สกุลเงินตลาดเกิดใหม่ร่วงหนักทั่วโลก ผวาเฟดลดคิวอีเดือนก.ย. นี้ ธปท.เข้าแทรกแซงเงินบาท หลังอ่อนค่ารอบ 3 ปี ต่างชาติขายหุ้น-บอนด์ 3 แสนล้าน
ค่าเงินในตลาดเกิดใหม่ร่วงหนักทั่วโลก หลังจาก ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานการประชุมของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (เอฟโอเอ็มซี) แม้ว่าจะไม่กำหนดเวลาการปรับลดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) แต่ตลาดตีความไปว่าถึงอย่างไรเฟดก็จะต้องปรับลดคิวอีในเดือนหน้า
สกุลเงินตลาดเกิดใหม่ตั้งแต่บราซิลถึงอินเดีย ถูกเทขายอย่างหนักวานนี้ (22 ส.ค.) ซึ่งต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นสัปดาห์ แม้ธนาคารกลางหลายประเทศจะออกมาตรการแทรกแซงค่าเงิน แต่ก็ไม่สามารถสกัดแรงเทขายในตลาดได้ ส่งผลให้ค่าเงินแข่งกันทำสถิติต่ำสุด
ในภูมิภาคเอเชีย ค่าเงินรูปีของอินเดีย ร่วงแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์วานนี้ เช่นเดียวกับสกุลเงินอื่นในตลาดเกิดใหม่ของเอเชีย โดยเงินรูปีร่วงทะลุระดับ 65.00 ต่อดอลลาร์ โดยร่วงลงต่ำกว่าระดับต่ำสุดครั้งก่อนที่ 64.5450 ต่อดอลลาร์ เมื่อวันที่ 21 ส.ค.
"รูเปี๊ยะห์ร่วงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปีอีกครั้ง จากแรงซื้อดอลลาร์ของภาคเอกชน และจากภาวะเงินทุนไหลออก" เทรดเดอร์กล่าว
เช่นเดียวกับค่าเงินบาทร่วงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี จากแรงขายในต่างประเทศ เช่นเดียวกับเงินริงกิตมาเลเซีย ร่วงแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 3 ปี หลังจากมาเลเซียเปิดเผยข้อมูลการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ต่ำกว่าคาด และยอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่ลดลงอย่างมากในไตรมาส 2 ขณะที่เปโซร่วงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือน ตามสกุลเงินในภูมิภาค
เทรดเดอร์กล่าวว่า สกุลเงินในภูมิภาคได้แรงหนุนบางส่วน จากผลสำรวจภาคการผลิตของจีนที่ขยายตัวสูงสุดในรอบ 4 เดือนในเดือนส.ค. ซึ่งเพิ่มความหวังว่าเศรษฐกิจจีนกำลังมีเสถียรภาพ แต่ยังเผชิญกับแรงกดดันจากความวิตกเกี่ยวกับเงินทุนไหลออก ท่ามกลางการคาดการณ์ว่า เฟดอาจจะปรับลดโครงการซื้อพันธบัตร
อย่างไรก็ดี รายงานดังกล่าวไม่ได้เปลี่ยนแปลงการคาดการณ์ของตลาดที่ว่า เฟดอาจจะเริ่มปรับลดโครงการซื้อพันธบัตรวงเงิน 8.5 หมื่นล้านต่อเดือนในเดือนหน้า
ด้านตลาดหุ้นเอเชียดิ่งลงกว่า 1% หลังผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับสูงขึ้น ซึ่งทำให้ต้นทุนการกู้ยืมเพิ่มขึ้นทั่วโลกและข้อมูลเศรษฐกิจที่ดีเกินคาดของจีนก็ไม่สามารถสกัดการปรับตัวลงของตลาดได้
ดัชนีเอ็มเอสซีไอสำหรับตลาดหุ้นเอเชีย-แปซิฟิก ยกเว้นญี่ปุ่นดิ่งลง 1.1% แตะระดับต่ำสุดในรอบ 6 สัปดาห์ในวันนี้
เทรดเดอร์ชี้ธปท.แทรกแซงค่าบาท
วานนี้ ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์ร่วงลง 1% มาที่ 32.15 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุด นับตั้งแต่เดือนส.ค. 2553 ขณะที่กองทุนต่างประเทศขายบาทออกมา
ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10 ปี พุ่งขึ้นสู่ 4.21% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2553 ส่วนผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 5 ปีดีดตัวแตะระดับ 3.79%
นักบริหารเงินจากธนาคารพาณิชย์กล่าวว่ามีแรงซื้อดอลลาร์ด้วยความตื่นตระหนกอย่างมาก ซึ่งมีแนวโน้มเงินบาทอ่อนค่าลงอีก และคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ทำการขายดอลลาร์เพื่อลดความผันผวนในตลาด และสกัดการอ่อนค่าของบาท
ด้าน นางผ่องเพ็ญ เรืองวีรยุทธ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่าในช่วงนี้เงินบาทอ่อนค่าลง เพราะมีเงินทุนต่างชาติไหลออกไปลงทุนยังต่างประเทศ ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับประเทศอื่นในภูมิภาค โดยเฉพาะในประเทศตลาดเกิดใหม่ที่มีเงินทุนไหลออกเช่นเดียวกัน
"แต่ละประเทศผันผวนแตกต่างกัน ยอมรับว่าค่าเงินบาทมีค่าความผันผวนที่สูงขึ้นจากก่อนหน้านี้ โดยหลักการแล้ว ธปท. ก็พร้อมจะเข้าดูแลในกรณีที่เงินบาทอ่อนค่าลงเร็ว เพื่อดูแลให้การเคลื่อนไหวของค่าเงินมีเสถียรภาพ"
ชี้บาทอ่อนค่าเร็วเกินพื้นฐาน
นายกำพล อดิเรกสมบัติ เศรษฐกรอาวุโส ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า เงินบาทช่วงนี้ถือว่าอ่อนค่าเร็วเกินไป (Overshoot) ซึ่งเป็นผลจากการที่นักลงทุนต่างชาติเริ่มกังวลกับเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ โดยหลายประเทศเริ่มมีปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ขณะที่เฟดอาจปรับลดคิวอี
"ผมว่าเงินบาท Overshoot เกินไป เพราะต่างชาติเริ่มกังวลเกี่ยวกับการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ อย่าง อินโดนีเซีย ก็มีการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดราว 3-4% ของจีดีพี ส่วนของไทยช่วงครึ่งปีแรกก็มีผลขาดดุลอยู่เล็กน้อย”นายกำพล กล่าว
นอกจากนี้ นายกำพลเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มจะฟื้นตัวกลับมาได้ โดยเฉพาะภาคการส่งออก ซึ่งน่าจะทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยกลับมาสมดุลหรือเกินดุลได้เล็กน้อย ซึ่งถ้าจะขาดดุลก็คิดว่าคงไม่เกิน 1% ของจีดีพี ดังนั้นจึงมีแนวโน้มว่า เงินบาทอาจกลับมาแข็งค่า โดยเคลื่อนไหวอยู่ที่ 31.5 บาทต่อดอลลาร์ช่วงปลายปีนี้
นายธิติ ตันติกุลานันท์ ผู้บริหารสายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย และประธานกรรมการบริหาร บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ในช่วงเช้ามีแรงขายเงินบาทค่อนข้างรุนแรง ทำให้เงินบาทอ่อนค่าอย่างรวดเร็ว แต่ในช่วงบ่ายตลาดเริ่มนิ่งขึ้นเงินบาทจึงแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ระดับ 32.01 บาทต่อดอลลาร์
"จากนี้ไปบาทจะอ่อนไปอย่างน้อยในระยะสั้น 3 เดือนจะเป็นแนวโน้มเดียวกันทั้งภูมิภาค เนื่องจากเงินทุนที่ไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ประกอบกับตัวเลขเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงด้วย"
ค่าเงินแอฟริกา-บราซิลร่วงหนัก
