บทที่ 3
ฉันแค่รู้สึกตัวว่าซุกอยู่บนที่นอน ใต้ผ้าห่มผืนหนาที่แสนจะอบอุ่น ค่อยเหยียดแขนขาเพื่อคลายความปวดเมื่อย ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า เมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง
ควานมือไปบนอีกฟากเตียง ไม่มีร่างของใครอีกแล้ว
มันไตรคงหลบไปหลับในที่ซ่อน ตั้งแต่ก่อนรุ่งสาง อย่างน้อยสัญชาตญาณความเป็นพรายเขาคงต้องมีติดตัวอยู่หรอกน่า
ฉันยันตัวขึ้น บิดขี้เกียจอีกสองสามรอบ ก่อนจะเดินมารวบชุดในไม้แขวน กลับเข้าแขวนไว้ในตู้ เหนือที่นอนของพรายหนุ่มความจำเสื่อม
กลับมาที่ห้องนั่งเล่นอีกครั้ง เห็นนาฬิกาบอกเวลาใกล้เที่ยง อากาศอุ่นจึงระอุอยู่ภายใน สามสิบเอ็ดองศาคือที่ฉันอ่านได้จากเทอร์โมมิเตอร์ชนิดพิเศษ ที่พี่ชายซื้อมาติดไว้ให้ทำไมก็ไม่รู้ ส่วนที่ว่าพิเศษก็เพราะ ตัววัดอุณหภูมิอยู่นอกบ้าน แล้วส่งสัญญาณเข้ามาบอกบนหน้าปัดเล็กๆ ที่ติดไว้กับต้นเสาหลังโทรทัศน์
เดินเลยเข้ามาในครัว อ่างน้ำที่ใช้ล้างบาดแผลที่เท้าของมันไตร ยังวางอยู่ที่เดิม ฉันจัดการเทมันทิ้งในอ่างล้างหน้า ขณะที่มองเห็นว่า โลหิตสังเคราะห์นั้นหมดเกลี้ยงไปอีกขวด ซึ่งก็เท่ากับในตู้เย็นไม่มีเหลืออีกแล้ว
ท่าทางฉันจะต้องหาซื้อมาเพิ่มเอาไว้แต่เนิ่นๆ กับอรัญเองฉันเตรียมไว้ให้อย่างเกินต้องการเสมอ ก็อย่างสองขวดที่มันไตรดื่มเข้าไปนั่นละ เพราะรู้ดีว่าค่อนข้างเสี่ยงอันตรายถ้าจะอยู่ใกล้ชิดกับพวกพรายตอนที่เขากำลังหิวโซ
อีกทั้งคงต้องซื้อไว้เผื่อสำหรับแขกอีกสองคนคือพิชาและจอห์น พรายผู้เป็นผู้ช่วยและลูกน้องของมันไตร ซึ่งรับปากไว้แล้วว่าจะมารับเจ้านายของตนทันทีที่พลบค่ำ
คือถึงพวกเขาจะไม่เล่าอะไรให้ฉันฟังก็ตาม แต่ถ้าฉันทำหน้าที่เจ้าบ้านได้ดี และเขาพากันกลับไปยังศูนย์กลางของพวกพรายที่เจริญกรุงนั่น เวลาพักผ่อนที่เหลือฉันก็จะได้อยู่อย่างสุขสงบเสียที
หรือว่าจะไม่?
