พรายเสน่หา บทนำ และ บทที่ 1
http://pantip.com/topic/30419026
พรายเสน่หา บทที่ 2
http://pantip.com/topic/30420413
พรายเสน่หา บทที่ 3
http://pantip.com/topic/30422658
พรายเสน่หา บทที่ 4
http://pantip.com/topic/30458126
พรายเสน่หา บทที่ 5
http://pantip.com/topic/30462595
พรายเสน่หา บทที่ 6
http://pantip.com/topic/30476309
พรายเสน่หา บทที่ 7
http://pantip.com/topic/30481791
พรายเสน่หา บทที่ 8
http://pantip.com/topic/30499847
พรายเสน่หา บทที่ 9
http://pantip.com/topic/30507126
พรายเสน่หา บทที่ 10
http://pantip.com/topic/30527745
--------------------------------------------------------------------------------
บทที่ 11
ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้หญิงที่เพิ่งอกหักจะเป็นเหมือนฉันหรือเปล่า นั่นคือแม้จะเจ็บช้ำสักแค่ไหน แต่ก็ต้องก้าวเดินต่อไป แม้จะยังบอบช้ำ แต่ก็ไม่ได้ฟูมฟายจนต้องมานั่งสมเพชตัวเอง
ที่สำคัญคือฉันสามารถจะยิ้มรับความหวังดีจากคนรอบข้าง สามารถเปิดใจรับไมตรี โดยไม่ยอมมองว่า ผู้ชายทุกคนบนโลกใบนี้ต้องนิสัยเดียวกันหมด ไม่ว่าจะคนทั่วไป ภูตพราย สัตว์สมิง หรืออมนุษย์เพศผู้อื่นใดก็ตาม
ดูอย่างภูอินทร์ ความเป็นห่วงที่เขาแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ จะไม่ทำให้ฉันตื้นตันในหัวใจได้อย่างไร
“เพราะพวกนั้นจะทำให้คุณตกอยู่ในอันตรายน่ะสิ”
ถ้อยคำเหล่านี้ยังก้องวนเวียน แต่ในที่สุดฉันก็ต้องอธิบายเหตุผลที่แท้จริง
“พี่สิทธาน่ะค่ะ พี่ชายฉันเองที่สนับสนุน โดยเราจะได้ค่าตอบแทนก้อนโต และพิชากับจอห์นก็พลอยเห็นดีเห็นงามไปด้วย”
“แต่คนที่เดือดร้อนคือคุณ”
นั่นก็ถูก แต่อย่างไรก็ตาม พี่ชายของฉันคงไม่ได้ตั้งใจให้เกิดเป็นเรื่องราวบานปลายใหญ่โตถึงขนาดนี้ ฉันต้องเล่าถึงการหายตัวไปของเขา รวมทั้งคราบเลือดที่ดาบทิมพบตรงปลายท่าน้ำ
“เรื่องเลือดนั่นไม่ต้องพูดถึง ตราบใดที่นิติเวชยังไม่ได้พิสูจน์ว่าเป็นเลือดของพี่ชายคุณ ก็ไม่จำเป็นต้องเก็บมากังวล มันอาจเป็นแผนเบี่ยงเบนความสนใจก็แค่นั้น”
ท่าทางภูอินทร์อยากจะพูดอะไรมากกว่านี้ แต่เขากลับหยุด โดยการยกกาแฟขึ้นจิบ
“ผมคงต้องโทร.หาใครสักคนแล้วละ”
เขาขอตัว แล้วลุกไปด้านหลัง ผลักประตูพนักงานเข้าไปอย่างคุ้นเคย แล้วครู่เดียวก็กลับออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย พร้อมกับชวนคุยเรื่องสัพเพเหระอื่นๆ จนฉันต้องถามเรื่องที่คิดว่าสำคัญ
“ภูคะ คุณเป็น... จ่าฝูงของพวกสัตว์สมิงแถวนี้หรือเปล่าคะ”
คนถูกถามยิ้มกว้าง เหมือนจะขำ แต่แล้วก็เปลี่ยนสีหน้ากลับเป็นการเป็นงานอีกครั้ง
“ผมไม่ได้สำคัญถึงขนาดนั้นหรอกน่า...”
