจจุบัน แม้จะไม่มีตัวเลขรวมทั้งประเทศที่แน่นอน 100% เนื่องจากร้านขนาดเล็กและรถเข็นกระจายตัวมาก แต่จากข้อมูลที่มีคาดว่ามีประมาณ 20,000-25,000 ร้านค้า เฉพาะในกรุงเทพฯ เอง มีร้านคาเฟ่ประมาณ 5,000 แห่ง ซึ่งถ้าไปไล่ดูว่าแม้เป็นธุรกิจที่มีความต้องการสูง ลูกค้ามีต่อเนื่อง แต่ก็เป็นการลงทุนที่มีปัจจัยเสี่ยงในหลายด้านได้แก่
.
🌱 ต้นทุนวัตถุดิบผันผวนสูง ยกตัวอย่างเช่นเมล็ดกาแฟอาราบิก้าที่ต้นทุนเพิ่มกว่า 60% หรือนม UHT ที่ต้นทุนเพิ่มขึ้น 15%
⚔️ การแข่งขันสูง อย่างในกรุงเทพฯมีตัวเลขว่าเกิดร้านใหม่ 415 แห่งภายใน 6 เดือนแรกของปี 2568 และร้านอิสระส่วนใหญ่กว่า 60% ขายได้ไม่ถึง 50 แก้ว/วัน
🔁 พฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยนเร็ว ข้อมูลระบุว่า 70% ลูกค้าร้านใหม่ กลับมาใช้บริการไม่ถึง 3 ครั้ง
🏠 ค่าเช่าพุ่ง + ทำเลไม่คุ้ม บางพื้นที่ค่าเช่า 1,500–3,000 บ./ตร.ม. กลายเป็นต้นทุนที่ต้องแบกรับ กำไรที่ควรได้ก็ลดลง
👋 พนักงานลาออกบ่อย โดยมีอัตราการลาออกของพนักงาน 45% ต่อปี ซึ่งถือว่าสูงมาก มีผลกระทบในเรื่องการใช้บริการลูกค้าที่ไม่ต่อเนื่อง
.
📊 “ตั้งราคา” ให้คุ้มทุน ต้องเริ่มจากรู้ต้นทุนจริง
.
เมื่อปัจจัยเสี่ยงมีเยอะ การลงทุนธุรกิจร้านอาหาร - เครื่องดื่ม จำเป็นต้องมีระบบบริหารจัดการและหนึ่งในวิธีที่ควรทำคือการ “ตั้งราคา” เพื่อให้คุ้มทุนเร็วที่สุด โดยต้องคำนึงถึงทั้งต้นทุน รายได้ และพฤติกรรมลูกค้า ขอยกตัวอย่างเอาธุรกิจร้านกาแฟมาเป็นต้นแบบในการอธิบาย
.
1.ต้นทุนร้านกาแฟ ก่อนตั้งราคา ต้องรู้ต้นทุนทั้งหมดของร้าน ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก:
.
🧾 ต้นทุนคงที่ (Fixed Costs) ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นไม่ว่าร้านจะขายได้หรือไม่ เช่น ค่าเช่าที่ ค่าพนักงาน ค่าผ่อนเครื่องชงกาแฟ ฯลฯ ยกตัวอย่างเช่น
- ค่าเช่า: 20,000 บาท/เดือน
- ค่าพนักงาน (2 คน): 30,000 บาท/เดือน
- ค่าเครื่องชงกาแฟ (ผ่อน): 5,000 บาท/เดือน
- ค่าน้ำ/ไฟ/อินเทอร์เน็ต: 5,000 บาท/เดือน
➡️ รวมต้นทุนคงที่: 60,000 บาท/เดือน
.
🥤 ต้นทุนผันแปร (Variable Costs) ค่าใช้จ่ายที่ขึ้นอยู่กับปริมาณการขาย เช่น เมล็ดกาแฟ นม น้ำตาล แก้วกระดาษ ฯลฯ
ตัวอย่าง (ต่อแก้ว)
- เมล็ดกาแฟ (10 กรัม): 5 บาท
- นม: 5 บาท
- แก้ว/ฝา/หลอด: 3 บาท
- น้ำตาล/ไซรัป: 2 บาท
➡️ รวมต้นทุนผันแปรต่อแก้ว: 15 บาท
.
2. คำนวณจุดคุ้มทุน (Break-Even Point) คือจำนวนแก้วที่ต้องขายเพื่อให้รายได้ครอบคลุมต้นทุนทั้งหมด โดยใช้สูตร:
.
จำนวนแก้วที่ต้องขาย = ต้นทุนคงที่ ÷ (ราคาขายต่อแก้ว - ต้นทุนผันแปรต่อแก้ว)
.
📌 สมมติตั้งราคาขายกาแฟแก้วละ 50 บาท:
ราคาขายต่อแก้ว = 50 บาท
ต้นทุนผันแปรต่อแก้ว = 15 บาท
กำไรต่อแก้ว = 50 - 15 = 35 บาท
ต้นทุนคงที่ = 60,000 บาท
จำนวนแก้วที่ต้องขาย = 60,000 ÷ 35 = 1,714.29 แก้ว/เดือน
หรือประมาณ 57 แก้ว/วัน (สมมติร้านเปิด 30 วัน/เดือน)
.