ค่าเงินแรนด์ของแอฟริกาใต้ดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดใหม่ในรอบ 4 ปี เมื่อเทียบกับดอลลาร์ในการซื้อขาย หลังการเจรจาเรื่องค่าแรงในอุตสาหกรรมเหมืองทองได้หยุดชะงักลง และสหภาพแรงงานเหมืองของแอฟริกาใต้เปิดเผยว่า เตรียมแจ้งให้สมาชิกลงมติทำการผละงานประท้วง
เงินแรนด์ดิ่งลงในช่วงแรก แตะระดับ 10.4450 เทียบดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2552 ซึ่งการประท้วงจะบ่งชี้ถึงปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอ ซึ่งรวมถึงยอดขาดดุลงบประมาณ และยอดขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่เพิ่มขึ้น
ด้านโฆษกธนาคารกลางบราซิล กล่าวว่า นายอเล็กซานเดร ทอมบินี ประธานธนาคารกลางบราซิล ได้ยกเลิกการเดินทางเยือนสหรัฐเพื่อเข้าร่วมการประชุมกับเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางระดับโลก ที่เมืองแจ็คสัน โฮล รัฐไวโอมิง ระหว่างวันที่ 22-24 ส.ค.นี้ เพื่อจับตาตลาดการเงินของบราซิล
สกุลเงินเรียลของบราซิล ดิ่งลงสู่จุดต่ำสุดในรอบเกือบ 5 ปี เมื่อวานนี้ และนำสกุลเงินละตินอเมริกาให้อ่อนค่าลงทั่วทั้งภูมิภาค
เงินเรียลร่วงหนัก ทำให้ธนาคารกลางบราซิลออกมาประกาศว่าธนาคารกลางจะเสนอขายสกุลเงินดอลลาร์ราว 4 พันล้านดอลลาร์ในตลาดสปอต โดยผ่านทางการทำข้อตกลงซื้อคืนในวันนี้ ซึ่งจะเป็นครั้งที่สองของสัปดาห์นี้ที่ธนาคารกลางบราซิลเข้าแทรกแซงตลาด
ทางด้านสกุลเงินเปโซเม็กซิโกดิ่งลง 2.23 % สู่ 13.27 เทียบดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุด และเป็นการร่วงลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปลายเดือนมิ.ย.
สกุลเงินเปโซของเม็กซิโกและเรียลของบราซิล ร่วงลงอย่างน้อย 6 วัน ในช่วง 7 วันทำการที่ผ่านมา เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าเฟดใกล้ที่จะปรับลดคิวอี
ต่างชาติขายตราสารหนี้1.7แสนล้าน
นายชินรัตน์ สังคะคุณ ผู้จัดการกองทุน ฝ่ายลงทุนตราสารหนี้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ฟินันซ่า กล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปีจนถึงเมื่อวานนี้ (22 ส.ค.) นักลงทุนต่างชาติขายตราสารหนี้ออกมากกว่า 1.7 แสนล้านบาท ขณะที่ขายหุ้นไทยออกมากกว่า 1.1 แสนล้านบาท โดยปัจจัยหลักมาจากความกังวลกรณีเฟด เตรียมลดขนาดคิวอี ทำให้มีเงินไหลออกจากตลาดเกิดใหม่กลับไปยังสหรัฐ สอดคล้องกับตลาดในภูมิภาคเอเชีย
นายชินรัตน์ กล่าวว่า บอนด์ยิลด์ในตลาดตราสารหนี้เริ่มขยับตั้งแต่เมื่อวันที่ 21 ส.ค. ที่ผ่านมา หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.50% โดยพันธบัตรอายุ 4 ปี จากเดิมอยู่ที่ 3.24% ขยับขึ้นมาเป็น 3.26% ขณะที่วานนี้ (22 ส.ค.) ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นมาเป็น 3.35%
"บอนด์ยิลด์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าแนวโน้มดอกเบี้ยในปีหน้าอยู่ในช่วงขาขึ้น โดยเฉพาะดอกเบี้ยในสหรัฐ ทำให้มีการโยกเงินกลับ ซึ่งเห็นได้จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอินโดนีเซีย อินเดีย และมาเลเซีย ซึ่งเริ่มขยับมาถึงไทย"
'กิตติรัตน์'ถามธปท.ใช้ทุนสำรองดูแลบาท
