นักวิเคราะห์เตือนเอเชีย หมดยุคเฟื่องฟู หลังธนาคารกลางสหรัฐจ่อปิดฉากมาตรการคิวอี
ภาวะเฟื่องฟูทางเศรษฐกิจในเอเชีย มีแนวโน้มที่จะสิ้นสุดลงพร้อมกับมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) ของ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หลังจากคิวอีของเฟดเคยกระตุ้นให้เกิดการปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ และปัจจัยดังกล่าวช่วยหนุนเศรษฐกิจเอเชียในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
เอเชียถือว่าเป็นภูมิภาคที่ประชากรมีนิสัยประหยัดเงิน มีหนี้สินต่ำ และมีเงินออมสูง แต่อาจได้รับผลกระทบเป็นอย่างมากจากการหดตัวของสินเชื่อทั่วโลก หากเฟดลดคิวอี
สำนักข่าวรอยเตอร์ ระบุว่า ภูมิภาคเอเชียเคยสะสมทุนสำรองเงินตราต่างประเทศจำนวนมาก และเคยออกนโยบายปกป้องเศรษฐกิจจากการไหลออกของเงินทุนหลังจากเกิดวิกฤติการเงินในปี 2540-2541 แต่แรงเทขายในตลาดหุ้นและตลาดปริวรรตเงินตราของประเทศตลาดเกิดใหม่ในช่วงสัปดาห์นี้ แสดงให้เห็นว่าเอเชียกำลังเผชิญความเสี่ยงจากการไหลออกอย่างรวดเร็วของเงินทุนอีกครั้ง
นายแอนดรูว์ สวอน ผู้จัดการพอร์ตลงทุนหุ้นเอเชียของบริษัท แบล็คร็อค กล่าวว่า "ปัจจัยบวกที่เคยหนุนเอเชียในช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมา กำลังจะสิ้นสุดลง และกำลังจะกลายเป็นปัจจัยลบในบางประเทศ"
นักเศรษฐศาสตร์ กล่าวว่า มีสัญญาณบ่งชี้ถึงอนาคตของเศรษฐกิจเอเชียปรากฏออกมาในเดือนมิ.ย. โดยในเดือนดังกล่าว ตลาดเอเชียแกว่งตัวผันผวนอย่างรุนแรง หลังจากนายเบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟด ส่งสัญญาณว่าเฟดอาจจะเริ่มต้นปรับลดขนาดคิวอีในอนาคต ซึ่งความกังวลดังกล่าวส่งผลกระทบอย่างมากต่อตลาดอินเดียและอินโดนีเซีย
หลายประเทศในเอเชียไม่สามารถขจัดอุปสรรคทางการเมืองและทางสังคมที่ขัดขวางการเติบโตทางเศรษฐกิจ จึงได้หันมาพึ่งพาอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำและการกู้ยืมเงินจำนวนมากเพื่อใช้ในการขยายขนาดเศรษฐกิจ โดยเฉพาะหลังจากที่เกิดวิกฤติทางการเงินโลกและเฟดเริ่มต้นซื้อตราสารหนี้จำนวนมากในช่วงนั้น
ด้วยเหตุนี้ เมื่อ เฟด ยุติมาตรการคิวอีในอนาคต เอเชียจึงอาจประสบความยากลำบากในการบรรลุเป้าหมายอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ยอดส่งออกร่วงทั้งภูมิภาค
หลายประเทศในเอเชีย พยายามส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ ด้วยการผ่อนคลายนโยบายในช่วงที่ผ่านมา แต่ประเทศเหล่านี้ไม่ได้ดำเนินมาตรการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง และปัจจัยนี้กำลังจะสร้างความเสียหายต่อประเทศกลุ่มนี้ แต่จะเกิดผลกระทบในจุดที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ
อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของเอเชียยังคงอยู่ในระดับสูง โดย กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คาดว่า เศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียจะยังคงขยายตัว 7% ในปีนี้
อย่างไรก็ดี ยอดส่งออกไม่ได้ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งหลังจากวิกฤติปี 2551-2552 โดยยอดส่งออกของประเทศผู้ส่งออกที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย 7 ประเทศ ซึ่งประกอบด้วยญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ ไต้หวัน ไทย ฮ่องกง และ สิงคโปร์ แทบไม่ได้เติบโตขึ้นเลยในไตรมาส 2 ขณะที่เศรษฐกิจยุโรปเกือบอยู่ในภาวะถดถอย และเศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวขึ้นเพียงเล็กน้อย