วันนี้ที่ร้านเหล้ากรุงเกษมที่ทำงานของฉันจะเปิดตั้งแต่ห้าโมงเย็น แต่คนที่ต้องไปทำงานคือผาดกับสิรี เพราะฉันกับโปร่งและวรรณาทำงานในวันสิ้นปีไปแล้ว
วันหยุดของฉันจึงยังเหลืออีกสองวัน และที่ผ่านไปครึ่งวันหรือทั้งวันวันนี้ ก็จะเป็นวันที่ฉันต้องใช้เวลาอยู่กับพรายที่ความจำเสื่อม... ชิ! มันน่าดีใจนักหรือไง
ฉันเติมคาเฟอีนให้ตัวเอง ด้วยกาแฟแบบทรีอินวัน โยนกางเกงของมันไตรลงเครื่องซักผ้า แล้วกลับมานั่นอ่านนิตยสารรายปักษ์สำหรับผู้หญิง ตั้งใจจะอ่านนิยายของนักเขียนคนโปรดที่เขียนประจำเป็นตอนๆ และชวนติดตามไปซะทุกครั้ง แต่ต้องเปิดดูทำนายดวงชะตาประจำปักษ์เสียก่อน
แล้วลางร้ายก็ยิ่งปรากฏให้เห็นชัดจากคำทำนาย ที่ลงท้ายเอาไว้สำหรับสัปดาห์รับปีใหม่ของฉัน
“เคราะห์หามยามร้าย”
ฉันแทบจะขว้างทิ้งถ้าไม่ติดว่านวนิยายหลายเรื่องในเล่ม มีค่ามากกว่าทำนายไร้สาระมากนัก
แล้วสิทธาพี่ชายของฉันก็มาถึงบ้านตอนห้าโมงกว่า ด้วยรถญี่ปุ่นรุ่นเก่าที่แต่งเหมือนลูกกวาดสีส้มจางสลับขาว
ฉันเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ผมที่สระยังไม่แห้งสนิทดี จึงนั่งแปรงผมอยู่หน้าพัดลมไปพลางระหว่างดูรายการโทรทัศน์ภาคเย็น ขณะที่ใจนั้นกลับไปคิดอยู่กับเรื่องที่มันไตรต้องประสบชะตากรรมจนมีสภาพเหมือนเช่นเมื่อคืนนี้
ฉันชอบทำอะไรหลายๆ อย่างพร้อมกัน มันทำให้รู้สึกว่าได้ใช้ความคิดอย่างสบายๆ มากว่าจะต้องมาหมกมุ่นคิดอะไรอยู่อย่างเดียว แล้วก็ฟุ้งซ่านขึ้นเพราะคลื่นความคิดสารพัดประดังกันเข้า
พี่สิทธาเดินลงส้นขึ้นมาจนถึงประตูหน้าบ้าน ก่อนจะเคาะประตูอย่างขอไปที
ฉันกับพี่ชายโตขึ้นมาในบ้านหลังนี้ เรามาอยู่กับคุณยายเมื่อทั้งพ่อและแม่เสียชีวิตไปพร้อมๆ กัน ส่วนบ้านเดิมนั้น คุณยายให้คนเช่าอยู่ จนพี่สิทธาอยากจะย้ายออกไปอยู่เอง คุณยายจึงตกลงยกบ้านเดิมให้เขา และยกบ้านหลังนี้ให้ฉัน
ตั้งแต่อายุยี่สิบสองที่พี่สิทธาย้ายกลับไปอยู่บ้านเดิม จนตอนนี้เขาเกือบสามสิบ ได้เป็นหัวหน้าช่างก่อสร้างประเภทวิศวโยธา ซึ่งฉันก็อดภูมิใจกับเขาไม่ได้ เพราะออกจะเป็นความก้าวหน้าที่รวดเร็วไปหน่อย กับการที่หนุ่มเกเรคนหนึ่งจะก้าวขึ้นไปถึงได้
แต่พี่ชายฉันก็ทำงานได้ดี... จนกระทั่งสองสามเดือนที่ผ่านมานี้ละ ที่เขามีอาการเบื่อหน่ายหรือไม่ก็กระสับกระส่ายนิดหน่อยเวลาพูดถึงมัน
เขาเดินมาแทรกกลางระหว่างพัดลม ปลดดุมเสื้อ และดึงชายออกจากในกางเกง บังฉันเต็มๆ โดยไม่ใส่ใจอะไร
“ถึงบ้านกี่โมงล่ะ”
เขาหันมาถาม