ฉันจ้องตาเขาตรงๆ พยายามอ่านความคิดของเขา แต่เส้นใยของสัญชาตญาณพันกันยุ่งเหยิง จนแยกแยะได้ยากเย็น ว่าอะไรคือส่วนของความรู้สึกนึกคิดที่แท้จริง
ไม่รู้ว่าภูอินทร์จะรู้สึกผิดสังเกตอะไรหรือเปล่า ตอนที่เขาเลื่อนมือมากุมมือฉันเอาไว้
“ลิน... จ่าฝูงไม่ใช่ใครจะเป็นได้ง่ายๆ ข้อแรกคือเขาต้องเป็นผู้อาวุโสที่ได้รับการยอมรับ และต้องเป็นผู้นำเราได้ทุกเรื่อง โดยเฉพาะเมื่อมีเภทภัย เขาต้องสามารถยืนหยัดอยู่เป็นคนสุดท้าย”
“หมายความว่าจะต้องมีการต่อสู้เพื่อค้นหาคนแข็งแรงที่สุด อย่างนั้นหรือคะ”
“เราเลิกระบบนั้นมานานแล้วละ มันสร้างความสูญเสียมากเกินไป ตอนนี้เราใช้แบบทดสอบทางจิตวิทยาและปฏิภาณไหวพริบ กับเครื่องตรวจสมรรถภาพร่างกาย”
“ทำอย่างกับคัดเลือกไปแข่งกีฬาโอลิมปิค”
“ถ้าหมายถึงการคัดเลือกนักกีฬาทางยุโรปหรืออเมริกา ก็ตอบว่าใช่”
สัตว์สมิงรูปหล่อ ตอบยิ้มๆ นัยน์ตาพราวเสน่ห์นั่น ราวกับจะสะกดผู้หญิงทั้งโลกให้หลงรัก
“ถ้าคุณไม่ใช่ แล้ว... คิดว่าหัวหน้ากลุ่ม... จ่าฝูงของคุณควรต้องรับรู้เรื่องนี้ไหมคะ”
“เขาจำเป็นต้องรับรู้ครับ”
“แล้วพอจะเดาออกไหมคะ ทำไมพวกร่างผีฟ้าถึงเลือกมาย่านเจริญกรุง แทนที่จะไปแถวอาร์ซีเอ รัชดา หรือแหล่งบันเทิงที่อื่นๆ”
“นั่นน่ะซี คุณถามได้ตรงกับใจผมเลย”
แล้วภูอินทร์ก็นิ่งไปอีกหลายอึดใจ ท่าทางเขากำลังใช้ความคิดอย่างหนัก
“ใจจริง ถ้าเป็นคนอื่นเล่า ผมคงไม่อยากจะเชื่อ แต่นี่เป็นคุณ ผมย่อมต้องเชื่อคุณ เพียงแต่ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่า พวกร่างทรงจะกล้าแข็งถึงขนาดนี้ ซ้ำยังเพิ่งได้ยินด้วยว่า พวกมันก็แปลงร่างได้ คือถ้าเรื่องเหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน การพยายามจะยึดกิจการของพวกอมนุษย์ก็น่าจะเพิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกเหมือนกัน”
“ยังไงคะ”
“ก็การที่พวกร่างผีฟ้าจะยึดกิจการของพรายนี้ละครับ”
“หมายความว่าพวกร่างผีฟ้าจะทำลายกฎธรรมชาติของการอยู่ร่วมกัน ที่ว่า คนแข็งแกร่งกว่าย่อมเป็นผู้ชนะ”
คำนี้ฉันไม่ได้ยกยอคนตรงหน้าเลยสักนิด แต่เขาต้องเข้าใจได้ว่า ฉันหมายถึงอะไร
“ร่างผีฟ้า ก็แค่ร่างทรง ยังไงก็แค่คนธรรมดา...” ภูอินทร์ทำหน้าเนือยๆ ยกไหล่นิดๆ แบบไม่ให้ราคาฝ่ายตรงข้าม “...ตามสายตาของพวกอมนุษย์เรา พวกร่างผีฟ้าก็แค่ของเทียม แค่อยากจะเป็นอย่างเรา ซึ่งก็อาจจะแค่ชั่วครั้งคราว เพียงแต่เราจะเผลอไม่ได้ อย่างไรเสียพวกร่างผีฟ้าก็สามารถใช้เวทย์มนตร์คาถาในการต่อสู้ ต่างจากพวกเราที่ใช้ความสามารถตามเผ่าพันธุ์ที่ติดตัวมาแต่กำเนิด”
ภูอินทร์น่าจะหมายรวมถึงการเกิดใหม่ของพวกภูตพรายด้วยกระมัง
“แสดงว่าพวกร่างผีฟ้าไม่ได้น่ากลัวสำหรับคุณ”
