พรายเสน่หา บทนำ และ บทที่ 1
http://pantip.com/topic/30419026
พรายเสน่หา บทที่ 2
http://pantip.com/topic/30420413
พรายเสน่หา บทที่ 3
http://pantip.com/topic/30422658
พรายเสน่หา บทที่ 4
http://pantip.com/topic/30458126
พรายเสน่หา บทที่ 5
http://pantip.com/topic/30462595
พรายเสน่หา บทที่ 6
http://pantip.com/topic/30476309
พรายเสน่หา บทที่ 7
http://pantip.com/topic/30481791
พรายเสน่หา บทที่ 8
http://pantip.com/topic/30499847
พรายเสน่หา บทที่ 9
http://pantip.com/topic/30507126
พรายเสน่หา บทที่ 10
http://pantip.com/topic/30527745
พรายเสน่หา บทที่ 11
http://pantip.com/topic/30537653
พรายเสน่หา บทที่ 12
http://pantip.com/topic/30564467
----------------------------------------------------------------------------
บทที่ 13
ความคิดของภูอินทร์กระตุกวูบ กระแสที่ดังเปรี้ยงออกมาก็คือ เรื่องโกหกสดๆ ร้อนๆ นี้ต้องถูกจับได้แน่ๆ
“นี่มันเมืองไทยนะคะ เราก็แค่อยากหาชุดสวยๆ ไว้ในงานเลี้ยงกลางคืน”
จนฉันต้องรีบตอบออกไป และเชื่อว่ามันเป็นเหตุผลที่แนบเนียนทีเดียว
“เอิ่ม... ครับ... ผมก็ถามไปอย่างนั้นละ”
“เราหมั้นเช้า รดน้ำสังข์แล้วฉลองตอนเย็นครับ รวบรัดกันนิดหน่อย”
สัตว์สมิงรูปหล่อของฉันคงเพิ่งจัดการเรียบเรียงความคิดได้ จึงค่อยพูดออกมา
“ดูรีบๆ นะครับ”
นายร้อยตำรวจยังไม่วาย ทั้งที่ความคิดที่ฉันอ่านได้นั้นบอกว่าเชื่อเรื่องที่พวกเราพูดเรียบร้อยแล้ว
“ก็รู้ๆ กันอยู่ กับเหตุผลที่เราจะต้องแต่งกันกะทันหัน”
ฉันหันไปตุ๊ยท้องพ่อคนปากดีทีหนึ่งเพื่อให้สมจริง แล้วทำเป็นเขินอายเล็กน้อยกับความหมายที่แฝงอยู่ในถ้อยคำนั่น
ก่อนที่การแสดงให้แนบเนียนของคู่รักกำมะลออย่างเราจะถูกเจ้าหน้าที่จับได้ ภูอินทร์ก็กล่าวขอตัวเอาดื้อๆ อ้างง่ายๆ ว่าต้องรีบกลับไปประชุม ซึ่งคุณร้อยเวรก็เชื่อเสียด้วย
เขาขอเบอร์โทรศัพท์ของเราสองคนเอาไว้ และบอกว่าจะติดต่อมาหากต้องการข้อมูลอะไรเพิ่มเติม
ขับรถออกมาจากที่เกิดเหตุที่สองที่ฉันได้พอเจอในวันนี้ ไม่นานภูอินทร์ก็เลี้ยวรถเข้ามาในสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง เขาโทร.หาผู้พันเดชาอีกครั้ง ก่อนจะขอตัวลงไปคุยนอกรถ
เขาเปิดกระจกทั้งสองด้าน ดับเครื่อง แล้วออกไปยืนพิงอยู่ตรงกระโปรงหน้า สีหน้านั้นเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด ส่วนกระแสความคิดนั้น แม้จะยุ่งเหยิงและสับสนตามแบบฉบับของสัตว์สมิงทั่วไป แต่ที่เด่นชัดก็คือความเคียดแค้นคนที่กระทำต่อพันแสง สมาชิกสำคัญในกลุ่มหรือฝูงของเขาและผู้พันเดชา
บางครั้งเขาถึงกับตะคอกหรือตวาดอย่างเดือดดาล อารมณ์ขุ่นมัวต่างๆ ไม่ได้คลี่คลายลง เพียงแต่ว่ามันชัดแจ้งและอ่านง่ายขึ้นเรื่อยๆ มันหมายความว่าเขาจัดการครอบคลุมอารมณ์และความรู้สึกของตนเองได้ยากขึ้น ขณะที่โดยปกติ บรรดาอมนุษย์จะปกปิดความคิดอ่านของตัวเอง เอาไว้ด้วยเมฆหมอกแห่งความยุ่งเหยิงในห้วงคำนึง
แต่การที่กระแสความคิดเขาอ่านได้ง่ายขึ้น มันก็ทำให้ดูคล้ายมนุษย์มากยิ่งขึ้นเช่นกัน ตามอย่างที่คนทั่วไปเป็นกันก็คือ ความรัก โลภ โกรธ หลง จะชัดเจนในแต่ละอารมณ์ แม้จะพัวพันเกี่ยวเนื่อง จากความรู้สึกหนึ่งโยงไปยังอีกความคิดหนึ่ง แต่นั่นก็ชัดเจนและง่ายต่อการอ่านมากกว่าพวกที่สามารถคิดอะไรหลายๆ อย่าง หรืออยู่กับหลายๆ ความรู้สึกได้พร้อมๆ กันอย่างพวกอมนุษย์
และฉันก็รู้สึกว่า การที่ภูอินทร์มีความคล้ายมนุษย์ทั่วไปมากขึ้น ทำให้เขาดูน่ารักขึ้นอีกมากมาย...