“กว่าจะได้นอนก็เกือบตีสี่”
“คิดว่าเธอเป็นไงบ้าง”
นี่ละคือคำถามจริงๆ ที่เขาอยากจะเอ่ยออกมา
“อย่างไปไหนมาไหนด้วยกันอีกเป็นดีที่สุด”
ฉันพูดตรงๆ เพราะรู้ดีว่าหล่อนเป็นสัตว์สมิง และนั่นคงไม่ใช่คำตอบที่เขาต้องการ พี่ชายฉันหันทั้งตัวมาหา แล้วถามแบบไม่เชิงจะคาดคั้น
“เธอรู้อะไรบ้าง จากที่ได้เจอกันนั่น”
พี่สิทธารู้ว่าฉันอ่านความคิดของคนอื่นได้ แต่เขาก็ไม่เคยเอ่ยเรื่องนี้ไม่ว่ากับใครก็ตาม รวมทั้งเคยปกป้องฉันจากพวกที่กล่าวหาว่าฉันเป็นคนสติเสีย เพราะพี่ชายฉันแน่ใจว่า ฉันแค่ “ไม่เหมือน” คนทั่วไปเท่านั้น และพักหลังฉันก็มักจะทำเฉยๆ กับความพิเศษของตัวเอง พยายามไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือรับรู้กับกระแสความคิดของใครๆ แต่ก็ไม่วายที่พวกมันจะแทรกซึมเข้ามาในหัวจนได้
“เธอไม่ใช่พวกเดียวกับเรา”
ฉันหลบสายตาเขาด้วยการขยับตัวให้โดนพัดลมเต็มๆ อีกครั้ง
“แต่ไม่ใช่พราย ไม่ใช่เหรอ”
เขาเถียงข้างๆ คูๆ
“ก็ไม่ใช่ไงล่ะ”
“นั่นซิ แล้วมันจะยังไง”
พี่ชายฉันคงไม่สบอารมณ์ขึ้นมาจริงๆ เสียแล้ว
“พี่สิทธา ตั้งแต่พวกพรายประกาศตัวว่าอยู่ร่วมโลกกับเรามานานนักหนา หลังจากที่เราเลือกที่จะเชื่อว่าพวกเขาเป็นแค่ตำนานในนิทานปรำปรา แล้วไงล่ะ เมื่อพวกพรายมีตัวตนอยู่จริงๆ และเกลื่อนไปหมดทั่วโลกอย่างนี้ พี่ไม่คิดบ้างหรือว่าบรรดาอมนุษย์ประหลาดพิสดารในนิทานนิยายทั้งหลายทั้งปวงจะไม่มีตัวตนอยู่จริง”
ฉันได้ยินความคิดของพี่สิทธาว่ากำลังทำความเข้าใจและชั่งใจว่าจะเชื่อฉันดีหรือไม่ เขาอยากจะปฏิเสธ หรือไม่ก็ตัดสินว่าฉันสติไม่ดี แต่เขารู้ตัวเองดีว่าทำอย่างนั้นไม่ได้
“แสดงว่าเธอเป็นอมนุษย์พวกอื่น ใช่ไหมล่ะ”
ฉันไม่ละสายตาจากเขา เพื่อพยักหน้ายืนยันหนักแน่นว่า หล่อนไม่ใช่มนุษย์แน่ๆ
“ปั๊ดโธ่!”
พี่สิทธาโวยวายอย่างอารมณ์เสีย
“รู้ไหมว่าพี่น่ะตกหลุมรักเข้าอีกแล้ว ลินไม่รู้หรอกว่าการได้ขึ้นสังเวียนกับผู้หญิงที่ท่าทางไม่ต่างจากเสือสาวแม่ลูกอ่อนนั้น มันทั้งตื่นเต้นและท้าทายขนาดไหน”
“จริงหรือคะ”
ฉันแกล้งถามซื่อๆ ไม่คิดหรอกว่าหากถึงคืนพระจันทร์เพ็ญ แล้วหล่อนแปลงร่างกับเป็นอะไรสักอย่าง พี่ชายฉันจะกล้าพูดอย่างนี้อีก
“แล้วพี่จะต่อกรกับเธอไปได้สักแค่ไหน กับพวกสัตว์สมิงอย่างนั้น”
แล้วฉันก็แทบจะเอาหัวโขกโต๊ะตรงหน้า ก็ใครล่ะจะแปลงร่างให้เห็นกันง่ายๆ
พี่สิทธานิ่งไปไม่ถึงอึดใจ ก่อนที่จะหัวเราะออกมาเสียงดัง
“ลิน พี่ว่าเธอจะเพี้ยนไปกันใหญ่แล้วจริงๆ ซีนะเนี่ย...”
