http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=49345
นายเมธี สุภาพงษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเงิน กล่าวว่าตัวเลขเศรษฐกิจไทยในเดือนก.ค. 2556 พบว่ายังมีตัวเลขหลายตัวที่ชะลอลงต่อเนื่อง ทำให้ธปท.ไม่กล้ายืนยันว่าเศรษฐกิจไทยในเวลานี้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้วหรือไม่ โดยรอดูตัวเลขเดือนส.ค.
ก่อนหน้านี้สำนักเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้รายงานเศรษฐกิจเดือนก.ค.ว่า ภาวะเศรษฐกิจของไทยชะลอตัวแตะจุดต่ำสุดแล้ว และมีแนวโน้มที่จะดีขึ้นในช่วงเดือนที่เหลือของปี
"ถ้าดูตัวเลขในภาพรวม ตัวที่ชะลอมันมากกว่าตัวเลขที่ดีขึ้น จึงยังต้องรอดูอัตราการชะลอตัวก่อน แต่เราไม่ได้กังวลกับการชะลอตัวมากนัก เพราะการจะดูว่าเศรษฐกิจชะลอมากน้อยแค่ไหนก็ต้องดูพื้นฐานด้วยว่าดีหรือไม่ ถ้าปัจจัยพื้นฐานดี ก็สามารถฟื้นตัวได้ดี ซึ่งเรายังมั่นใจว่าครึ่งปีหลังเศรษฐกิจไทยน่าจะฟื้นตัวขึ้นได้" นายเมธีกล่าวในการแถลงเศรษฐกิจและการเงินเดือนก.ค.2556
นายเมธีกล่าวว่าตัวเลขเศรษฐกิจเดือนก.ค. พบว่ายังคงชะลอตัวลงต่อเนื่องในหลายๆ ภาค ทั้งภาคการอุปโภคบริโภคที่หดตัวลง โดยดัชนีการบริโภคภาคเอกชนเดือนก.ค. หดตัว 0.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และหดตัวลง 0.5% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้านี้ ขณะที่มูลค่าการส่งออกก็ลดลงเหลือ 18,804 ล้านดอลลาร์ หดตัวลง 1.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
"การหดตัวของภาคการบริโภค เป็นไปตามการหดตัวของการซื้อรถยนต์และสินค้าคงทนอื่น ซึ่งเป็นผลจากการส่งมอบรถยนต์ในมาตรการคือเงินภาษีรถยนต์คันแรกที่ทยอยหมดลง รวมทั้งคำสั่งซื้อใหม่มีน้อยลง ขณะเดียวกันครัวเรือนเริ่มเพิ่มความระมัดระวังการใช้จ่ายจากภาระหนี้ที่สูงขึ้น" นายเมธีกล่าว
การบริโภคและการส่งออกลดลง ส่งผลให้การผลิตสินค้าอุตสาหกรรมและการลงทุนภาคเอกชนหดตัวตามไปด้วย โดยดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมหดตัว 4.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่ดัชนีการลงทุนภาคเอกชน หดตัว 5.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และหดตัว 0.2% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้านี้
"การหดตัวของดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมนั้น เป็นผลจากการผลิตยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ลดลง เนื่องจากอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศชะลอลง รวมทั้งการผลิตอาหารทะเลแปรรูปจากปัญหาการขาดแคลนกุ้ง และ การผลิตฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ที่ผู้บริโภคเปลี่ยนความนิยมไปใช้แทบเล็ตและสมาร์ทโฟนมากขึ้น" นายเมธีกล่าว
ความเชื่อมั่นธุรกิจเดือนก.ค.ลดลง
นอกจากนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจเดือนก.ค.ก็ปรับลดลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ 48.3 ลดลงจากเดือนก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 49.9 อันเป็นผลจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมที่ชะลอตัวลงต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามความเชื่อมั่นภาคธุรกิจในอีก 3 เดือนข้างหน้ายังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยอยู่ที่ 53.3 สะท้อนว่าอนาคตยังมีความเชื่อมั่นและผู้ประกอบการเองก็พร้อมที่จะลงทุนต่อเนื่อง
สำหรับตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนก.ค.ยังคงมียอดการขาดดุลต่อเนื่อง จำนวน 709 ดอลลาร์ ส่วนใหญ่เป็นผลจากภาคธุรกิจต่างประเทศมีการส่งกำไรจากเงินลงทุนและปันผลที่ได้รับกลับประเทศจำนวนมาก โดยเฉพาะธุรกิจยานยนต์ซึ่งมีผลประกอบการค่อนข้างดี รวมทั้งไทยยังมีการนำเข้าทองคำจำนวนมาก จึงทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลต่อเนื่อง ส่วนดุลเงินทุนเคลื่อนย้าย เดือนก.ค.มียอดการไหลออกของเงินสุทธิอยู่ที่ 439 ล้านดอลลาร์
หักนำเข้าทองคำเกินดุลบัญชี
จากข้อมูลของธปท.พบว่า ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยในเดือนก.ค.นั้น ถือเป็นการขาดดุลเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน โดยเดือนเม.ย.มียอดขาดดุล 3,361 ล้านดอลลาร์ เดือนพ.ค.ขาดดุล 1,051 ล้านดอลลาร์ และเดือนมิ.ย.ขาดดุล 664 ล้านดอลลาร์
นายเมธี กล่าวว่า ถ้าหักการนำเข้าทองคำซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับปัจจัยการผลิตออก พบว่าดุลบัญชีเดินสะพัดในเดือนก.ค.จะเป็นยอดเกินดุล 300 ล้านดอลลาร์ และยอดรวมครึ่งปีจะมียอดเกินดุล 4.7 พันล้านดอลลาร์ จากที่นับรวมทองคำจะเป็นยอดขาดดุล 3.8 พันล้านดอลลาร์
ส่วนสถานการณ์การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยกับอินเดีย ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการนำเข้าทองคำจำนวนมากนั้น นายเมธี กล่าวว่า มีจุดที่ไม่เหมือนกันอยู่บ้าง คือ พื้นฐานเศรษฐกิจไทยกับอินเดียมีความแตกต่างกัน
ระบุเสถียรภาพโดยรวมยังดี
นายเมธี ยังกล่าวด้วยว่า แม้ตัวเลขเศรษฐกิจเดือนก.ค. ที่ออกมา มีหลายตัวชะลอลงต่อเนื่อง แต่ถ้าดูเสถียรภาพเศรษฐกิจไทยโดยรวมแล้วถือว่ายังดีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเงินเฟ้อที่ชะลอลงจากเดือนก่อนมาอยู่ที่ 2% การว่างงานยังคงอยู่ระดับต่ำ ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจบางตัวก็ดีขึ้นต่อเนื่อง เช่น ภาคการท่องเที่ยว โดยเดือนก.ค.มีจำนวนนักท่องเที่ยวรวม 2.2 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 22.5% โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยว จีน มาเลเซีย และรัสเซีย
ส่วนกรณีที่ภาครัฐมีแผนปรับเพิ่มราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) เดือนละ 0.5 บาทต่อกิโลกรัม รวมถึงการปรับขึ้นค่าทางด่วนอีก 5 บาทนั้น เรื่องนี้ ธปท. ได้นำมาคำนวณในประมาณการเงินเฟ้อเรียบร้อยแล้ว เชื่อว่าการปรับขึ้นของราคาสินค้าดังกล่าวจะไม่ส่งผลต่อเงินเฟ้อมากนัก
ไม่ห่วงเงินเฟ้อเชื่อน้ำมันพุ่งระยะสั้น
นางสุชาดา กิระกุล ที่ปรึกษาธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่าสถานการณ์ความรุนแรงในซีเรียนั้น อาจส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกให้ปรับเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งถ้าราคาน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่มขึ้นนั้น คงมีผลต่อกลุ่มประเทศที่ต้องน้ำเข้าด้วย โดยในส่วนของประเทศไทย เชื่อว่าขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงบริษัทน้ำมันต่างๆ คงเร่งเตรียมสำรองน้ำมันเพิ่ม และอาจทำการป้องกันความเสี่ยงจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นด้วย