💡 กลยุทธ์การตั้งราคาให้คุ้มทุนเร็ว
การตั้งราคาไม่ใช่แค่บวกราคาจากต้นทุน แต่ต้องคำนึงถึง “คุณค่า” ที่ลูกค้าเห็นและ “ราคาตลาด” ด้วยซึ่งควรเริ่มจาก
.
🔍 วิเคราะห์ราคาตลาด
สำรวจว่าร้านกาแฟคู่แข่งในพื้นที่ตั้งราคาเท่าไหร่ เช่น ถ้าคู่แข่งขายกาแฟลาเต้แก้วละ 60-80 บาท เราอาจตั้งราคาที่ 65 บาท เพื่อแข่งขันได้ แต่ยังมีกำไรดี
.
📉 ลดต้นทุนผันแปร
ด้วยการเจรจากับซัพพลายเออร์เพื่อซื้อเมล็ดกาแฟหรือแก้วในราคาที่ถูกลงเมื่อซื้อจำนวนมาก เช่น ลดต้นทุนผันแปรจาก 15 บาท/แก้ว เป็น 12 บาท/แก้ว เมื่อต้นทุนผันแปรลดลงก็มีผลต่อยอดขายที่เพิ่มขึ้นด้วย
.
🍰 เพิ่มยอดขายด้วยเมนูหลากหลาย
เพิ่มเมนูที่มีต้นทุนต่ำแต่ตั้งราคาสูงได้ เช่น ชาไทย (ต้นทุน 10 บาท ขาย 50 บาท) หรือขนมที่ทำเอง (ต้นทุน 5 บาท ขาย 30 บาท) เพื่อเพิ่มกำไรโดยรวมเป็นต้น
.
🎁 โปรโมชั่นดึงดูดลูกค้า
ใช้โปรโมชั่น เช่น “ซื้อ 10 แก้ว ฟรี 1 แก้ว” เพื่อเพิ่มความถี่ในการซื้อ หรือตั้งราคาเริ่มต้นต่ำ (เช่น 45 บาท) ในช่วงแรกเพื่อดึงลูกค้าใหม่ แล้วค่อยปรับราคาขึ้นเมื่อมีฐานลูกค้าประจำ หรือบางครั้งหากเป็นแบรนด์ใหญ่อาจมีวิธีเพิ่มกำไรให้ธุรกิจคุ้มทุนเร็วได้ดีกว่าการใช้เทคนิคตั้งราคา
.
ยกตัวอย่าง Starbucks แบรนด์กาแฟที่วางคอนเซปต์ ว่า ไม่ได้ต้องการขายกาแฟ แต่ต้องการเป็นสังคมย่อมๆ ให้คนได้เข้ามานั่งเล่น พบปะ พูดคุย และขายประสบการณ์ดีๆ ให้ลูกค้า
.
ดังนั้น Starbucks จึงอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าทุกอย่าง ซึ่งปัจจัยที่ทำให้ Starbucks ทำได้คือ พื้นที่ร้านกว้าง รองรับลูกค้าได้มาก และต้นทุนต่ำกว่า เนื่องจากมีหลายสาขาทำให้อำนาจการต่อรองกับซัพพลายเออร์สูง ที่สำคัญราคาเครื่องดื่มสูงกว่าร้านกาแฟทั่วไป 2 – 3 เท่า
.
นั่นแปลว่าการที่ Starbucks รับลูกค้าคนเดียว กลับมียอดขายเทียบเท่ากับร้านกาแฟเล็กๆ รับลูกค้า 2 – 3 คน Starbucks จึงสามารถปล่อยให้ลูกค้านั่งนานๆ ได้โดยไม่เดือดร้อน นี่คือข้อได้เปรียบของแบรนด์ใหญ่ สำหรับร้านกาแฟแบบทั่วไปคงยากที่จะทำตามแนวทางนี้ของ Starbucks ได้
.
อย่างไรก็ดีถ้ามองภาพรวมที่แท้จริงของธุรกิจร้านเครื่องดื่ม - อาหารในปัจจุบันการตั้งราคาให้ “คุ้มทุน” เร็วที่สุดต้องเริ่มจากการเข้าใจต้นทุนทั้งหมด คำนวณจุดคุ้มทุน และปรับกลยุทธ์ให้เหมาะกับตลาด การใช้เทคนิคเพิ่มราคา , ลดต้นทุนผันแปร , เพิ่มเมนูกำไรสูง แม้จะเป็นเรื่องที่น่าสนใจแต่สุดท้ายต้องคำนึงถึงความสมดุลระหว่างราคาที่ลูกค้ายอมจ่ายและกำไรที่ร้านต้องการ เพื่อให้ธุรกิจของเราไม่เพียงแค่คุ้มทุน แต่ยังเติบโตได้อย่างยั่งยืนอีกด้วย
.
.
#การตลาด #ตั้งราคา #เทคนิคการตั้งราคา #จุดคุ้มทุน #Marketing #FixedCosts #VariableCosts
CR https://www.facebook.com/share/1C5yqWdw8d/?mibextid=wwXIfr