น่ารัก...
มัวแต่เพลินกับเสน่ห์และนิสัยที่แสนดีจนเผลอชื่นชมกันได้ขนาดนี้เลยหรือเรา...
ถ้าจะน่ารัก เขาก็ต้องน่ารักสำหรับยัยคนนั้นคนเดียว ก็ราศีสุดที่รักของเขานั่นละ และหล่อนก็คงจะเป็นสุดที่รักได้แต่กับคนที่ใสๆ ซื่อๆ อย่างภูอินทร์ได้คนเดียวเช่นกัน
อีกพักใหญ่ทีเดียวกว่าที่สัตว์สมิงรูปหล่อนิสัยดีจะกลับขึ้นรถ สีหน้าเขาเหมือนไม่อยากจะจากฉันเร็วเกินไป ตอนที่พูดว่า
“คงต้องไปส่งคุณก่อน ผมมีธุระจำเป็นที่ต้องทำจริงๆ”
“ฉันเข้าใจค่ะ”
“ผมเสียใจด้วยนะกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณ”
“คงยังไม่ต้องถึงกับเสียใจมังคะ แต่ถ้าจะบอกว่าเป็นห่วง ก็ยินดีค่ะ”
ฉันหวังให้บรรยากาศความเคร่งเครียดในอารมณ์ของเขาบรรเทาลง จึงพูดไปเช่นนั้น
“กับพวกเรา หมายถึงอมนุษย์น่ะครับ เราไม่อยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเลย ส่วนพวกเรา... แน่นอนว่าบรรดาสัตว์สมิงทั้งหลาย ย่อมไม่อยากให้มีอะไรที่มันยุ่งยากเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะ ถ้าต้องมามีเรื่องกับพวกมนุษย์!”
ท้ายเสียงเขาเน้นหนัก จงใจย้ำชัดเจนว่า พวกร่างผีฟ้าคือมนุษย์... มนุษย์ที่ระรานพวกเขาก่อน
ฉันนิ่งไปอีกนาน รู้สึกพลอยมืดมนไปกับกระแสความคิดของภูอินทร์ และสับสนขึ้นอีกมากมาย เกี่ยวกับวิธีที่จะจัดการกับอะไรสักสิ่งของพวกบรรดาอมนุษย์
แต่ในที่สุดฉันก็ต้องถามออกไป
“แล้ว ตกลงพวกคุณ... จะทำยังไงต่อไปคะ”
เขาตวัดหางตามาแวบเดียว ก่อนจะระบายลมหายใจแรงๆ เพื่อที่จะพูดว่า
“ยังบอกอะไรไม่ได้หรอกครับ มัน... มันค่อนข้างร้ายแรงสำหรับพวกเรา”
“แล้วตอนนี้ก็เท่ากับว่าพวกร่างผีฟ้าประกาศตัวชัดเจนว่า พร้อมจะเป็นศัตรูกับสัตว์สมิง...”
“พวกเราก็ต้องสู้... ที่จริงเราเตรียมรับมือกับพวกมันแล้ว... แต่ผมบอกรายละเอียดกับคุณไม่ได้ในตอนนี้”
“ไม่เป็นไรค่ะ... เพียงแค่... เอ่อ! ฉันหวังแค่ว่าคุณจะปลอดภัย”
สำหรับคนที่เคยช่วยชีวิตฉันเอาไว้ จะแปลกอะไรถ้าฉันจะแสดงความเป็นห่วงเขาบ้าง
เราพ้นแยกไฟแดงมาอย่างเฉียดฉิว แล้วเขาก็ยิ่งเร่งเครื่องเข้ามาในลานจอด เสียงเหยียบห้ามล้อดังน่าหวาดเสียว แต่อาการหยุดนิ่งสนิทของตัวรถ กลับนุ่มนวลอย่างเหลือเชื่อ
“ผมจะปลอดภัย ลินไม่ต้องเป็นห่วง”
เขาหันมาสบตา แววตาล้ำลึกของอมนุษย์ ทำให้หัวใจฉันแทบหลอมละลาย
“รีบกลับเถอะครับ แล้วผมจะโทร.ไป”
“ที่บ้านนะคะ อย่าลืมเด็ดขาด”
คำหน้าฉันย้ำกับที่ที่เขาจะโทร.หาได้ และกำชับชัดๆ อีกครั้งว่าการโทร.หากันนั้นสำคัญขนาดไหน
“...คืออย่างนี้ค่ะ...” น้ำเสียงหนักๆ เน้นๆ ของฉัน ทำให้สีหน้าภูอินทร์เปลี่ยนไป สายตาที่มองมา เป็นคำถามที่ฉันจำเป็นต้องอธิบายเพิ่มเติม “...คือว่า... ฉันไม่อยากให้คุณเป็นเหมือนมันไตร...”