พรายเสน่หา บทที่ 3
บทที่ 3
ฉันแค่รู้สึกตัวว่าซุกอยู่บนที่นอน ใต้ผ้าห่มผืนหนาที่แสนจะอบอุ่น ค่อยเหยียดแขนขาเพื่อคลายความปวดเมื่อย ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า เมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง
ควานมือไปบนอีกฟากเตียง ไม่มีร่างของใครอีกแล้ว
มันไตรคงหลบไปหลับในที่ซ่อน ตั้งแต่ก่อนรุ่งสาง อย่างน้อยสัญชาตญาณความเป็นพรายเขาคงต้องมีติดตัวอยู่หรอกน่า
ฉันยันตัวขึ้น บิดขี้เกียจอีกสองสามรอบ ก่อนจะเดินมารวบชุดในไม้แขวน กลับเข้าแขวนไว้ในตู้ เหนือที่นอนของพรายหนุ่มความจำเสื่อม
กลับมาที่ห้องนั่งเล่นอีกครั้ง เห็นนาฬิกาบอกเวลาใกล้เที่ยง อากาศอุ่นจึงระอุอยู่ภายใน สามสิบเอ็ดองศาคือที่ฉันอ่านได้จากเทอร์โมมิเตอร์ชนิดพิเศษ ที่พี่ชายซื้อมาติดไว้ให้ทำไมก็ไม่รู้ ส่วนที่ว่าพิเศษก็เพราะ ตัววัดอุณหภูมิอยู่นอกบ้าน แล้วส่งสัญญาณเข้ามาบอกบนหน้าปัดเล็กๆ ที่ติดไว้กับต้นเสาหลังโทรทัศน์
เดินเลยเข้ามาในครัว อ่างน้ำที่ใช้ล้างบาดแผลที่เท้าของมันไตร ยังวางอยู่ที่เดิม ฉันจัดการเทมันทิ้งในอ่างล้างหน้า ขณะที่มองเห็นว่า โลหิตสังเคราะห์นั้นหมดเกลี้ยงไปอีกขวด ซึ่งก็เท่ากับในตู้เย็นไม่มีเหลืออีกแล้ว
ท่าทางฉันจะต้องหาซื้อมาเพิ่มเอาไว้แต่เนิ่นๆ กับอรัญเองฉันเตรียมไว้ให้อย่างเกินต้องการเสมอ ก็อย่างสองขวดที่มันไตรดื่มเข้าไปนั่นละ เพราะรู้ดีว่าค่อนข้างเสี่ยงอันตรายถ้าจะอยู่ใกล้ชิดกับพวกพรายตอนที่เขากำลังหิวโซ
อีกทั้งคงต้องซื้อไว้เผื่อสำหรับแขกอีกสองคนคือพิชาและจอห์น พรายผู้เป็นผู้ช่วยและลูกน้องของมันไตร ซึ่งรับปากไว้แล้วว่าจะมารับเจ้านายของตนทันทีที่พลบค่ำ
คือถึงพวกเขาจะไม่เล่าอะไรให้ฉันฟังก็ตาม แต่ถ้าฉันทำหน้าที่เจ้าบ้านได้ดี และเขาพากันกลับไปยังศูนย์กลางของพวกพรายที่เจริญกรุงนั่น เวลาพักผ่อนที่เหลือฉันก็จะได้อยู่อย่างสุขสงบเสียที
หรือว่าจะไม่?