วานนี้ (22 ส.ค.) นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เรียกประชุมหน่วยงานเศรษฐกิจเพื่อติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจประจำสัปดาห์ โดยมีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง นายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและรมช.เกษตรและสหกรณ์ นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ เข้าร่วมประชุม
นายกิตติรัตน์ กล่าวภายหลังการประชุม ว่า ขอตั้งโจทย์นี้กลับไปยังกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แล ะธปท. ว่าเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีกว่า 170 พันล้านดอลลาร์ และเงินบาทที่ดูดซับสภาพคล่องเข้าไปเก็บในระบบกว่า 3 ล้านล้านบาท ซึ่งการดูดซับสภาพคล่องจำนวนมากส่งผลเสียมาแล้ว เพราะทำให้ค่าเงินบาทไม่มีเสถียรภาพ ดังนั้นจะมีวิธีอย่างไรที่จะดูแลอัตราแลกเปลี่ยน และอัตราดอกเบี้ยทั้งเงินกู้และเงินฝาก ให้มีเสถียรภาพได้อย่างไร
เตือนไทยคล้ายช่วงวิกฤติเม็กซิโก
นายตีรณ พงศ์มฆพัฒน์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในขณะนี้อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ควรประมาท เพราะว่าสถานการณ์โลกคล้ายกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับเม็กซิโก จนนำไปสู่วิกฤติเมื่อสมัยปี 2537 ซึ่งตอนนั้นเศรษฐกิจของประเทศหลักอย่างสหรัฐอเมริกาฟื้นตัวขึ้น เงินทุนที่เคยไหลเข้าเม็กซิโกจำนวนมาก ก็เริ่มไหลออก จนนำไปสู่การปิดกิจการของสถาบันการเงินหลายแห่ง และหลังจากนั้นไม่นาน เศรษฐกิจไทยก็เกิดปัญหาขึ้นในลักษณะที่คล้ายกัน คือ ในปี 2540
สถานการณ์ในปัจจุบัน ถือว่าดีกว่าเมื่อครั้งวิกฤติปี 2540 มาก เพราะว่าเอกชนมีการดำเนินธุรกิจที่ระมัดระวังมาโดยตลอด ขณะที่สถาบันการเงินเองก็มีความแข็งแกร่ง แต่ก็มีความน่าเป็นห่วงอยู่บ้างในเรื่องของหนี้สินภาคครัวเรือนที่สูงขึ้น รวมไปถึงหนี้สาธารณะของภาครัฐ ที่เริ่มสูงขึ้นด้วยเช่นกัน
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
เงินตลาดเกิดใหม่ร่วงหนักทั่วโลก
ค่าเงินในตลาดเกิดใหม่ร่วงหนักทั่วโลก หลังจาก ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานการประชุมของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (เอฟโอเอ็มซี) แม้ว่าจะไม่กำหนดเวลาการปรับลดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) แต่ตลาดตีความไปว่าถึงอย่างไรเฟดก็จะต้องปรับลดคิวอีในเดือนหน้า
สกุลเงินตลาดเกิดใหม่ตั้งแต่บราซิลถึงอินเดีย ถูกเทขายอย่างหนักวานนี้ (22 ส.ค.) ซึ่งต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นสัปดาห์ แม้ธนาคารกลางหลายประเทศจะออกมาตรการแทรกแซงค่าเงิน แต่ก็ไม่สามารถสกัดแรงเทขายในตลาดได้ ส่งผลให้ค่าเงินแข่งกันทำสถิติต่ำสุด
ในภูมิภาคเอเชีย ค่าเงินรูปีของอินเดีย ร่วงแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์วานนี้ เช่นเดียวกับสกุลเงินอื่นในตลาดเกิดใหม่ของเอเชีย โดยเงินรูปีร่วงทะลุระดับ 65.00 ต่อดอลลาร์ โดยร่วงลงต่ำกว่าระดับต่ำสุดครั้งก่อนที่ 64.5450 ต่อดอลลาร์ เมื่อวันที่ 21 ส.ค.