แล้วฉันก็เล่าเรื่องที่ว่า พวกร่างผีฟ้าทำยังไงกับเจ้าของร้านเดอะพราย ตั้งแต่ร่ายเวทย์ลบความทรงจำใส่เขา จนกระทั่งมีการประกาศหาคนหาย เพื่อที่จะได้ตัวมันไตรกลับไป
ภูอินทร์ขมวดคิ้ว กำลังคิดตามว่าพวกร่างผีฟ้าก็ฉลาดไม่ใช่น้อย พร้อมกับที่กำลังหาทางวางแผนรับมือกับพวกนั้นเพิ่มเติม
“ราศีบอกว่าจะมาหาผม เย็นนี้”
คล้ายว่าเขาจะสารภาพอะไรสักอย่าง
“...และคงห้ามหล่อนไม่ทันแล้วละค่ะ ก็ดีเหมือนกัน เผื่อว่าพวกคุณมีแผนการอะไรจัดการกับพวกร่างผีฟ้า ราศีอาจจะรีบจัดการให้...”
ฉันเว้นคำท้ายเอาไว้ ปล่อยให้ชายหนุ่มตรงหน้าเติมเอาเอง
“ราศีไม่ใช่ฝูงของเรา เธอเป็นพวกรักษส์ ไม่ใช่สัตว์สมิง”
เขาจ้องหน้าฉันตรงๆ อีกครั้ง สายตาบอกชัดว่า อย่าเที่ยวเหมารวมเผ่าพันธุ์ของเขากับพวกอื่นๆ
...ใช่สิ แสดงว่าหล่อนแปลงกายเป็นพวกสัตว์เลือดอุ่นหรือสัตว์นักล่าชั้นสูงไม่ได้ อย่างมากก็คงเป็นเสือปลา หรือแมวบ้าปัญญาไม่สมประกอบสักตัว ก็แค่นั้น
แต่ฉันไม่ได้พูดออกไป เพราะกลัวว่าสัตว์สมิงรูปงามตรงหน้า จะคิดว่าฉันกล่าวหาว่าเขาโง่มากที่ไปเลือกราศีเป็นคู่ควง
“ภูคะ เป็นไปได้ไหมว่าอีกซากหนึ่งนั้น จะเป็นพวกเดียวกับพันแสง”
“อย่าให้เป็นอย่างนั้นเลยครับ ถ้าเหลือชิ้นส่วนเพียงแค่นั้น ผมก็ภาวนาให้มันเป็นของศัตรู”
ฉันได้แต่พยักหน้ารับ เหตุการณ์ในวันนี้คงหนักมากเกินไป ฉันเลยคิดฟุ้งซ่านเพ้อเจ้อไปได้ถึงขนาดนี้
กล่าวคำอำลาอีกครั้ง พร้อมกับที่บิดกุญแจรถ ฉันก็ปิดรับสมอง หยุดรับกระแสความคิดทั้งปวงที่สายลมจะพัดผ่านเข้ามา
ฉันลดกระจกลงอีกครั้งเมื่อเห็นว่าภูอินทร์ยังยืนมองนิ่งอยู่
“อย่าลืมบอกคุณพ่อของคุณด้วยนะคะ... เรื่องที่เราจะแต่งงานกันเร็วๆ นี้”
นั่นละ ฉันถึงขับรถออกมาได้อย่างสบายใจขึ้น เมื่อเห็นสีหน้าชวนขันของเขายิ้มตอบกลับมา
ตลอดทางกลับบ้าน ในหัวที่ปิดกั้นความคิดอื่นที่จะแผ่เข้ามา เรื่องราวฉันที่ได้รับรู้ด้วยตัวเองกลับวนเวียนไม่รู้จบ ตั้งแต่สภาพในร้านเดอะพราย จนถึงการที่ต้องมาเจอกับซากร่างที่กองเละเทะอยู่ในร้านชุดวิวาห์ ยังจำได้ว่าขอร้องให้ภูอินทร์โทรหาผู้การปราบดัสกรอีกครั้ง เพื่อที่จะได้รับคำตอบเดิมๆ คือ ยังไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับการหายตัวไปของพี่สิทธา
นั่นทำให้ไม่จำเป็นต้องแวะที่สถานีตำรวจ แต่ก็ยังต้องแวะที่ร้านมินิมาร์ทอยู่ดี เพื่อซื้ออาหารสำหรับตนเอง และต้องหาซื้อโลหิตสังเคราะห์ไว้สำหรับมันไตร
พอผ่านประตูร้านขายโลหิตสังเคราะห์เข้าไป สิ่งที่ได้เห็น นอกจากเครื่องดื่มของมึนเมาต่างๆ ที่นำเข้าจากทั่วทุกมุมโลก นั่นก็คือใบปิดประกาศ ตามหาตัว “เพื่อนสนิทของเราหายไป” ประกอบอยู่กับรูปหน้ายิ้มแย้มของมันไตร และหมายเลขโทรศัพท์ให้ติดต่อกลับ ซึ่งแน่นอนว่ามันคือการโทร.หาพวกร่างทรงผีฟ้า