หนี้พุ่งจากเงินดอกเบี้ยต่ำ
หลายประเทศในเอเชียหันมาใช้ประโยชน์จากเม็ดเงินดอกเบี้ยต่ำในตลาดโลกเพื่อจะได้หนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้ขยายตัวต่อไป
ในขณะที่ เฟด ตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับใกล้ 0% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ นักลงทุนในตลาดโลกก็แสวงหาการลงทุนที่ให้อัตราผลตอบแทนสูงกว่าในสหรัฐ และปัจจัยนี้มีส่วนช่วยกดดันต้นทุนการกู้ยืมของเอเชียในช่วงที่ผ่านมา
ในเดือนเม.ย. 2555 รัฐบาลอินโดนีเซียสามารถกู้เงินระยะ 10 ปี ได้ด้วยอัตราดอกเบี้ย 3.375% ซึ่งถือว่าเป็นสถิติต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และอยู่สูงกว่าต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาลสหรัฐเพียง 1.8%
ในเดือนเม.ย. 2555 บริษัท ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ ของเกาหลีใต้ สามารถกู้เงิน 1 พันล้านดอลลาร์ได้ด้วยอัตราดอกเบี้ยเพียง 1.75%
การไหลเข้าของสินเชื่อจำนวนมาก มีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจบางประเทศเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อไป แต่หนี้สินภาคเอกชนในเอเชีย มีขนาดพุ่งขึ้นสู่ 165% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ในปี 2555 ซึ่งสูงกว่าระดับ 127% ในช่วงก่อนเกิดวิกฤติการเงินเอเชีย
หนี้สินของภาคครัวเรือนและภาคเอกชนในเกาหลีใต้ ฮ่องกง และ จีน ในปัจจุบันนี้ มีขนาดสูงราว 2 เท่าของจีดีพีของแต่ละประเทศ
นายโจเอล คิม หัวหน้าฝ่ายตราสารหนี้เอเชียของบริษัทแบล็คร็อคของสหรัฐ กล่าวว่า ประเทศในเอเชียใช้เงินกู้เพิ่มมากขึ้นเหมือนกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ในขณะที่ผลกำไรลดลง
นักเศรษฐศาสตร์กังวลว่า เงินกู้ทั้งหมดนี้ไม่ได้ถูกนำไปใช้ในการลงทุนที่ให้ผลกำไร ซึ่งเป็นการลงทุนที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทางการผลิตและการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ยอดดุลบัญชีร่วงหนัก
ตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งเป็นการรวมตัวเลขดุลการค้าและรายได้ ทางการลงทุนของแต่ละประเทศเข้าด้วยกัน สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาทางการลงทุนในเอเชีย โดยยอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในเอเชีย 11 ประเทศมีขนาดลดลงจาก 6.3% ของจีดีพีในปี 2550 สู่ 1.6% ของจีดีพีในปี 2555
ยอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของญี่ปุ่นดิ่งลงจากระดับที่สูงมาก สู่ระดับเกือบ 0% ในปี 2555 ส่วน อินเดีย อินโดนีเซีย และ ฮ่องกง ได้เปลี่ยนสถานะจากการมียอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัด มาเป็นการมียอดขาดดุลบัญชีเดินสะพัด
นักเศรษฐศาสตร์บางราย มองว่า ยอดเกินดุลที่ลดลงนี้เป็นสิ่งที่น่าพึงพอใจ เพราะแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจเอเชียลดการพึ่งพาการส่งออก และหันมาพึ่งพาการบริโภคมากยิ่งขึ้น
นายอานูป ซิงห์ หัวหน้าแผนกเอเชีย-แปซิฟิกในไอเอ็มเอฟ กล่าวว่า "ปัจจุบันนี้อุปสงค์ภายในประเทศมีบทบาทสำคัญมากยิ่งขึ้นในเศรษฐกิจของหลายๆ ประเทศ ซึ่งเป็นประเทศที่เคยพึ่งพาการส่งออกสู่ประเทศพัฒนาแล้วในอดีต"