"รูเปี๊ยะห์ร่วงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปีอีกครั้ง จากแรงซื้อดอลลาร์ของภาคเอกชน และจากภาวะเงินทุนไหลออก" เทรดเดอร์กล่าว
เช่นเดียวกับค่าเงินบาทร่วงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี จากแรงขายในต่างประเทศ เช่นเดียวกับเงินริงกิตมาเลเซีย ร่วงแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 3 ปี หลังจากมาเลเซียเปิดเผยข้อมูลการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ต่ำกว่าคาด และยอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่ลดลงอย่างมากในไตรมาส 2 ขณะที่เปโซร่วงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือน ตามสกุลเงินในภูมิภาค
เทรดเดอร์กล่าวว่า สกุลเงินในภูมิภาคได้แรงหนุนบางส่วน จากผลสำรวจภาคการผลิตของจีนที่ขยายตัวสูงสุดในรอบ 4 เดือนในเดือนส.ค. ซึ่งเพิ่มความหวังว่าเศรษฐกิจจีนกำลังมีเสถียรภาพ แต่ยังเผชิญกับแรงกดดันจากความวิตกเกี่ยวกับเงินทุนไหลออก ท่ามกลางการคาดการณ์ว่า เฟดอาจจะปรับลดโครงการซื้อพันธบัตร
อย่างไรก็ดี รายงานดังกล่าวไม่ได้เปลี่ยนแปลงการคาดการณ์ของตลาดที่ว่า เฟดอาจจะเริ่มปรับลดโครงการซื้อพันธบัตรวงเงิน 8.5 หมื่นล้านต่อเดือนในเดือนหน้า
ด้านตลาดหุ้นเอเชียดิ่งลงกว่า 1% หลังผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับสูงขึ้น ซึ่งทำให้ต้นทุนการกู้ยืมเพิ่มขึ้นทั่วโลกและข้อมูลเศรษฐกิจที่ดีเกินคาดของจีนก็ไม่สามารถสกัดการปรับตัวลงของตลาดได้
ดัชนีเอ็มเอสซีไอสำหรับตลาดหุ้นเอเชีย-แปซิฟิก ยกเว้นญี่ปุ่นดิ่งลง 1.1% แตะระดับต่ำสุดในรอบ 6 สัปดาห์ในวันนี้
เทรดเดอร์ชี้ธปท.แทรกแซงค่าบาท
วานนี้ ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์ร่วงลง 1% มาที่ 32.15 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุด นับตั้งแต่เดือนส.ค. 2553 ขณะที่กองทุนต่างประเทศขายบาทออกมา
ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10 ปี พุ่งขึ้นสู่ 4.21% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2553 ส่วนผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 5 ปีดีดตัวแตะระดับ 3.79%
นักบริหารเงินจากธนาคารพาณิชย์กล่าวว่ามีแรงซื้อดอลลาร์ด้วยความตื่นตระหนกอย่างมาก ซึ่งมีแนวโน้มเงินบาทอ่อนค่าลงอีก และคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ทำการขายดอลลาร์เพื่อลดความผันผวนในตลาด และสกัดการอ่อนค่าของบาท
ด้าน นางผ่องเพ็ญ เรืองวีรยุทธ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่าในช่วงนี้เงินบาทอ่อนค่าลง เพราะมีเงินทุนต่างชาติไหลออกไปลงทุนยังต่างประเทศ ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับประเทศอื่นในภูมิภาค โดยเฉพาะในประเทศตลาดเกิดใหม่ที่มีเงินทุนไหลออกเช่นเดียวกัน
"แต่ละประเทศผันผวนแตกต่างกัน ยอมรับว่าค่าเงินบาทมีค่าความผันผวนที่สูงขึ้นจากก่อนหน้านี้ โดยหลักการแล้ว ธปท. ก็พร้อมจะเข้าดูแลในกรณีที่เงินบาทอ่อนค่าลงเร็ว เพื่อดูแลให้การเคลื่อนไหวของค่าเงินมีเสถียรภาพ"
ชี้บาทอ่อนค่าเร็วเกินพื้นฐาน
นายกำพล อดิเรกสมบัติ เศรษฐกรอาวุโส ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า เงินบาทช่วงนี้ถือว่าอ่อนค่าเร็วเกินไป (Overshoot) ซึ่งเป็นผลจากการที่นักลงทุนต่างชาติเริ่มกังวลกับเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ โดยหลายประเทศเริ่มมีปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ขณะที่เฟดอาจปรับลดคิวอี