รูปนั้นของมันไตร คงเป็นตอนงานเปิดร้านเดอะพราย เป็นรูปการเปิดตัวของพรายหนุ่มสุดหล่อจ้าวเสน่ห์ ที่ดูราวกับไม่เคยได้ลิ้มรสโลหิตมนุษย์มาก่อน และสาวทุกคนที่ได้เห็นรูปนี้ ก็พร้อมเป็นอาสาสมัคร ให้เขาได้ลิ้มชิมรสเลือดจากซอกคอของพวกหล่อน
ใบปิดประกาศนี้ บอกฉันอีกอย่างหนึ่งว่า พี่สิทธาไม่ได้กุเรื่องค่าตัวหนักๆ ของมันไตรขึ้นมาเอง
และฉันก็อดคิดไม่ได้ว่า วาณี ผู้ที่เป็นหัวหน้าของพวกร่างผีฟ้า จะต้องจิตวิปลาสและตัณหาจัด ถึงกล้าลงทุนเพื่อจะได้ร่วมเตียงกับมันไตรด้วยค่าตัวมากมายขนาดนั้น และก็ยากที่จะเชื่อเช่นกัน ที่การได้ควบคุมกิจการที่เดอะพราย (พร้อมกับได้ตัวมันไตรไปคอยบำรุงบำเรอ) นั่นจะทำกำไรให้พวกหล่อนได้แบบทันอกทันใจ...
ถ้าอย่างนั้น...
มันก็คงต้องมีอะไรลึกลับซับซ้อนกว่านี้ใช่ไหมล่ะ...
แล้วมันคืออะไรกัน...
คิดมาถึงตรงนี้ ฉันก็ตระหนักได้ว่า ตัวเองถลำลึกเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้จนยากที่จะถอนตัวเสียแล้ว ทั้งกับการที่พี่ชายต้องหายตัวไป การต้องรับพรายระดับหัวหน้าให้อยู่ในความคุ้มครอง รวมทั้งการไปรู้เห็นการฆาตกรรมจากฝีมือของพวกร่างผีฟ้านั่น!
และห้วงเวลาที่ฉันไม่อยากคุยกับใครที่สุดก็มีอันต้องสิ้นสุด
สวัสดิ์ เพื่อนที่ทำงานของพี่สิทธา ปิดประตูตู้เย็นกะทันหัน หันกลับมาพร้อมหอบพิซซ่าแช่แข็งในอ้อมอก และแทบจะชนฉันเพราะความอุ้ยอ้ายของเขา
ดีที่ฉันขยับหลบได้ทัน และนั่นเป็นการก้าวเข้าไปอยู่ในคลองสายตาของสวัสดิ์ได้สำเร็จ
“เป็นไงบ้างลิน ได้ข่าวของสิทธาบ้างหรือยัง”
เพื่อนของพี่ชายเอ่ยถามทันทีที่เห็นหน้าฉัน
ชายผู้มีรูปร่างเกินคำว่าอ้วนท้วนตรงหน้า เป็นคนที่แทบคิดอะไรอื่นไม่เป็น เรียกว่าความสามารถเชิงการคิดวิเคราะห์ หรือการให้เหตุผลต่างๆ แทบจะเป็นศูนย์ แต่ตอนนี้ แค่สีหน้าเขาก็บอกได้ชัดเจนว่า เป็นห่วงพี่สิทธาแค่ไหน
“ยังค่ะ...” ฉันขยับใกล้เข้ามาอีกนิด “เป็นห่วงแทบจะแย่แล้วละค่ะพี่หวัสดิ์”
“คิดเสียว่าเขาทำตัวเหมือนที่เคยๆ สิ คือไปมุดหัวอยู่กับผู้หญิงสักคนที่เขาถูกใจมากๆ อย่าง... คู่ควงเมื่อคืนวันปีใหม่ ก็แนวเขาเลยนะนั่น เขาอาจไปจมอยู่กับหล่อนก็ได้”
จำได้ว่าคืนนั้นสวัสดิ์ก็ไปกับกลุ่มของพี่สิทธาด้วย ผู้หญิงคนนั้นคงได้ทำความรู้จักกันพอสมควร
“พี่สิทธาไม่ได้แนะนำให้รู้จักกับลินด้วยซ้ำนะคะ”
พรายเสน่หา บทที่ 13
พรายเสน่หา บทที่ 2 http://pantip.com/topic/30420413
พรายเสน่หา บทที่ 3 http://pantip.com/topic/30422658
พรายเสน่หา บทที่ 4 http://pantip.com/topic/30458126
พรายเสน่หา บทที่ 5 http://pantip.com/topic/30462595
พรายเสน่หา บทที่ 6 http://pantip.com/topic/30476309
พรายเสน่หา บทที่ 7 http://pantip.com/topic/30481791
พรายเสน่หา บทที่ 8 http://pantip.com/topic/30499847
พรายเสน่หา บทที่ 9 http://pantip.com/topic/30507126
พรายเสน่หา บทที่ 10 http://pantip.com/topic/30527745