“ก็ไม่เชิง เพราะเราเพิ่งรู้ว่าพวกร่างทรงดื่มโลหิตของพราย นั่นหมายถึงต้องมีพรายตกอยู่ในอันตราย และถ้ามันสูบเลือดเขาจนหมดตัว พรายก็มีสิทธิ์สิ้นชื่อได้เหมือนกัน พวกนั้นรีดเลือดจากพรายจนหมดตัวหรือเปล่า”
ระหว่างรอคำตอบจากฉัน เขาก็กดเลขหมายโทรศัพท์อีกครั้ง
ความเงียบของฉันคงเป็นคำตอบที่ดี ภูอินทร์จึงเปลี่ยนคำถามเสียใหม่
“ร่างผีฟ้าที่ว่าแปลงร่างได้ พวกมันแปลงเป็นอะไร”
เพราะที่จริงหากเป็นสัตว์สมิงหรือรากษส จะสามารถเลือกแปลงเป็นสัตว์ชนิดใดชนิดหนึ่งได้ และหลังจากนั้นจะขนานนามตัวเองว่าเป็นมนุษย์ครึ่งสัตว์จำพวกไหนก็ตามแต่ที่เลือก
ซึ่งหมายถึงพวกนั้นเป็นของแท้ ที่ผูกจิตวิญญาณไว้กับรูปสัตว์อย่างใดอย่างหนึ่ง ต่างจากพวกร่างผีฟ้าที่อาจทำได้แค่ปลอมรูปด้วยมายาภาพ ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงร่างกายที่แท้จริง
พวกสัตว์สมิงและรากษสเกลียดนักละ หากรู้ว่าใครพยายามใช้มนตราปลอมแปลงเป็นสัตว์ชนิดต่างๆ
“คือ... ฉันคิดว่าวาณี หรือใครก็ไม่รู้ในพวกนั้น... ก็คงแปลงร่างได้เหมือนคุณ...”
ฉันอ้อมแอ้มตอบ อย่างที่บอก พวกสัตว์สมิงแต่กำเนิดถือสาเรื่องการลอกเลียนแบบเป็นอย่างมาก
พวกสัตว์สมิงถือตนเองว่าเป็นพันธุ์แท้ในด้านการแปลงร่าง หรือในการเป็นสัตว์สองวิญญาณ ดูแคลนพวกรักษส์หรือรากษสว่าแท้จริงพวกนั้นเป็นอสูรต่ำชั้น ที่อาศัยแปลงเป็นสัตว์ต่างๆ เพื่อออกหากิน
ขณะที่พวกรักษส์หรือพวกอื่นๆ ที่แปลงร่างเป็นสัตว์ได้ ต่างก็กล่าวหาว่าพวกสัตว์สมิงไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง กล้าบอกว่าตนเป็นพวกสองพันธุ์จริงๆ ทั้งที่ยังมีทั้งพญานาคพญาครุฑ ที่สามารถแปลงเป็นมนุษย์ได้เมื่อต้องการ
แต่คำตอบของฉันก็ทำให้ภูอินทร์ฉุนกึก
“ไม่เหมือนพวกเราหรอกน่า...”
เขาจะพูดต่อ แต่ปลายสายรับสายเสียก่อน
“สวัสดีครับ ผมเอง ภูอินทร์”
แล้วเขาก็เงียบฟังการตอบกลับจากปลายทาง...
“ขอโทษจริงๆ ครับที่โทร.มารบกวน แต่ผมมีเรื่องจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องรายงานให้ทราบ”
ความเงียบเกิดขึ้นอีกครั้ง
“ผมต้องพบคุณให้เร็วที่สุด และขออนุญาตพามนุษย์บางคนไปพบคุณด้วยครับ”
ทางโน้นคงตอบรับมาอีกสองสามประโยค ก่อนที่ภูอินทร์จะกดวางสาย
“ผมว่าอรัญต้องรู้ที่อยู่ของพิชากับจอห์น ใช่ไหมล่ะ”
สัตว์สมิงรูปหล่อเงยหน้าขึ้นถามฉัน หลังจากนิ่งไปอีกอึดใจใหญ่
“ค่ะ ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน เพียงแต่ตอนนี้อรัญไม่อยู่”
“ไม่อยู่ ตอนที่ชีวิตคุณอยู่ในภาวะหน้าสิ่วหน้าขวานเนี่ยนะ
“ไปอัสสัมค่ะ ที่จริงไปทางเหนือของพม่าตามคำสั่งของมหารานีของเค้า”
ฉันเป็นฝ่ายต้องหลบสายตาที่จ้องเขม็งตรงมา เสมองที่ผ้าเช็ดปาก ซึ่งยังไม่ได้ถูกคลี่จากการพับไว้เป็นรูปดอกบัว
“เขาทิ้งให้คุณต้องผจญกับเรื่องร้ายแรงอยู่คนเดียว ได้ไง...”