"ผมว่าเงินบาท Overshoot เกินไป เพราะต่างชาติเริ่มกังวลเกี่ยวกับการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ อย่าง อินโดนีเซีย ก็มีการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดราว 3-4% ของจีดีพี ส่วนของไทยช่วงครึ่งปีแรกก็มีผลขาดดุลอยู่เล็กน้อย”นายกำพล กล่าว
นอกจากนี้ นายกำพลเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มจะฟื้นตัวกลับมาได้ โดยเฉพาะภาคการส่งออก ซึ่งน่าจะทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยกลับมาสมดุลหรือเกินดุลได้เล็กน้อย ซึ่งถ้าจะขาดดุลก็คิดว่าคงไม่เกิน 1% ของจีดีพี ดังนั้นจึงมีแนวโน้มว่า เงินบาทอาจกลับมาแข็งค่า โดยเคลื่อนไหวอยู่ที่ 31.5 บาทต่อดอลลาร์ช่วงปลายปีนี้
นายธิติ ตันติกุลานันท์ ผู้บริหารสายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย และประธานกรรมการบริหาร บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ในช่วงเช้ามีแรงขายเงินบาทค่อนข้างรุนแรง ทำให้เงินบาทอ่อนค่าอย่างรวดเร็ว แต่ในช่วงบ่ายตลาดเริ่มนิ่งขึ้นเงินบาทจึงแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ระดับ 32.01 บาทต่อดอลลาร์
"จากนี้ไปบาทจะอ่อนไปอย่างน้อยในระยะสั้น 3 เดือนจะเป็นแนวโน้มเดียวกันทั้งภูมิภาค เนื่องจากเงินทุนที่ไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ประกอบกับตัวเลขเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงด้วย"
ค่าเงินแอฟริกา-บราซิลร่วงหนัก
ค่าเงินแรนด์ของแอฟริกาใต้ดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดใหม่ในรอบ 4 ปี เมื่อเทียบกับดอลลาร์ในการซื้อขาย หลังการเจรจาเรื่องค่าแรงในอุตสาหกรรมเหมืองทองได้หยุดชะงักลง และสหภาพแรงงานเหมืองของแอฟริกาใต้เปิดเผยว่า เตรียมแจ้งให้สมาชิกลงมติทำการผละงานประท้วง
เงินแรนด์ดิ่งลงในช่วงแรก แตะระดับ 10.4450 เทียบดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2552 ซึ่งการประท้วงจะบ่งชี้ถึงปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอ ซึ่งรวมถึงยอดขาดดุลงบประมาณ และยอดขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่เพิ่มขึ้น
ด้านโฆษกธนาคารกลางบราซิล กล่าวว่า นายอเล็กซานเดร ทอมบินี ประธานธนาคารกลางบราซิล ได้ยกเลิกการเดินทางเยือนสหรัฐเพื่อเข้าร่วมการประชุมกับเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางระดับโลก ที่เมืองแจ็คสัน โฮล รัฐไวโอมิง ระหว่างวันที่ 22-24 ส.ค.นี้ เพื่อจับตาตลาดการเงินของบราซิล
สกุลเงินเรียลของบราซิล ดิ่งลงสู่จุดต่ำสุดในรอบเกือบ 5 ปี เมื่อวานนี้ และนำสกุลเงินละตินอเมริกาให้อ่อนค่าลงทั่วทั้งภูมิภาค
เงินเรียลร่วงหนัก ทำให้ธนาคารกลางบราซิลออกมาประกาศว่าธนาคารกลางจะเสนอขายสกุลเงินดอลลาร์ราว 4 พันล้านดอลลาร์ในตลาดสปอต โดยผ่านทางการทำข้อตกลงซื้อคืนในวันนี้ ซึ่งจะเป็นครั้งที่สองของสัปดาห์นี้ที่ธนาคารกลางบราซิลเข้าแทรกแซงตลาด
ทางด้านสกุลเงินเปโซเม็กซิโกดิ่งลง 2.23 % สู่ 13.27 เทียบดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุด และเป็นการร่วงลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปลายเดือนมิ.ย.