ส่วนผลกระทบต่อเงินเฟ้อนั้น เชื่อว่าคงไม่มากนัก เพราะปัจจุบันเงินเฟ้อไทยไม่ได้สูง โดย ธปท. ได้ประมาณการตัวเลขเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปีในปีนี้ไว้ที่ 2.2-2.3% ซึ่งเป็นระดับค่อนข้างต่ำ สามารถรองรับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นได้ และสถานการณ์ดังกล่าว คิดว่าเป็นเพียงสถานการณ์ระยะสั้นเท่านั้น
นอกจากนี้ นางสุชาดา ยังเชื่อว่า สถานการณ์ความรุนแรงในซีเรียจะไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นฐานเศรษฐกิจไทย เพราะปัจจัยที่มีผลต่อเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ส่วนใหญ่เป็นสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยมากกว่า ซึ่งยอมรับว่าระยะสั้นยังมีประเด็นที่ต้องติดตาม เพราะแม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะฟื้นตัวได้ แต่การฟื้นตัวยังไม่ชัดเจนนัก ขณะที่เศรษฐกิจกลุ่มภูมิภาคเอเชียที่เคยแข็งแกร่งก็เริ่มอ่อนแอลง
อย่างไรก็ตามโดยพื้นฐานเศรษฐกิจไทยเองถือว่ายังมีความแข็งแกร่ง และมีเสถียรภาพในระดับที่ดี สะท้อนผ่านระบบสถาบันการเงินที่เข้มแข็ง และเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่อยู่ระดับต่ำ รวมทั้งหนี้ต่างประเทศก็ไม่ได้สูงมากนัก
นายกฯอินเดียเมินควบคุมเงินทุน
นายกรัฐมนตรีมานโมฮัน ซิงห์แห่งอินเดีย กล่าวต่อสภาว่าการทรุดตัวของค่าเงินรูปี ก่อให้เกิดความวิตก และเป็นปฏิกิริยาของตลาดต่อเหตุการณ์ภายนอกประเทศ อย่างแนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐจะลดการเข้าซื้อพันธบัตร และความตึงเครียดกรณีซีเรีย
นายซิงห์ กล่าวว่า ทางการจะรับมือการอ่อนค่าของเงินรูปีด้วยมาตรการอื่นๆ ที่ไม่ใช่มาตรการควบคุมเงินทุน หรือระงับกระบวนการปฏิรูป พร้อมยอมรับว่าเศรษฐกิจอินเดียกำลังเผชิญช่วงเวลาที่ท้าทาย แต่ระบุว่าปัจจัยพื้นฐานยังแข็งแกร่ง ระบบธนาคารมีเงินทุนสูงกว่าข้อกำหนดระหว่างประเทศ และคาดว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวในครึ่งหลังของปีนี้
"ผมอยากรับรองกับสภาและประเทศต่างๆ ในโลก ว่ารัฐบาลจะไม่นำมาตรการดังกล่าวมาใช้ ในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมาอินเดียเติบโตขึ้นมาก ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะมีการยกเลิกนโยบายต่างๆ เพียงเพราะมีความปั่นป่วนในตลาดทุนและตลาดเงิน" นายซิงห์ กล่าว
คำกล่าวของนายซิงห์มีขึ้น หลังจากนักลงทุนต่างชาติแสดงความวิตกว่ารัฐบาลอาจใช้มาตรการควบคุมเงินทุนเพื่อสกัดการอ่อนค่าของเงินรูปี
นายซิงห์ กล่าวว่า ในช่วงที่กระแสทุนไหลออกจากตลาดเกิดใหม่นั้น เงินรูปีได้รับผลกระทบอย่างมากเพราะขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในระดับสูง ทั้งยังมีปัจจัยอย่างการนำเข้าทองคำปริมาณมาก และต้นทุนน้ำมันดิบกับถ่านหินที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ไม่มีอันตรายที่อินเดียจะเผชิญประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหมือนเมื่อครั้งวิกฤติดุลการชำระเงินปี 2534
