นับตั้งแต่ต้นปีมา เงินรูเปี๊ยะห์ของอินโดนีเซีย ร่วงลงแล้ว 5.71% แม้ว่าทางการอินโดนีเซีย ใช้มาตรการต่างๆ เพื่อสกัดการดิ่งลงของค่าเงิน ว่าจะเป็นการขึ้นดอกเบี้ยถึง 4 ครั้ง, ใช้ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศเข้าซื้อรูเปี๊ยะห์, ออกมาตรการสกัดการนำเข้าสินค้า เพื่อคุมขาดดุลบัญชีเดินสะพัด
ล่าสุด เช้าวันนี้ รัฐบาลอินโดนีเซียได้ตัดสินใจชะลอโครงการพลังงานไฟฟ้า ขนาด 35 กิกะวัตต์ มูลค่า 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ เพราะต้องแก้ปัญหายอดขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่สูงขึ้น และส่งผลกระทบทำให้เงินรูเปียะห์ถูกเทขายอย่างหนัก
การเลื่อนโครงการดังกล่าว คาดว่าจะช่วยลดการนำเข้าได้ 8 พันล้านดอลลาร์-1 หมื่นล้านดอลลาร์ ทั้งนี้รัฐบาลอินโดนีเซียตัดสินใจเลื่อนโครงการ หลังจากที่ค่าเงินรูเปี๊ยะห์ ดิ่งลงใกล้แตะระดับ 15,000 ต่อดอลลาร์ ต่ำสุดตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินในภูมิภาคเมื่อ 20 ปีที่แล้ว
นายเองการ์เทียสโต ลูคิตา รมว.การค้าอินโดนีเซีย ระบุว่า เงินรูเปี๊ยะห์ได้รับผลกระทบจากการธนาคารกลางสหรัฐปรับขึ้นดอกเบี้ย รวมทั้งการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ นักลงทุนจึงหันไปถือครองเงินดอลลาร์ ทำให้ดอลลาร์แข็งค่า
ขณะที่ มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส มีท่าทีกังวลต่อสถานการณ์ในอินโดนีเซีย เนื่องจากพันธบัตรรัฐบาลอินโดนีเซีย 41% อยู่ในรูปสกุลเงินต่างประเทศ หากรูเปี๊ยะห์อ่อนค่าลงเรื่อยๆ รัฐบาลอินโดฯต้องใช้เงินรูเปี๊ยะห์มากขึ้น เพื่อชำระหนี้พันธบัตรดังกล่าว
อินโดนีเซีย มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 4 ของเอเชีย คือราว 6.2% โดยจีนใหญ่สุดที่ 44.5%, อินเดีย 18.1% และญี่ปุ่น 9.6%
ไม่เพียงแต่ค่าเงินของอินโดนีเซียเท่านั้นที่อ่อนค่า นับจากต้นปีมา ภาพรวมค่าเงินเอชียอ่อนค่าลงในทิศทางเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น รูปีของอินเดีย อ่อนค่า 6.85%, เปโซของฟิลิปปินส์ 6.71%, รูเปียะห์ของอินโดนีเซีย 5.71%, หยวนของจีน 2.42% และเงินบาทของไทย 2.07%
มีรายงานที่น่าสนใจจากสำนักข่าว CNBC ระบุว่า ในปี 2013 (ปี 2556) ประเทศที่เรียกว่า เป็นกลุ่มเปราะบาง 5 ประเทศ ได้แก่ บราซิล อินเดีย อินโดนีเซีย ตุรกี และแอฟริกาใต้ ต่างมีปัญหาคล้ายกัน คือ การดิ่งลงของค่าเงิน, การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูง และการเมืองไร้เสถียรภาพ
ช่วงหลังๆ นี้ เงินทุนต่างชาติไหลกลับเข้าประเทศเหล่านี้ใหม่อีกรอบ เช่น อินเดียและอินโดนีเซีย ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน
แต่ตอนนี้นักลงทุนเริ่มกังวลว่า ภาพในอดีตอาจกำลังหวนกลับมาอีกครั้งหนึ่ง โดยต้นตอของปัญหา มีทั้งเงินดอลลาร์ที่แข็งค่า ข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯกับประเทศคู่ค้า, สงครามการค้าสหรัฐฯกับจีน, ดอกเบี้ยสหรัฐฯขาขึ้น ปัจจัยลบเหล่านี้กำลังรวมตัวกันจนกลายเป็นวิกฤตรอบใหม่
CNBC ระบุว่า วิกฤตการณ์ครั้งนี้ กำลังสร้างความปั่นป่วนไปทั่วโลก ตั้งแต่ประเทศในทวีปอเมริกาใต้, ตุรกี, แอฟริกาใต้ และบางประเทศในเอเชีย เช่น อินเดียและจีน สะท้อนจากสกุลเงินของบางประเทศเหล่านี้ร่วงลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ในขณะที่เงินเฟ้อพุ่งขึ้นสูง
ข้อมูลล่าสุดของ Institute for International Finance ระบุว่า ภาระหนี้ของประเทศเกิดใหม่รวมทั้งจีน พุ่งขึ้นจาก 9,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2002 (ปี 2545) มาที่ 21,000 ล้านดอลลาร์ปี 2007 (ปี 2550) และขึ้นไปถึง 63,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2017(ปี 2560)
ขณะที่ นับตั้งแต่ต้นปีมา ดัชนี MSCI Emerging Markets index ปรับตัวลงเกือบ 9% แล้ว
วันนี้ หลายคนพูดถึงค่าเงินในประเทศตลาดเกิดใหม่ถูกโจมตี พูดถึงวิกฤตรอบใหม่ที่อาจเกิดขึ้น พูดกันหนาหูมากขึ้น แม้หลายประเทศใน Emerging Markets อาจไม่ได้มีปัญหาในลักษณะเดียวๆกัน แต่หากตลาดใด ตลาดหนึ่งเกิดวิฤตขึ้นจริง ย่อมเลี่ยงผลกระทบไม่พ้นครับ
เครดิตข้อมูล : Bangkokbiznews, Moneychannel, อินโฟเควสท์
รวบรวมโดย Asiaplus
ไม่ได้แช่งอะไรแต่เอาข่าวมาให้อ่าน เผื่อจะได้ระมัดระวังตัวกันกับอีก 1 มุมมองกลัวเพลินกันมากไป ว่า มีข่าวแบบนี้ส่งสัญญาณอะไรหรือป่าว?
ค่าเงิน 1 ในประเทศกลุ่ม TIP ดิ่งลงต่ำสุดในรอบ 20 ปี!
ล่าสุด เช้าวันนี้ รัฐบาลอินโดนีเซียได้ตัดสินใจชะลอโครงการพลังงานไฟฟ้า ขนาด 35 กิกะวัตต์ มูลค่า 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ เพราะต้องแก้ปัญหายอดขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่สูงขึ้น และส่งผลกระทบทำให้เงินรูเปียะห์ถูกเทขายอย่างหนัก
การเลื่อนโครงการดังกล่าว คาดว่าจะช่วยลดการนำเข้าได้ 8 พันล้านดอลลาร์-1 หมื่นล้านดอลลาร์ ทั้งนี้รัฐบาลอินโดนีเซียตัดสินใจเลื่อนโครงการ หลังจากที่ค่าเงินรูเปี๊ยะห์ ดิ่งลงใกล้แตะระดับ 15,000 ต่อดอลลาร์ ต่ำสุดตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินในภูมิภาคเมื่อ 20 ปีที่แล้ว
นายเองการ์เทียสโต ลูคิตา รมว.การค้าอินโดนีเซีย ระบุว่า เงินรูเปี๊ยะห์ได้รับผลกระทบจากการธนาคารกลางสหรัฐปรับขึ้นดอกเบี้ย รวมทั้งการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ นักลงทุนจึงหันไปถือครองเงินดอลลาร์ ทำให้ดอลลาร์แข็งค่า
ขณะที่ มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส มีท่าทีกังวลต่อสถานการณ์ในอินโดนีเซีย เนื่องจากพันธบัตรรัฐบาลอินโดนีเซีย 41% อยู่ในรูปสกุลเงินต่างประเทศ หากรูเปี๊ยะห์อ่อนค่าลงเรื่อยๆ รัฐบาลอินโดฯต้องใช้เงินรูเปี๊ยะห์มากขึ้น เพื่อชำระหนี้พันธบัตรดังกล่าว