พรายเสน่หา บทที่ 11 http://pantip.com/topic/30537653
พรายเสน่หา บทที่ 12 http://pantip.com/topic/30564467
----------------------------------------------------------------------------
บทที่ 13
ความคิดของภูอินทร์กระตุกวูบ กระแสที่ดังเปรี้ยงออกมาก็คือ เรื่องโกหกสดๆ ร้อนๆ นี้ต้องถูกจับได้แน่ๆ
“นี่มันเมืองไทยนะคะ เราก็แค่อยากหาชุดสวยๆ ไว้ในงานเลี้ยงกลางคืน”
จนฉันต้องรีบตอบออกไป และเชื่อว่ามันเป็นเหตุผลที่แนบเนียนทีเดียว
“เอิ่ม... ครับ... ผมก็ถามไปอย่างนั้นละ”
“เราหมั้นเช้า รดน้ำสังข์แล้วฉลองตอนเย็นครับ รวบรัดกันนิดหน่อย”
สัตว์สมิงรูปหล่อของฉันคงเพิ่งจัดการเรียบเรียงความคิดได้ จึงค่อยพูดออกมา
“ดูรีบๆ นะครับ”
นายร้อยตำรวจยังไม่วาย ทั้งที่ความคิดที่ฉันอ่านได้นั้นบอกว่าเชื่อเรื่องที่พวกเราพูดเรียบร้อยแล้ว
“ก็รู้ๆ กันอยู่ กับเหตุผลที่เราจะต้องแต่งกันกะทันหัน”
ฉันหันไปตุ๊ยท้องพ่อคนปากดีทีหนึ่งเพื่อให้สมจริง แล้วทำเป็นเขินอายเล็กน้อยกับความหมายที่แฝงอยู่ในถ้อยคำนั่น
ก่อนที่การแสดงให้แนบเนียนของคู่รักกำมะลออย่างเราจะถูกเจ้าหน้าที่จับได้ ภูอินทร์ก็กล่าวขอตัวเอาดื้อๆ อ้างง่ายๆ ว่าต้องรีบกลับไปประชุม ซึ่งคุณร้อยเวรก็เชื่อเสียด้วย
เขาขอเบอร์โทรศัพท์ของเราสองคนเอาไว้ และบอกว่าจะติดต่อมาหากต้องการข้อมูลอะไรเพิ่มเติม
ขับรถออกมาจากที่เกิดเหตุที่สองที่ฉันได้พอเจอในวันนี้ ไม่นานภูอินทร์ก็เลี้ยวรถเข้ามาในสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง เขาโทร.หาผู้พันเดชาอีกครั้ง ก่อนจะขอตัวลงไปคุยนอกรถ
เขาเปิดกระจกทั้งสองด้าน ดับเครื่อง แล้วออกไปยืนพิงอยู่ตรงกระโปรงหน้า สีหน้านั้นเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด ส่วนกระแสความคิดนั้น แม้จะยุ่งเหยิงและสับสนตามแบบฉบับของสัตว์สมิงทั่วไป แต่ที่เด่นชัดก็คือความเคียดแค้นคนที่กระทำต่อพันแสง สมาชิกสำคัญในกลุ่มหรือฝูงของเขาและผู้พันเดชา
บางครั้งเขาถึงกับตะคอกหรือตวาดอย่างเดือดดาล อารมณ์ขุ่นมัวต่างๆ ไม่ได้คลี่คลายลง เพียงแต่ว่ามันชัดแจ้งและอ่านง่ายขึ้นเรื่อยๆ มันหมายความว่าเขาจัดการครอบคลุมอารมณ์และความรู้สึกของตนเองได้ยากขึ้น ขณะที่โดยปกติ บรรดาอมนุษย์จะปกปิดความคิดอ่านของตัวเอง เอาไว้ด้วยเมฆหมอกแห่งความยุ่งเหยิงในห้วงคำนึง
แต่การที่กระแสความคิดเขาอ่านได้ง่ายขึ้น มันก็ทำให้ดูคล้ายมนุษย์มากยิ่งขึ้นเช่นกัน ตามอย่างที่คนทั่วไปเป็นกันก็คือ ความรัก โลภ โกรธ หลง จะชัดเจนในแต่ละอารมณ์ แม้จะพัวพันเกี่ยวเนื่อง จากความรู้สึกหนึ่งโยงไปยังอีกความคิดหนึ่ง แต่นั่นก็ชัดเจนและง่ายต่อการอ่านมากกว่าพวกที่สามารถคิดอะไรหลายๆ อย่าง หรืออยู่กับหลายๆ ความรู้สึกได้พร้อมๆ กันอย่างพวกอมนุษย์
และฉันก็รู้สึกว่า การที่ภูอินทร์มีความคล้ายมนุษย์ทั่วไปมากขึ้น ทำให้เขาดูน่ารักขึ้นอีกมากมาย...