ล่าสุดค่าเงินรูปีอยู่ที่ 66.64 รูปีต่อดอลลาร์ จาก 67.80 รูปีต่อดอลลาร์ ซึ่งนับว่าแข็งค่าจากระดับต่ำเป็นประวัติการณ์เมื่อวันพุธ (28 ส.ค.) ที่เกือบ 69 รูปีต่อดอลลาร์ โดยนับจากเดือนพ.ค.ค่าเงินรูปีลดลงไปกว่า 16%
นายกรัฐมนตรีอินเดียกล่าวว่ามีความจำเป็นต้องลดการนำเข้าทองคำ ประหยัดการใช้ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับน้ำมัน และเพิ่มการส่งออก รวมถึงลดเงินอุดหนุนที่ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่คนจน พร้อมระบุว่ามาตรการในการจำกัดการไหลออกของเงินทุนและการลดนำเข้าทองคำเพื่อลดช่องว่างการค้า จะส่งผลในที่สุด พร้อมกันนี้เขาได้เตือนให้ประชาชนเตรียมตัวรับมือราคาสินค้าสูงขึ้น เนื่องจากการทรุดตัวของเงินรูปี อันจะทำให้สินค้านำเข้ามีราคาแพงขึ้น โดยเฉพาะเชื้อเพลิง
ทั้งนี้ อินเดียนำเงินน้ำมันเกือบ 80% และความขัดแย้งในซีเรียทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกพุ่งขึ้น ซึ่งยิ่งมีผลให้ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดมากขึ้น
สำหรับค่าเงินสกุลอื่นในตลาดเกิดใหม่แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย โดยเงินรูเปี๊ยะห์ของอินโดนีเซียอยู่ที่ 10,920 รูเปี๊ยะห์ต่อดอลลาร์ จาก 11,000 รูเปี๊ยะห์ เงินเปโซของฟิลิปปินส์อยู่ที่ 44.61 จาก 44.75 เงินริงกิตของมาเลเซียอยู่ที่ 3.2820 จาก 3.3135
กองข่าวนะ ไม่ใช่กองแช่ง ไม่ใช่กองเชียร์
แบงก์ชาติชี้ครึ่งปีหลังเศรษฐกิจฟื้นตัว
นายเมธี สุภาพงษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเงิน กล่าวว่าตัวเลขเศรษฐกิจไทยในเดือนก.ค. 2556 พบว่ายังมีตัวเลขหลายตัวที่ชะลอลงต่อเนื่อง ทำให้ธปท.ไม่กล้ายืนยันว่าเศรษฐกิจไทยในเวลานี้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้วหรือไม่ โดยรอดูตัวเลขเดือนส.ค.
ก่อนหน้านี้สำนักเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้รายงานเศรษฐกิจเดือนก.ค.ว่า ภาวะเศรษฐกิจของไทยชะลอตัวแตะจุดต่ำสุดแล้ว และมีแนวโน้มที่จะดีขึ้นในช่วงเดือนที่เหลือของปี
"ถ้าดูตัวเลขในภาพรวม ตัวที่ชะลอมันมากกว่าตัวเลขที่ดีขึ้น จึงยังต้องรอดูอัตราการชะลอตัวก่อน แต่เราไม่ได้กังวลกับการชะลอตัวมากนัก เพราะการจะดูว่าเศรษฐกิจชะลอมากน้อยแค่ไหนก็ต้องดูพื้นฐานด้วยว่าดีหรือไม่ ถ้าปัจจัยพื้นฐานดี ก็สามารถฟื้นตัวได้ดี ซึ่งเรายังมั่นใจว่าครึ่งปีหลังเศรษฐกิจไทยน่าจะฟื้นตัวขึ้นได้" นายเมธีกล่าวในการแถลงเศรษฐกิจและการเงินเดือนก.ค.2556
นายเมธีกล่าวว่าตัวเลขเศรษฐกิจเดือนก.ค. พบว่ายังคงชะลอตัวลงต่อเนื่องในหลายๆ ภาค ทั้งภาคการอุปโภคบริโภคที่หดตัวลง โดยดัชนีการบริโภคภาคเอกชนเดือนก.ค. หดตัว 0.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และหดตัวลง 0.5% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้านี้ ขณะที่มูลค่าการส่งออกก็ลดลงเหลือ 18,804 ล้านดอลลาร์ หดตัวลง 1.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