ผลตอบแทนลงทุนร่วง
สัดส่วนของการบริโภคต่อจีดีพีไม่ได้พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง และนักเศรษฐศาสตร์ภาคเอกชนก็ระบุว่า อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในเอเชียลดลงอย่างน่าเป็นห่วงด้วย
ธนาคารเอชเอสบีซี ระบุว่า ประสิทธิภาพการผลิตด้านแรงงานในเอเชีย ยกเว้นญี่ปุ่น ชะลอการเติบโตลงนับตั้งแต่ปี 2551 โดยลดลงพร้อมกับอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ
อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นในตลาดโลกจะสร้างปัญหาต่อประเทศต่างๆ ในเอเชียที่ต้องกู้เงินเพื่อนำมาพัฒนาประเทศ โดย ธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) ประเมินว่า เอเชียจำเป็นต้องใช้เงิน 8.3 ล้านล้านดอลลาร์ (ซึ่งเท่ากับจีดีพีของจีน) ในทศวรรษนี้เพื่อดำเนินกิจการและขยายบริการไฟฟ้า โทรคมนาคม การขนส่ง และ ประปา
ชี้เฟดลดคิวอีกระทบปฏิรูป
นายเดวิด โกด ผู้จัดการพอร์ตลงทุนหุ้นเอเชียของบริษัท เอ็ดมอนด์ เดอ ร็อธชิลด์ แอสเซท แมเนจเมนท์ กล่าวว่า "เฟดวางแผนปรับลดขนาดคิวอี ในช่วงเวลาที่เลวร้ายเป็นอย่างมาก เพราะว่าประเทศตลาดเกิดใหม่ขนาดใหญ่ ซึ่งได้แก่ จีน อินเดีย และ อิน โดนีเซีย กำลังผลักดันการปฏิรูปเชิงโครงสร้างที่มีความสำคัญ และมีความจำเป็นอย่างมากในช่วงนี้"
นักลงทุนทั่วโลกถอนเงินลงทุนออกจากกองทุนเอเชีย นับตั้งแต่เดือนก.พ. เป็นต้นมา โดยบริษัทโนมูระ ระบุว่า ถึงแม้นักลงทุนต่างชาติยังคงเข้าซื้อหุ้นญี่ปุ่น แต่พวกเขาก็เทขายหุ้นในประเทศอื่นๆ ในเอเชีย เป็นมูลค่าอย่างน้อย 1 หมื่นล้านดอลลาร์ ในช่วง 13 สัปดาห์ที่ผ่านมา
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
เอเชียหมดยุคเฟื่องฟู หลังเฟดปิดฉากคิวอี
ภาวะเฟื่องฟูทางเศรษฐกิจในเอเชีย มีแนวโน้มที่จะสิ้นสุดลงพร้อมกับมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) ของ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หลังจากคิวอีของเฟดเคยกระตุ้นให้เกิดการปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ และปัจจัยดังกล่าวช่วยหนุนเศรษฐกิจเอเชียในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
เอเชียถือว่าเป็นภูมิภาคที่ประชากรมีนิสัยประหยัดเงิน มีหนี้สินต่ำ และมีเงินออมสูง แต่อาจได้รับผลกระทบเป็นอย่างมากจากการหดตัวของสินเชื่อทั่วโลก หากเฟดลดคิวอี
สำนักข่าวรอยเตอร์ ระบุว่า ภูมิภาคเอเชียเคยสะสมทุนสำรองเงินตราต่างประเทศจำนวนมาก และเคยออกนโยบายปกป้องเศรษฐกิจจากการไหลออกของเงินทุนหลังจากเกิดวิกฤติการเงินในปี 2540-2541 แต่แรงเทขายในตลาดหุ้นและตลาดปริวรรตเงินตราของประเทศตลาดเกิดใหม่ในช่วงสัปดาห์นี้ แสดงให้เห็นว่าเอเชียกำลังเผชิญความเสี่ยงจากการไหลออกอย่างรวดเร็วของเงินทุนอีกครั้ง
นายแอนดรูว์ สวอน ผู้จัดการพอร์ตลงทุนหุ้นเอเชียของบริษัท แบล็คร็อค กล่าวว่า "ปัจจัยบวกที่เคยหนุนเอเชียในช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมา กำลังจะสิ้นสุดลง และกำลังจะกลายเป็นปัจจัยลบในบางประเทศ"
นักเศรษฐศาสตร์ กล่าวว่า มีสัญญาณบ่งชี้ถึงอนาคตของเศรษฐกิจเอเชียปรากฏออกมาในเดือนมิ.ย. โดยในเดือนดังกล่าว ตลาดเอเชียแกว่งตัวผันผวนอย่างรุนแรง หลังจากนายเบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟด ส่งสัญญาณว่าเฟดอาจจะเริ่มต้นปรับลดขนาดคิวอีในอนาคต ซึ่งความกังวลดังกล่าวส่งผลกระทบอย่างมากต่อตลาดอินเดียและอินโดนีเซีย