น่ารัก...
มัวแต่เพลินกับเสน่ห์และนิสัยที่แสนดีจนเผลอชื่นชมกันได้ขนาดนี้เลยหรือเรา...
ถ้าจะน่ารัก เขาก็ต้องน่ารักสำหรับยัยคนนั้นคนเดียว ก็ราศีสุดที่รักของเขานั่นละ และหล่อนก็คงจะเป็นสุดที่รักได้แต่กับคนที่ใสๆ ซื่อๆ อย่างภูอินทร์ได้คนเดียวเช่นกัน
อีกพักใหญ่ทีเดียวกว่าที่สัตว์สมิงรูปหล่อนิสัยดีจะกลับขึ้นรถ สีหน้าเขาเหมือนไม่อยากจะจากฉันเร็วเกินไป ตอนที่พูดว่า
“คงต้องไปส่งคุณก่อน ผมมีธุระจำเป็นที่ต้องทำจริงๆ”
“ฉันเข้าใจค่ะ”
“ผมเสียใจด้วยนะกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณ”
“คงยังไม่ต้องถึงกับเสียใจมังคะ แต่ถ้าจะบอกว่าเป็นห่วง ก็ยินดีค่ะ”
ฉันหวังให้บรรยากาศความเคร่งเครียดในอารมณ์ของเขาบรรเทาลง จึงพูดไปเช่นนั้น
“กับพวกเรา หมายถึงอมนุษย์น่ะครับ เราไม่อยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเลย ส่วนพวกเรา... แน่นอนว่าบรรดาสัตว์สมิงทั้งหลาย ย่อมไม่อยากให้มีอะไรที่มันยุ่งยากเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะ ถ้าต้องมามีเรื่องกับพวกมนุษย์!”
ท้ายเสียงเขาเน้นหนัก จงใจย้ำชัดเจนว่า พวกร่างผีฟ้าคือมนุษย์... มนุษย์ที่ระรานพวกเขาก่อน
ฉันนิ่งไปอีกนาน รู้สึกพลอยมืดมนไปกับกระแสความคิดของภูอินทร์ และสับสนขึ้นอีกมากมาย เกี่ยวกับวิธีที่จะจัดการกับอะไรสักสิ่งของพวกบรรดาอมนุษย์
แต่ในที่สุดฉันก็ต้องถามออกไป
“แล้ว ตกลงพวกคุณ... จะทำยังไงต่อไปคะ”
เขาตวัดหางตามาแวบเดียว ก่อนจะระบายลมหายใจแรงๆ เพื่อที่จะพูดว่า
“ยังบอกอะไรไม่ได้หรอกครับ มัน... มันค่อนข้างร้ายแรงสำหรับพวกเรา”
“แล้วตอนนี้ก็เท่ากับว่าพวกร่างผีฟ้าประกาศตัวชัดเจนว่า พร้อมจะเป็นศัตรูกับสัตว์สมิง...”
“พวกเราก็ต้องสู้... ที่จริงเราเตรียมรับมือกับพวกมันแล้ว... แต่ผมบอกรายละเอียดกับคุณไม่ได้ในตอนนี้”
“ไม่เป็นไรค่ะ... เพียงแค่... เอ่อ! ฉันหวังแค่ว่าคุณจะปลอดภัย”
สำหรับคนที่เคยช่วยชีวิตฉันเอาไว้ จะแปลกอะไรถ้าฉันจะแสดงความเป็นห่วงเขาบ้าง
เราพ้นแยกไฟแดงมาอย่างเฉียดฉิว แล้วเขาก็ยิ่งเร่งเครื่องเข้ามาในลานจอด เสียงเหยียบห้ามล้อดังน่าหวาดเสียว แต่อาการหยุดนิ่งสนิทของตัวรถ กลับนุ่มนวลอย่างเหลือเชื่อ
“ผมจะปลอดภัย ลินไม่ต้องเป็นห่วง”
เขาหันมาสบตา แววตาล้ำลึกของอมนุษย์ ทำให้หัวใจฉันแทบหลอมละลาย
“รีบกลับเถอะครับ แล้วผมจะโทร.ไป”
“ที่บ้านนะคะ อย่าลืมเด็ดขาด”
คำหน้าฉันย้ำกับที่ที่เขาจะโทร.หาได้ และกำชับชัดๆ อีกครั้งว่าการโทร.หากันนั้นสำคัญขนาดไหน
“...คืออย่างนี้ค่ะ...” น้ำเสียงหนักๆ เน้นๆ ของฉัน ทำให้สีหน้าภูอินทร์เปลี่ยนไป สายตาที่มองมา เป็นคำถามที่ฉันจำเป็นต้องอธิบายเพิ่มเติม “...คือว่า... ฉันไม่อยากให้คุณเป็นเหมือนมันไตร...”