วันนี้ที่ร้านเหล้ากรุงเกษมที่ทำงานของฉันจะเปิดตั้งแต่ห้าโมงเย็น แต่คนที่ต้องไปทำงานคือผาดกับสิรี เพราะฉันกับโปร่งและวรรณาทำงานในวันสิ้นปีไปแล้ว
วันหยุดของฉันจึงยังเหลืออีกสองวัน และที่ผ่านไปครึ่งวันหรือทั้งวันวันนี้ ก็จะเป็นวันที่ฉันต้องใช้เวลาอยู่กับพรายที่ความจำเสื่อม... ชิ! มันน่าดีใจนักหรือไง
ฉันเติมคาเฟอีนให้ตัวเอง ด้วยกาแฟแบบทรีอินวัน โยนกางเกงของมันไตรลงเครื่องซักผ้า แล้วกลับมานั่นอ่านนิตยสารรายปักษ์สำหรับผู้หญิง ตั้งใจจะอ่านนิยายของนักเขียนคนโปรดที่เขียนประจำเป็นตอนๆ และชวนติดตามไปซะทุกครั้ง แต่ต้องเปิดดูทำนายดวงชะตาประจำปักษ์เสียก่อน
แล้วลางร้ายก็ยิ่งปรากฏให้เห็นชัดจากคำทำนาย ที่ลงท้ายเอาไว้สำหรับสัปดาห์รับปีใหม่ของฉัน
“เคราะห์หามยามร้าย”
ฉันแทบจะขว้างทิ้งถ้าไม่ติดว่านวนิยายหลายเรื่องในเล่ม มีค่ามากกว่าทำนายไร้สาระมากนัก
แล้วสิทธาพี่ชายของฉันก็มาถึงบ้านตอนห้าโมงกว่า ด้วยรถญี่ปุ่นรุ่นเก่าที่แต่งเหมือนลูกกวาดสีส้มจางสลับขาว
ฉันเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ผมที่สระยังไม่แห้งสนิทดี จึงนั่งแปรงผมอยู่หน้าพัดลมไปพลางระหว่างดูรายการโทรทัศน์ภาคเย็น ขณะที่ใจนั้นกลับไปคิดอยู่กับเรื่องที่มันไตรต้องประสบชะตากรรมจนมีสภาพเหมือนเช่นเมื่อคืนนี้
ฉันชอบทำอะไรหลายๆ อย่างพร้อมกัน มันทำให้รู้สึกว่าได้ใช้ความคิดอย่างสบายๆ มากว่าจะต้องมาหมกมุ่นคิดอะไรอยู่อย่างเดียว แล้วก็ฟุ้งซ่านขึ้นเพราะคลื่นความคิดสารพัดประดังกันเข้า
พี่สิทธาเดินลงส้นขึ้นมาจนถึงประตูหน้าบ้าน ก่อนจะเคาะประตูอย่างขอไปที
ฉันกับพี่ชายโตขึ้นมาในบ้านหลังนี้ เรามาอยู่กับคุณยายเมื่อทั้งพ่อและแม่เสียชีวิตไปพร้อมๆ กัน ส่วนบ้านเดิมนั้น คุณยายให้คนเช่าอยู่ จนพี่สิทธาอยากจะย้ายออกไปอยู่เอง คุณยายจึงตกลงยกบ้านเดิมให้เขา และยกบ้านหลังนี้ให้ฉัน
ตั้งแต่อายุยี่สิบสองที่พี่สิทธาย้ายกลับไปอยู่บ้านเดิม จนตอนนี้เขาเกือบสามสิบ ได้เป็นหัวหน้าช่างก่อสร้างประเภทวิศวโยธา ซึ่งฉันก็อดภูมิใจกับเขาไม่ได้ เพราะออกจะเป็นความก้าวหน้าที่รวดเร็วไปหน่อย กับการที่หนุ่มเกเรคนหนึ่งจะก้าวขึ้นไปถึงได้
แต่พี่ชายฉันก็ทำงานได้ดี... จนกระทั่งสองสามเดือนที่ผ่านมานี้ละ ที่เขามีอาการเบื่อหน่ายหรือไม่ก็กระสับกระส่ายนิดหน่อยเวลาพูดถึงมัน
เขาเดินมาแทรกกลางระหว่างพัดลม ปลดดุมเสื้อ และดึงชายออกจากในกางเกง บังฉันเต็มๆ โดยไม่ใส่ใจอะไร
“ถึงบ้านกี่โมงล่ะ”
เขาหันมาถาม