อินโดนีเซีย มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 4 ของเอเชีย คือราว 6.2% โดยจีนใหญ่สุดที่ 44.5%, อินเดีย 18.1% และญี่ปุ่น 9.6%
ไม่เพียงแต่ค่าเงินของอินโดนีเซียเท่านั้นที่อ่อนค่า นับจากต้นปีมา ภาพรวมค่าเงินเอชียอ่อนค่าลงในทิศทางเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น รูปีของอินเดีย อ่อนค่า 6.85%, เปโซของฟิลิปปินส์ 6.71%, รูเปียะห์ของอินโดนีเซีย 5.71%, หยวนของจีน 2.42% และเงินบาทของไทย 2.07%
มีรายงานที่น่าสนใจจากสำนักข่าว CNBC ระบุว่า ในปี 2013 (ปี 2556) ประเทศที่เรียกว่า เป็นกลุ่มเปราะบาง 5 ประเทศ ได้แก่ บราซิล อินเดีย อินโดนีเซีย ตุรกี และแอฟริกาใต้ ต่างมีปัญหาคล้ายกัน คือ การดิ่งลงของค่าเงิน, การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูง และการเมืองไร้เสถียรภาพ
ช่วงหลังๆ นี้ เงินทุนต่างชาติไหลกลับเข้าประเทศเหล่านี้ใหม่อีกรอบ เช่น อินเดียและอินโดนีเซีย ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน
แต่ตอนนี้นักลงทุนเริ่มกังวลว่า ภาพในอดีตอาจกำลังหวนกลับมาอีกครั้งหนึ่ง โดยต้นตอของปัญหา มีทั้งเงินดอลลาร์ที่แข็งค่า ข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯกับประเทศคู่ค้า, สงครามการค้าสหรัฐฯกับจีน, ดอกเบี้ยสหรัฐฯขาขึ้น ปัจจัยลบเหล่านี้กำลังรวมตัวกันจนกลายเป็นวิกฤตรอบใหม่
CNBC ระบุว่า วิกฤตการณ์ครั้งนี้ กำลังสร้างความปั่นป่วนไปทั่วโลก ตั้งแต่ประเทศในทวีปอเมริกาใต้, ตุรกี, แอฟริกาใต้ และบางประเทศในเอเชีย เช่น อินเดียและจีน สะท้อนจากสกุลเงินของบางประเทศเหล่านี้ร่วงลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ในขณะที่เงินเฟ้อพุ่งขึ้นสูง
ข้อมูลล่าสุดของ Institute for International Finance ระบุว่า ภาระหนี้ของประเทศเกิดใหม่รวมทั้งจีน พุ่งขึ้นจาก 9,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2002 (ปี 2545) มาที่ 21,000 ล้านดอลลาร์ปี 2007 (ปี 2550) และขึ้นไปถึง 63,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2017(ปี 2560)
ขณะที่ นับตั้งแต่ต้นปีมา ดัชนี MSCI Emerging Markets index ปรับตัวลงเกือบ 9% แล้ว
วันนี้ หลายคนพูดถึงค่าเงินในประเทศตลาดเกิดใหม่ถูกโจมตี พูดถึงวิกฤตรอบใหม่ที่อาจเกิดขึ้น พูดกันหนาหูมากขึ้น แม้หลายประเทศใน Emerging Markets อาจไม่ได้มีปัญหาในลักษณะเดียวๆกัน แต่หากตลาดใด ตลาดหนึ่งเกิดวิฤตขึ้นจริง ย่อมเลี่ยงผลกระทบไม่พ้นครับ
เครดิตข้อมูล : Bangkokbiznews, Moneychannel, อินโฟเควสท์
รวบรวมโดย Asiaplus
ไม่ได้แช่งอะไรแต่เอาข่าวมาให้อ่าน เผื่อจะได้ระมัดระวังตัวกันกับอีก 1 มุมมองกลัวเพลินกันมากไป ว่า มีข่าวแบบนี้ส่งสัญญาณอะไรหรือป่าว?