"การหดตัวของภาคการบริโภค เป็นไปตามการหดตัวของการซื้อรถยนต์และสินค้าคงทนอื่น ซึ่งเป็นผลจากการส่งมอบรถยนต์ในมาตรการคือเงินภาษีรถยนต์คันแรกที่ทยอยหมดลง รวมทั้งคำสั่งซื้อใหม่มีน้อยลง ขณะเดียวกันครัวเรือนเริ่มเพิ่มความระมัดระวังการใช้จ่ายจากภาระหนี้ที่สูงขึ้น" นายเมธีกล่าว
การบริโภคและการส่งออกลดลง ส่งผลให้การผลิตสินค้าอุตสาหกรรมและการลงทุนภาคเอกชนหดตัวตามไปด้วย โดยดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมหดตัว 4.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่ดัชนีการลงทุนภาคเอกชน หดตัว 5.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และหดตัว 0.2% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้านี้
"การหดตัวของดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมนั้น เป็นผลจากการผลิตยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ลดลง เนื่องจากอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศชะลอลง รวมทั้งการผลิตอาหารทะเลแปรรูปจากปัญหาการขาดแคลนกุ้ง และ การผลิตฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ที่ผู้บริโภคเปลี่ยนความนิยมไปใช้แทบเล็ตและสมาร์ทโฟนมากขึ้น" นายเมธีกล่าว
ความเชื่อมั่นธุรกิจเดือนก.ค.ลดลง
นอกจากนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจเดือนก.ค.ก็ปรับลดลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ 48.3 ลดลงจากเดือนก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 49.9 อันเป็นผลจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมที่ชะลอตัวลงต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามความเชื่อมั่นภาคธุรกิจในอีก 3 เดือนข้างหน้ายังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยอยู่ที่ 53.3 สะท้อนว่าอนาคตยังมีความเชื่อมั่นและผู้ประกอบการเองก็พร้อมที่จะลงทุนต่อเนื่อง
สำหรับตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนก.ค.ยังคงมียอดการขาดดุลต่อเนื่อง จำนวน 709 ดอลลาร์ ส่วนใหญ่เป็นผลจากภาคธุรกิจต่างประเทศมีการส่งกำไรจากเงินลงทุนและปันผลที่ได้รับกลับประเทศจำนวนมาก โดยเฉพาะธุรกิจยานยนต์ซึ่งมีผลประกอบการค่อนข้างดี รวมทั้งไทยยังมีการนำเข้าทองคำจำนวนมาก จึงทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลต่อเนื่อง ส่วนดุลเงินทุนเคลื่อนย้าย เดือนก.ค.มียอดการไหลออกของเงินสุทธิอยู่ที่ 439 ล้านดอลลาร์
หักนำเข้าทองคำเกินดุลบัญชี
จากข้อมูลของธปท.พบว่า ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยในเดือนก.ค.นั้น ถือเป็นการขาดดุลเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน โดยเดือนเม.ย.มียอดขาดดุล 3,361 ล้านดอลลาร์ เดือนพ.ค.ขาดดุล 1,051 ล้านดอลลาร์ และเดือนมิ.ย.ขาดดุล 664 ล้านดอลลาร์
นายเมธี กล่าวว่า ถ้าหักการนำเข้าทองคำซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับปัจจัยการผลิตออก พบว่าดุลบัญชีเดินสะพัดในเดือนก.ค.จะเป็นยอดเกินดุล 300 ล้านดอลลาร์ และยอดรวมครึ่งปีจะมียอดเกินดุล 4.7 พันล้านดอลลาร์ จากที่นับรวมทองคำจะเป็นยอดขาดดุล 3.8 พันล้านดอลลาร์