“กว่าจะได้นอนก็เกือบตีสี่”
“คิดว่าเธอเป็นไงบ้าง”
นี่ละคือคำถามจริงๆ ที่เขาอยากจะเอ่ยออกมา
“อย่างไปไหนมาไหนด้วยกันอีกเป็นดีที่สุด”
ฉันพูดตรงๆ เพราะรู้ดีว่าหล่อนเป็นสัตว์สมิง และนั่นคงไม่ใช่คำตอบที่เขาต้องการ พี่ชายฉันหันทั้งตัวมาหา แล้วถามแบบไม่เชิงจะคาดคั้น
“เธอรู้อะไรบ้าง จากที่ได้เจอกันนั่น”
พี่สิทธารู้ว่าฉันอ่านความคิดของคนอื่นได้ แต่เขาก็ไม่เคยเอ่ยเรื่องนี้ไม่ว่ากับใครก็ตาม รวมทั้งเคยปกป้องฉันจากพวกที่กล่าวหาว่าฉันเป็นคนสติเสีย เพราะพี่ชายฉันแน่ใจว่า ฉันแค่ “ไม่เหมือน” คนทั่วไปเท่านั้น และพักหลังฉันก็มักจะทำเฉยๆ กับความพิเศษของตัวเอง พยายามไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือรับรู้กับกระแสความคิดของใครๆ แต่ก็ไม่วายที่พวกมันจะแทรกซึมเข้ามาในหัวจนได้
“เธอไม่ใช่พวกเดียวกับเรา”
ฉันหลบสายตาเขาด้วยการขยับตัวให้โดนพัดลมเต็มๆ อีกครั้ง
“แต่ไม่ใช่พราย ไม่ใช่เหรอ”
เขาเถียงข้างๆ คูๆ
“ก็ไม่ใช่ไงล่ะ”
“นั่นซิ แล้วมันจะยังไง”
พี่ชายฉันคงไม่สบอารมณ์ขึ้นมาจริงๆ เสียแล้ว
“พี่สิทธา ตั้งแต่พวกพรายประกาศตัวว่าอยู่ร่วมโลกกับเรามานานนักหนา หลังจากที่เราเลือกที่จะเชื่อว่าพวกเขาเป็นแค่ตำนานในนิทานปรำปรา แล้วไงล่ะ เมื่อพวกพรายมีตัวตนอยู่จริงๆ และเกลื่อนไปหมดทั่วโลกอย่างนี้ พี่ไม่คิดบ้างหรือว่าบรรดาอมนุษย์ประหลาดพิสดารในนิทานนิยายทั้งหลายทั้งปวงจะไม่มีตัวตนอยู่จริง”
ฉันได้ยินความคิดของพี่สิทธาว่ากำลังทำความเข้าใจและชั่งใจว่าจะเชื่อฉันดีหรือไม่ เขาอยากจะปฏิเสธ หรือไม่ก็ตัดสินว่าฉันสติไม่ดี แต่เขารู้ตัวเองดีว่าทำอย่างนั้นไม่ได้
“แสดงว่าเธอเป็นอมนุษย์พวกอื่น ใช่ไหมล่ะ”
ฉันไม่ละสายตาจากเขา เพื่อพยักหน้ายืนยันหนักแน่นว่า หล่อนไม่ใช่มนุษย์แน่ๆ
“ปั๊ดโธ่!”
พี่สิทธาโวยวายอย่างอารมณ์เสีย
“รู้ไหมว่าพี่น่ะตกหลุมรักเข้าอีกแล้ว ลินไม่รู้หรอกว่าการได้ขึ้นสังเวียนกับผู้หญิงที่ท่าทางไม่ต่างจากเสือสาวแม่ลูกอ่อนนั้น มันทั้งตื่นเต้นและท้าทายขนาดไหน”
“จริงหรือคะ”
ฉันแกล้งถามซื่อๆ ไม่คิดหรอกว่าหากถึงคืนพระจันทร์เพ็ญ แล้วหล่อนแปลงร่างกับเป็นอะไรสักอย่าง พี่ชายฉันจะกล้าพูดอย่างนี้อีก
“แล้วพี่จะต่อกรกับเธอไปได้สักแค่ไหน กับพวกสัตว์สมิงอย่างนั้น”
แล้วฉันก็แทบจะเอาหัวโขกโต๊ะตรงหน้า ก็ใครล่ะจะแปลงร่างให้เห็นกันง่ายๆ
พี่สิทธานิ่งไปไม่ถึงอึดใจ ก่อนที่จะหัวเราะออกมาเสียงดัง
“ลิน พี่ว่าเธอจะเพี้ยนไปกันใหญ่แล้วจริงๆ ซีนะเนี่ย...”