หลายประเทศในเอเชียไม่สามารถขจัดอุปสรรคทางการเมืองและทางสังคมที่ขัดขวางการเติบโตทางเศรษฐกิจ จึงได้หันมาพึ่งพาอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำและการกู้ยืมเงินจำนวนมากเพื่อใช้ในการขยายขนาดเศรษฐกิจ โดยเฉพาะหลังจากที่เกิดวิกฤติทางการเงินโลกและเฟดเริ่มต้นซื้อตราสารหนี้จำนวนมากในช่วงนั้น
ด้วยเหตุนี้ เมื่อ เฟด ยุติมาตรการคิวอีในอนาคต เอเชียจึงอาจประสบความยากลำบากในการบรรลุเป้าหมายอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ยอดส่งออกร่วงทั้งภูมิภาค
หลายประเทศในเอเชีย พยายามส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ ด้วยการผ่อนคลายนโยบายในช่วงที่ผ่านมา แต่ประเทศเหล่านี้ไม่ได้ดำเนินมาตรการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง และปัจจัยนี้กำลังจะสร้างความเสียหายต่อประเทศกลุ่มนี้ แต่จะเกิดผลกระทบในจุดที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ
อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของเอเชียยังคงอยู่ในระดับสูง โดย กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คาดว่า เศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียจะยังคงขยายตัว 7% ในปีนี้
อย่างไรก็ดี ยอดส่งออกไม่ได้ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งหลังจากวิกฤติปี 2551-2552 โดยยอดส่งออกของประเทศผู้ส่งออกที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย 7 ประเทศ ซึ่งประกอบด้วยญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ ไต้หวัน ไทย ฮ่องกง และ สิงคโปร์ แทบไม่ได้เติบโตขึ้นเลยในไตรมาส 2 ขณะที่เศรษฐกิจยุโรปเกือบอยู่ในภาวะถดถอย และเศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวขึ้นเพียงเล็กน้อย
หนี้พุ่งจากเงินดอกเบี้ยต่ำ
หลายประเทศในเอเชียหันมาใช้ประโยชน์จากเม็ดเงินดอกเบี้ยต่ำในตลาดโลกเพื่อจะได้หนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้ขยายตัวต่อไป
ในขณะที่ เฟด ตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับใกล้ 0% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ นักลงทุนในตลาดโลกก็แสวงหาการลงทุนที่ให้อัตราผลตอบแทนสูงกว่าในสหรัฐ และปัจจัยนี้มีส่วนช่วยกดดันต้นทุนการกู้ยืมของเอเชียในช่วงที่ผ่านมา
ในเดือนเม.ย. 2555 รัฐบาลอินโดนีเซียสามารถกู้เงินระยะ 10 ปี ได้ด้วยอัตราดอกเบี้ย 3.375% ซึ่งถือว่าเป็นสถิติต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และอยู่สูงกว่าต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาลสหรัฐเพียง 1.8%
ในเดือนเม.ย. 2555 บริษัท ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ ของเกาหลีใต้ สามารถกู้เงิน 1 พันล้านดอลลาร์ได้ด้วยอัตราดอกเบี้ยเพียง 1.75%
การไหลเข้าของสินเชื่อจำนวนมาก มีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจบางประเทศเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อไป แต่หนี้สินภาคเอกชนในเอเชีย มีขนาดพุ่งขึ้นสู่ 165% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ในปี 2555 ซึ่งสูงกว่าระดับ 127% ในช่วงก่อนเกิดวิกฤติการเงินเอเชีย
หนี้สินของภาคครัวเรือนและภาคเอกชนในเกาหลีใต้ ฮ่องกง และ จีน ในปัจจุบันนี้ มีขนาดสูงราว 2 เท่าของจีดีพีของแต่ละประเทศ