“อรัญไม่รู้มั้งคะว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น”
ฉันไม่ได้แก้ตัวให้กับแฟนเก่าจริงๆ สาบานได้
“คืออย่างนี้ค่ะภู ตั้งแต่เจอกันที่พนัสนิคม ฉันก็ไม่ได้พบกันอรัญอีกเลย จนกระทั่งเขากลับมาบอกลา ที่ว่าจะไปทางเหนือของพม่าแล้วเลยถือโอกาสไปถึงอัสสัมของอินเดีย
“แต่เธอบอกว่าคุณกลับมาอยู่กับอรัญเหมือนเดิมแล้ว”
สีหน้าของภูอินทร์แปลกไป เหมือนเขากำลังชั่งใจกับความคิดอะไรสักอย่าง
“เธอ... ใครกันคะ”
“ก็ราศีไงล่ะ จะเป็นคนอื่นได้ยังไง”
ฉันต้องถอนใจแรงๆ ให้รู้ว่าไม่พอใจสักนิดที่คนหน้าตาดีๆ อย่างเขาจะไปเชื่อยัยนั่น
“อย่าบอกนะคะว่าคุณเชื่อคนอย่างราศี”
“ก็... เธอบอกว่าวันก่อนแวะไปที่ร้านคุณเขม ก่อนที่จะมาพบกับผม เธอว่าเห็นคุณกับอรัญจี๋จ๋ากันจนใครๆ พากันอิจฉา”
“แล้วคุณก็เชื่อ!”
ภูอินทร์ตกใจเล็กน้อย เมื่อฉันเน้นเสียงหนักๆ
“ก็ได้ ผมมันหูเบาไปเอง ไว้จะจัดการกับหล่อนทีหลัง”
“คุณต้องเข้าใจ คุณจะเชื่อใครก็ได้ แต่ไม่ใช่จากราศี ฉันเองโดนมาจนเบื่อแล้วกับเรื่องปั้นน้ำเป็นตัวจากหล่อน”
“ตกลงว่าอรัญน่าจะอยู่ที่พม่าหรือไม่ก็อินเดีย”
“เท่าที่รู้ตอนนี้นะคะ”
“หมายความว่าคุณต้องอยู่บ้านตามลำพังกับมันไตร”
แน่นอนว่าใครๆ ก็รู้จักกิตติศัพท์เรื่องผู้หญิงของพรายผู้ยิ่งใหญ่ในเขตเจริญกรุงเป็นอย่างดี
“แต่มันไตรเขาไม่ใช่มันไตรคนเดิม”
“เขาจำไม่ได้เลยหรือว่าตัวเองเป็นใคร”
“แทบจะจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นอะไรด้วยซ้ำค่ะ ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงลักษณะอุปนิสัย มันแทบจะเป็นกลับตาลปัตร”
“ก็ดีแล้วนี่”
ฉันจับได้ว่ามีแววสะใจแฝงในถ้อยคำของภูอินทร์ นั่นเพราะเขายังไม่เคยเจอมันไตรภาคใหม่ นอกจากที่รู้จักกันก่อนความจำเสื่อม รู้ว่ามันไตรฉลาดมีไหวพริบ เด็ดเดี่ยวและเจ้าเล่ห์ถึงแค่ไหน
“ช่างมันเถอะ... เรารีบไปพบกับจ่าฝูงของผมดีกว่า”
ภูอินทร์ไม่ได้โทร.กลับไปที่สำนักงานหลังจากที่เราพากันออกมาจากร้านมายคอฟฟ์ และฉันแน่ใจว่าคุณหน้าห้องนั่นจะต้องคิดว่าเราจะพากันไปหาความสุขตามโรงแรมหรือไม่ก็ที่พักของเจ้านายหล่อนแน่ๆ
แต่ก็ช่างเถอะ ปล่อยให้หล่อนคิดไปอย่างนั้น ย่อมดีกว่าการจะทำให้หล่อนเกิดสงสัย ว่าภูอินทร์ไม่ใช่มนุษย์ ซึ่งฉันจินตนาการได้ชัดเจนเลยว่า ตอนที่รู้ว่าภูอินทร์เป็นเสือดำตัวกำยำนั้น หล่อนตกอกตกใจถึงเพียงไหน