ส่วนสถานการณ์การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยกับอินเดีย ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการนำเข้าทองคำจำนวนมากนั้น นายเมธี กล่าวว่า มีจุดที่ไม่เหมือนกันอยู่บ้าง คือ พื้นฐานเศรษฐกิจไทยกับอินเดียมีความแตกต่างกัน
ระบุเสถียรภาพโดยรวมยังดี
นายเมธี ยังกล่าวด้วยว่า แม้ตัวเลขเศรษฐกิจเดือนก.ค. ที่ออกมา มีหลายตัวชะลอลงต่อเนื่อง แต่ถ้าดูเสถียรภาพเศรษฐกิจไทยโดยรวมแล้วถือว่ายังดีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเงินเฟ้อที่ชะลอลงจากเดือนก่อนมาอยู่ที่ 2% การว่างงานยังคงอยู่ระดับต่ำ ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจบางตัวก็ดีขึ้นต่อเนื่อง เช่น ภาคการท่องเที่ยว โดยเดือนก.ค.มีจำนวนนักท่องเที่ยวรวม 2.2 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 22.5% โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยว จีน มาเลเซีย และรัสเซีย
ส่วนกรณีที่ภาครัฐมีแผนปรับเพิ่มราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) เดือนละ 0.5 บาทต่อกิโลกรัม รวมถึงการปรับขึ้นค่าทางด่วนอีก 5 บาทนั้น เรื่องนี้ ธปท. ได้นำมาคำนวณในประมาณการเงินเฟ้อเรียบร้อยแล้ว เชื่อว่าการปรับขึ้นของราคาสินค้าดังกล่าวจะไม่ส่งผลต่อเงินเฟ้อมากนัก
ไม่ห่วงเงินเฟ้อเชื่อน้ำมันพุ่งระยะสั้น
นางสุชาดา กิระกุล ที่ปรึกษาธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่าสถานการณ์ความรุนแรงในซีเรียนั้น อาจส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกให้ปรับเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งถ้าราคาน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่มขึ้นนั้น คงมีผลต่อกลุ่มประเทศที่ต้องน้ำเข้าด้วย โดยในส่วนของประเทศไทย เชื่อว่าขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงบริษัทน้ำมันต่างๆ คงเร่งเตรียมสำรองน้ำมันเพิ่ม และอาจทำการป้องกันความเสี่ยงจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นด้วย
ส่วนผลกระทบต่อเงินเฟ้อนั้น เชื่อว่าคงไม่มากนัก เพราะปัจจุบันเงินเฟ้อไทยไม่ได้สูง โดย ธปท. ได้ประมาณการตัวเลขเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปีในปีนี้ไว้ที่ 2.2-2.3% ซึ่งเป็นระดับค่อนข้างต่ำ สามารถรองรับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นได้ และสถานการณ์ดังกล่าว คิดว่าเป็นเพียงสถานการณ์ระยะสั้นเท่านั้น
นอกจากนี้ นางสุชาดา ยังเชื่อว่า สถานการณ์ความรุนแรงในซีเรียจะไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นฐานเศรษฐกิจไทย เพราะปัจจัยที่มีผลต่อเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ส่วนใหญ่เป็นสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยมากกว่า ซึ่งยอมรับว่าระยะสั้นยังมีประเด็นที่ต้องติดตาม เพราะแม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะฟื้นตัวได้ แต่การฟื้นตัวยังไม่ชัดเจนนัก ขณะที่เศรษฐกิจกลุ่มภูมิภาคเอเชียที่เคยแข็งแกร่งก็เริ่มอ่อนแอลง
อย่างไรก็ตามโดยพื้นฐานเศรษฐกิจไทยเองถือว่ายังมีความแข็งแกร่ง และมีเสถียรภาพในระดับที่ดี สะท้อนผ่านระบบสถาบันการเงินที่เข้มแข็ง และเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่อยู่ระดับต่ำ รวมทั้งหนี้ต่างประเทศก็ไม่ได้สูงมากนัก