แล้วฉันก็เล่าเรื่องที่ว่า พวกร่างผีฟ้าทำยังไงกับเจ้าของร้านเดอะพราย ตั้งแต่ร่ายเวทย์ลบความทรงจำใส่เขา จนกระทั่งมีการประกาศหาคนหาย เพื่อที่จะได้ตัวมันไตรกลับไป
ภูอินทร์ขมวดคิ้ว กำลังคิดตามว่าพวกร่างผีฟ้าก็ฉลาดไม่ใช่น้อย พร้อมกับที่กำลังหาทางวางแผนรับมือกับพวกนั้นเพิ่มเติม
“ราศีบอกว่าจะมาหาผม เย็นนี้”
คล้ายว่าเขาจะสารภาพอะไรสักอย่าง
“...และคงห้ามหล่อนไม่ทันแล้วละค่ะ ก็ดีเหมือนกัน เผื่อว่าพวกคุณมีแผนการอะไรจัดการกับพวกร่างผีฟ้า ราศีอาจจะรีบจัดการให้...”
ฉันเว้นคำท้ายเอาไว้ ปล่อยให้ชายหนุ่มตรงหน้าเติมเอาเอง
“ราศีไม่ใช่ฝูงของเรา เธอเป็นพวกรักษส์ ไม่ใช่สัตว์สมิง”
เขาจ้องหน้าฉันตรงๆ อีกครั้ง สายตาบอกชัดว่า อย่าเที่ยวเหมารวมเผ่าพันธุ์ของเขากับพวกอื่นๆ
...ใช่สิ แสดงว่าหล่อนแปลงกายเป็นพวกสัตว์เลือดอุ่นหรือสัตว์นักล่าชั้นสูงไม่ได้ อย่างมากก็คงเป็นเสือปลา หรือแมวบ้าปัญญาไม่สมประกอบสักตัว ก็แค่นั้น
แต่ฉันไม่ได้พูดออกไป เพราะกลัวว่าสัตว์สมิงรูปงามตรงหน้า จะคิดว่าฉันกล่าวหาว่าเขาโง่มากที่ไปเลือกราศีเป็นคู่ควง
“ภูคะ เป็นไปได้ไหมว่าอีกซากหนึ่งนั้น จะเป็นพวกเดียวกับพันแสง”
“อย่าให้เป็นอย่างนั้นเลยครับ ถ้าเหลือชิ้นส่วนเพียงแค่นั้น ผมก็ภาวนาให้มันเป็นของศัตรู”
ฉันได้แต่พยักหน้ารับ เหตุการณ์ในวันนี้คงหนักมากเกินไป ฉันเลยคิดฟุ้งซ่านเพ้อเจ้อไปได้ถึงขนาดนี้
กล่าวคำอำลาอีกครั้ง พร้อมกับที่บิดกุญแจรถ ฉันก็ปิดรับสมอง หยุดรับกระแสความคิดทั้งปวงที่สายลมจะพัดผ่านเข้ามา
ฉันลดกระจกลงอีกครั้งเมื่อเห็นว่าภูอินทร์ยังยืนมองนิ่งอยู่
“อย่าลืมบอกคุณพ่อของคุณด้วยนะคะ... เรื่องที่เราจะแต่งงานกันเร็วๆ นี้”
นั่นละ ฉันถึงขับรถออกมาได้อย่างสบายใจขึ้น เมื่อเห็นสีหน้าชวนขันของเขายิ้มตอบกลับมา
ตลอดทางกลับบ้าน ในหัวที่ปิดกั้นความคิดอื่นที่จะแผ่เข้ามา เรื่องราวฉันที่ได้รับรู้ด้วยตัวเองกลับวนเวียนไม่รู้จบ ตั้งแต่สภาพในร้านเดอะพราย จนถึงการที่ต้องมาเจอกับซากร่างที่กองเละเทะอยู่ในร้านชุดวิวาห์ ยังจำได้ว่าขอร้องให้ภูอินทร์โทรหาผู้การปราบดัสกรอีกครั้ง เพื่อที่จะได้รับคำตอบเดิมๆ คือ ยังไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับการหายตัวไปของพี่สิทธา
นั่นทำให้ไม่จำเป็นต้องแวะที่สถานีตำรวจ แต่ก็ยังต้องแวะที่ร้านมินิมาร์ทอยู่ดี เพื่อซื้ออาหารสำหรับตนเอง และต้องหาซื้อโลหิตสังเคราะห์ไว้สำหรับมันไตร