นายโจเอล คิม หัวหน้าฝ่ายตราสารหนี้เอเชียของบริษัทแบล็คร็อคของสหรัฐ กล่าวว่า ประเทศในเอเชียใช้เงินกู้เพิ่มมากขึ้นเหมือนกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ในขณะที่ผลกำไรลดลง
นักเศรษฐศาสตร์กังวลว่า เงินกู้ทั้งหมดนี้ไม่ได้ถูกนำไปใช้ในการลงทุนที่ให้ผลกำไร ซึ่งเป็นการลงทุนที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทางการผลิตและการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ยอดดุลบัญชีร่วงหนัก
ตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งเป็นการรวมตัวเลขดุลการค้าและรายได้ ทางการลงทุนของแต่ละประเทศเข้าด้วยกัน สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาทางการลงทุนในเอเชีย โดยยอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในเอเชีย 11 ประเทศมีขนาดลดลงจาก 6.3% ของจีดีพีในปี 2550 สู่ 1.6% ของจีดีพีในปี 2555
ยอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของญี่ปุ่นดิ่งลงจากระดับที่สูงมาก สู่ระดับเกือบ 0% ในปี 2555 ส่วน อินเดีย อินโดนีเซีย และ ฮ่องกง ได้เปลี่ยนสถานะจากการมียอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัด มาเป็นการมียอดขาดดุลบัญชีเดินสะพัด
นักเศรษฐศาสตร์บางราย มองว่า ยอดเกินดุลที่ลดลงนี้เป็นสิ่งที่น่าพึงพอใจ เพราะแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจเอเชียลดการพึ่งพาการส่งออก และหันมาพึ่งพาการบริโภคมากยิ่งขึ้น
นายอานูป ซิงห์ หัวหน้าแผนกเอเชีย-แปซิฟิกในไอเอ็มเอฟ กล่าวว่า "ปัจจุบันนี้อุปสงค์ภายในประเทศมีบทบาทสำคัญมากยิ่งขึ้นในเศรษฐกิจของหลายๆ ประเทศ ซึ่งเป็นประเทศที่เคยพึ่งพาการส่งออกสู่ประเทศพัฒนาแล้วในอดีต"
ผลตอบแทนลงทุนร่วง
สัดส่วนของการบริโภคต่อจีดีพีไม่ได้พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง และนักเศรษฐศาสตร์ภาคเอกชนก็ระบุว่า อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในเอเชียลดลงอย่างน่าเป็นห่วงด้วย
ธนาคารเอชเอสบีซี ระบุว่า ประสิทธิภาพการผลิตด้านแรงงานในเอเชีย ยกเว้นญี่ปุ่น ชะลอการเติบโตลงนับตั้งแต่ปี 2551 โดยลดลงพร้อมกับอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ
อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นในตลาดโลกจะสร้างปัญหาต่อประเทศต่างๆ ในเอเชียที่ต้องกู้เงินเพื่อนำมาพัฒนาประเทศ โดย ธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) ประเมินว่า เอเชียจำเป็นต้องใช้เงิน 8.3 ล้านล้านดอลลาร์ (ซึ่งเท่ากับจีดีพีของจีน) ในทศวรรษนี้เพื่อดำเนินกิจการและขยายบริการไฟฟ้า โทรคมนาคม การขนส่ง และ ประปา
ชี้เฟดลดคิวอีกระทบปฏิรูป
นายเดวิด โกด ผู้จัดการพอร์ตลงทุนหุ้นเอเชียของบริษัท เอ็ดมอนด์ เดอ ร็อธชิลด์ แอสเซท แมเนจเมนท์ กล่าวว่า "เฟดวางแผนปรับลดขนาดคิวอี ในช่วงเวลาที่เลวร้ายเป็นอย่างมาก เพราะว่าประเทศตลาดเกิดใหม่ขนาดใหญ่ ซึ่งได้แก่ จีน อินเดีย และ อิน โดนีเซีย กำลังผลักดันการปฏิรูปเชิงโครงสร้างที่มีความสำคัญ และมีความจำเป็นอย่างมากในช่วงนี้"
นักลงทุนทั่วโลกถอนเงินลงทุนออกจากกองทุนเอเชีย นับตั้งแต่เดือนก.พ. เป็นต้นมา โดยบริษัทโนมูระ ระบุว่า ถึงแม้นักลงทุนต่างชาติยังคงเข้าซื้อหุ้นญี่ปุ่น แต่พวกเขาก็เทขายหุ้นในประเทศอื่นๆ ในเอเชีย เป็นมูลค่าอย่างน้อย 1 หมื่นล้านดอลลาร์ ในช่วง 13 สัปดาห์ที่ผ่านมา
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์