สกุลเงินเปโซของเม็กซิโกและเรียลของบราซิล ร่วงลงอย่างน้อย 6 วัน ในช่วง 7 วันทำการที่ผ่านมา เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าเฟดใกล้ที่จะปรับลดคิวอี
ต่างชาติขายตราสารหนี้1.7แสนล้าน
นายชินรัตน์ สังคะคุณ ผู้จัดการกองทุน ฝ่ายลงทุนตราสารหนี้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ฟินันซ่า กล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปีจนถึงเมื่อวานนี้ (22 ส.ค.) นักลงทุนต่างชาติขายตราสารหนี้ออกมากกว่า 1.7 แสนล้านบาท ขณะที่ขายหุ้นไทยออกมากกว่า 1.1 แสนล้านบาท โดยปัจจัยหลักมาจากความกังวลกรณีเฟด เตรียมลดขนาดคิวอี ทำให้มีเงินไหลออกจากตลาดเกิดใหม่กลับไปยังสหรัฐ สอดคล้องกับตลาดในภูมิภาคเอเชีย
นายชินรัตน์ กล่าวว่า บอนด์ยิลด์ในตลาดตราสารหนี้เริ่มขยับตั้งแต่เมื่อวันที่ 21 ส.ค. ที่ผ่านมา หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.50% โดยพันธบัตรอายุ 4 ปี จากเดิมอยู่ที่ 3.24% ขยับขึ้นมาเป็น 3.26% ขณะที่วานนี้ (22 ส.ค.) ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นมาเป็น 3.35%
"บอนด์ยิลด์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าแนวโน้มดอกเบี้ยในปีหน้าอยู่ในช่วงขาขึ้น โดยเฉพาะดอกเบี้ยในสหรัฐ ทำให้มีการโยกเงินกลับ ซึ่งเห็นได้จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอินโดนีเซีย อินเดีย และมาเลเซีย ซึ่งเริ่มขยับมาถึงไทย"
'กิตติรัตน์'ถามธปท.ใช้ทุนสำรองดูแลบาท
วานนี้ (22 ส.ค.) นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เรียกประชุมหน่วยงานเศรษฐกิจเพื่อติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจประจำสัปดาห์ โดยมีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง นายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและรมช.เกษตรและสหกรณ์ นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ เข้าร่วมประชุม
นายกิตติรัตน์ กล่าวภายหลังการประชุม ว่า ขอตั้งโจทย์นี้กลับไปยังกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แล ะธปท. ว่าเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีกว่า 170 พันล้านดอลลาร์ และเงินบาทที่ดูดซับสภาพคล่องเข้าไปเก็บในระบบกว่า 3 ล้านล้านบาท ซึ่งการดูดซับสภาพคล่องจำนวนมากส่งผลเสียมาแล้ว เพราะทำให้ค่าเงินบาทไม่มีเสถียรภาพ ดังนั้นจะมีวิธีอย่างไรที่จะดูแลอัตราแลกเปลี่ยน และอัตราดอกเบี้ยทั้งเงินกู้และเงินฝาก ให้มีเสถียรภาพได้อย่างไร
เตือนไทยคล้ายช่วงวิกฤติเม็กซิโก
นายตีรณ พงศ์มฆพัฒน์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในขณะนี้อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ควรประมาท เพราะว่าสถานการณ์โลกคล้ายกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับเม็กซิโก จนนำไปสู่วิกฤติเมื่อสมัยปี 2537 ซึ่งตอนนั้นเศรษฐกิจของประเทศหลักอย่างสหรัฐอเมริกาฟื้นตัวขึ้น เงินทุนที่เคยไหลเข้าเม็กซิโกจำนวนมาก ก็เริ่มไหลออก จนนำไปสู่การปิดกิจการของสถาบันการเงินหลายแห่ง และหลังจากนั้นไม่นาน เศรษฐกิจไทยก็เกิดปัญหาขึ้นในลักษณะที่คล้ายกัน คือ ในปี 2540
สถานการณ์ในปัจจุบัน ถือว่าดีกว่าเมื่อครั้งวิกฤติปี 2540 มาก เพราะว่าเอกชนมีการดำเนินธุรกิจที่ระมัดระวังมาโดยตลอด ขณะที่สถาบันการเงินเองก็มีความแข็งแกร่ง แต่ก็มีความน่าเป็นห่วงอยู่บ้างในเรื่องของหนี้สินภาคครัวเรือนที่สูงขึ้น รวมไปถึงหนี้สาธารณะของภาครัฐ ที่เริ่มสูงขึ้นด้วยเช่นกัน
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์