พอผ่านประตูร้านขายโลหิตสังเคราะห์เข้าไป สิ่งที่ได้เห็น นอกจากเครื่องดื่มของมึนเมาต่างๆ ที่นำเข้าจากทั่วทุกมุมโลก นั่นก็คือใบปิดประกาศ ตามหาตัว “เพื่อนสนิทของเราหายไป” ประกอบอยู่กับรูปหน้ายิ้มแย้มของมันไตร และหมายเลขโทรศัพท์ให้ติดต่อกลับ ซึ่งแน่นอนว่ามันคือการโทร.หาพวกร่างทรงผีฟ้า
รูปนั้นของมันไตร คงเป็นตอนงานเปิดร้านเดอะพราย เป็นรูปการเปิดตัวของพรายหนุ่มสุดหล่อจ้าวเสน่ห์ ที่ดูราวกับไม่เคยได้ลิ้มรสโลหิตมนุษย์มาก่อน และสาวทุกคนที่ได้เห็นรูปนี้ ก็พร้อมเป็นอาสาสมัคร ให้เขาได้ลิ้มชิมรสเลือดจากซอกคอของพวกหล่อน
ใบปิดประกาศนี้ บอกฉันอีกอย่างหนึ่งว่า พี่สิทธาไม่ได้กุเรื่องค่าตัวหนักๆ ของมันไตรขึ้นมาเอง
และฉันก็อดคิดไม่ได้ว่า วาณี ผู้ที่เป็นหัวหน้าของพวกร่างผีฟ้า จะต้องจิตวิปลาสและตัณหาจัด ถึงกล้าลงทุนเพื่อจะได้ร่วมเตียงกับมันไตรด้วยค่าตัวมากมายขนาดนั้น และก็ยากที่จะเชื่อเช่นกัน ที่การได้ควบคุมกิจการที่เดอะพราย (พร้อมกับได้ตัวมันไตรไปคอยบำรุงบำเรอ) นั่นจะทำกำไรให้พวกหล่อนได้แบบทันอกทันใจ...
ถ้าอย่างนั้น...
มันก็คงต้องมีอะไรลึกลับซับซ้อนกว่านี้ใช่ไหมล่ะ...
แล้วมันคืออะไรกัน...
คิดมาถึงตรงนี้ ฉันก็ตระหนักได้ว่า ตัวเองถลำลึกเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้จนยากที่จะถอนตัวเสียแล้ว ทั้งกับการที่พี่ชายต้องหายตัวไป การต้องรับพรายระดับหัวหน้าให้อยู่ในความคุ้มครอง รวมทั้งการไปรู้เห็นการฆาตกรรมจากฝีมือของพวกร่างผีฟ้านั่น!
และห้วงเวลาที่ฉันไม่อยากคุยกับใครที่สุดก็มีอันต้องสิ้นสุด
สวัสดิ์ เพื่อนที่ทำงานของพี่สิทธา ปิดประตูตู้เย็นกะทันหัน หันกลับมาพร้อมหอบพิซซ่าแช่แข็งในอ้อมอก และแทบจะชนฉันเพราะความอุ้ยอ้ายของเขา
ดีที่ฉันขยับหลบได้ทัน และนั่นเป็นการก้าวเข้าไปอยู่ในคลองสายตาของสวัสดิ์ได้สำเร็จ
“เป็นไงบ้างลิน ได้ข่าวของสิทธาบ้างหรือยัง”
เพื่อนของพี่ชายเอ่ยถามทันทีที่เห็นหน้าฉัน
ชายผู้มีรูปร่างเกินคำว่าอ้วนท้วนตรงหน้า เป็นคนที่แทบคิดอะไรอื่นไม่เป็น เรียกว่าความสามารถเชิงการคิดวิเคราะห์ หรือการให้เหตุผลต่างๆ แทบจะเป็นศูนย์ แต่ตอนนี้ แค่สีหน้าเขาก็บอกได้ชัดเจนว่า เป็นห่วงพี่สิทธาแค่ไหน
“ยังค่ะ...” ฉันขยับใกล้เข้ามาอีกนิด “เป็นห่วงแทบจะแย่แล้วละค่ะพี่หวัสดิ์”
“คิดเสียว่าเขาทำตัวเหมือนที่เคยๆ สิ คือไปมุดหัวอยู่กับผู้หญิงสักคนที่เขาถูกใจมากๆ อย่าง... คู่ควงเมื่อคืนวันปีใหม่ ก็แนวเขาเลยนะนั่น เขาอาจไปจมอยู่กับหล่อนก็ได้”
จำได้ว่าคืนนั้นสวัสดิ์ก็ไปกับกลุ่มของพี่สิทธาด้วย ผู้หญิงคนนั้นคงได้ทำความรู้จักกันพอสมควร
“พี่สิทธาไม่ได้แนะนำให้รู้จักกับลินด้วยซ้ำนะคะ”