นายกฯอินเดียเมินควบคุมเงินทุน
นายกรัฐมนตรีมานโมฮัน ซิงห์แห่งอินเดีย กล่าวต่อสภาว่าการทรุดตัวของค่าเงินรูปี ก่อให้เกิดความวิตก และเป็นปฏิกิริยาของตลาดต่อเหตุการณ์ภายนอกประเทศ อย่างแนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐจะลดการเข้าซื้อพันธบัตร และความตึงเครียดกรณีซีเรีย
นายซิงห์ กล่าวว่า ทางการจะรับมือการอ่อนค่าของเงินรูปีด้วยมาตรการอื่นๆ ที่ไม่ใช่มาตรการควบคุมเงินทุน หรือระงับกระบวนการปฏิรูป พร้อมยอมรับว่าเศรษฐกิจอินเดียกำลังเผชิญช่วงเวลาที่ท้าทาย แต่ระบุว่าปัจจัยพื้นฐานยังแข็งแกร่ง ระบบธนาคารมีเงินทุนสูงกว่าข้อกำหนดระหว่างประเทศ และคาดว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวในครึ่งหลังของปีนี้
"ผมอยากรับรองกับสภาและประเทศต่างๆ ในโลก ว่ารัฐบาลจะไม่นำมาตรการดังกล่าวมาใช้ ในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมาอินเดียเติบโตขึ้นมาก ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะมีการยกเลิกนโยบายต่างๆ เพียงเพราะมีความปั่นป่วนในตลาดทุนและตลาดเงิน" นายซิงห์ กล่าว
คำกล่าวของนายซิงห์มีขึ้น หลังจากนักลงทุนต่างชาติแสดงความวิตกว่ารัฐบาลอาจใช้มาตรการควบคุมเงินทุนเพื่อสกัดการอ่อนค่าของเงินรูปี
นายซิงห์ กล่าวว่า ในช่วงที่กระแสทุนไหลออกจากตลาดเกิดใหม่นั้น เงินรูปีได้รับผลกระทบอย่างมากเพราะขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในระดับสูง ทั้งยังมีปัจจัยอย่างการนำเข้าทองคำปริมาณมาก และต้นทุนน้ำมันดิบกับถ่านหินที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ไม่มีอันตรายที่อินเดียจะเผชิญประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหมือนเมื่อครั้งวิกฤติดุลการชำระเงินปี 2534
ล่าสุดค่าเงินรูปีอยู่ที่ 66.64 รูปีต่อดอลลาร์ จาก 67.80 รูปีต่อดอลลาร์ ซึ่งนับว่าแข็งค่าจากระดับต่ำเป็นประวัติการณ์เมื่อวันพุธ (28 ส.ค.) ที่เกือบ 69 รูปีต่อดอลลาร์ โดยนับจากเดือนพ.ค.ค่าเงินรูปีลดลงไปกว่า 16%
นายกรัฐมนตรีอินเดียกล่าวว่ามีความจำเป็นต้องลดการนำเข้าทองคำ ประหยัดการใช้ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับน้ำมัน และเพิ่มการส่งออก รวมถึงลดเงินอุดหนุนที่ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่คนจน พร้อมระบุว่ามาตรการในการจำกัดการไหลออกของเงินทุนและการลดนำเข้าทองคำเพื่อลดช่องว่างการค้า จะส่งผลในที่สุด พร้อมกันนี้เขาได้เตือนให้ประชาชนเตรียมตัวรับมือราคาสินค้าสูงขึ้น เนื่องจากการทรุดตัวของเงินรูปี อันจะทำให้สินค้านำเข้ามีราคาแพงขึ้น โดยเฉพาะเชื้อเพลิง
ทั้งนี้ อินเดียนำเงินน้ำมันเกือบ 80% และความขัดแย้งในซีเรียทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกพุ่งขึ้น ซึ่งยิ่งมีผลให้ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดมากขึ้น
สำหรับค่าเงินสกุลอื่นในตลาดเกิดใหม่แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย โดยเงินรูเปี๊ยะห์ของอินโดนีเซียอยู่ที่ 10,920 รูเปี๊ยะห์ต่อดอลลาร์ จาก 11,000 รูเปี๊ยะห์ เงินเปโซของฟิลิปปินส์อยู่ที่ 44.61 จาก 44.75 เงินริงกิตของมาเลเซียอยู่ที่ 3.2820 จาก 3.3135
กองข่าวนะ ไม่ใช่กองแช่ง ไม่ใช่กองเชียร์