ระหว่างทาง ภูอินทร์เล่าถึงจ่าฝูงของเขาให้รู้คร่าวๆ ว่า ผู้พันเดชา เดิมเคยเป็นนาวิกโยธินแห่งกองทัพเรือไทย เกษียณอายุราชการที่ยศพันตรี มีลูกสาวคนหนึ่งที่แต่งงานและมีหลานๆ ให้ชื่นชมหลายคน จ่าฝูงของสัตว์สมิงแถบนี้จึงไม่ยอมย้ายไปอยู่ไกลจากครอบครัวของลูกสาว
“แสดงว่าภรรยาของท่านผู้พัน ก็เป็นสัตว์สมิงเหมือนกัน”
หมายความว่าหากพ่อแม่เป็นสัตว์สมิง ลูกสาวก็ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น หากเอาตัวรอดได้หลังจากแรกคลอดไม่กี่เดือน ก็การันตีได้ว่าลูกที่เกิดจากพ่อแม่ที่เป็นสัตว์สมิง จะมีชีวิตยืนยาวต่อไปอีกนาน
“ใช่ครับ แต่ก็เพิ่งตายไปเมื่อไม่กี่เดือนที่แล้ว”
บ้านของผู้พันเดชา อยู่ลึกเข้าไปในสวนแถวบางมด เป็นบ้านหลังเดี่ยวใหญ่โต
ปลูกอยู่ในรอบรั้วเดียวกับบ้านหลังย่อมๆ อีกสามหลัง ในบริเวณบ้านรักษาบรรยากาศของบ้านสวนไว้เป็นอย่างดี ด้วยการปลูกผลไม้นานาพรรณ จนร่มครึ้มเต็มพื้นที่
ฉันคิดล่วงหน้าไปว่า นายทหารนอกราชการผู้นี้คงต้องสวมชุดลำลองของทหาร คือเสื้อยืดลายพรางกับกางเกงสีน้ำเงินหรือสีกากี อะไรประมาณนั้น แต่พอได้พบกันจริงๆ ผู้พันเดชา หรืออีกนัยหนึ่งคือจ่าฝูงของภูอินทร์ กลับอยู่ในชุดอยู่กับบ้านธรรมดา คือกางเกงขาสั้นยาวเสมอเข่าสีน้ำตาล กับเสื้อโปโลลายขวางสลับสีขาวแดงและดำ แต่ทรงผมตัดสั้นเกรียนเป็นทรงลานบิน กับมัดกล้ามเนื้อแข็งแกร่งที่สังเกตได้ไม่อยาก บอกให้รู้ว่าเขาคงสามารถดำรงตำแหน่งจ่าฝูงได้ต่อไปอีกนาน
พันตรีเดชาคงอยู่รู้จะแย่แล้วว่า อะไรกันที่สำคัญนัก ถึงขนาดที่ภูอินทร์ต้องพามนุษย์อย่างฉันเข้ามาพัวพัน รับรู้ถึงความเป็นสัตว์สมิงในครอบครัวของตน
แต่เขาก็ยังใจเย็น และแสดงความเป็นสุภาพบุรุษกับฉันได้ไม่มีขาดตกบกพร่อง
พรายเสน่หา บทที่ 11
พรายเสน่หา บทที่ 2 http://pantip.com/topic/30420413
พรายเสน่หา บทที่ 3 http://pantip.com/topic/30422658
พรายเสน่หา บทที่ 4 http://pantip.com/topic/30458126
พรายเสน่หา บทที่ 5 http://pantip.com/topic/30462595
พรายเสน่หา บทที่ 6 http://pantip.com/topic/30476309
พรายเสน่หา บทที่ 7 http://pantip.com/topic/30481791
พรายเสน่หา บทที่ 8 http://pantip.com/topic/30499847
พรายเสน่หา บทที่ 9 http://pantip.com/topic/30507126
พรายเสน่หา บทที่ 10 http://pantip.com/topic/30527745
--------------------------------------------------------------------------------
บทที่ 11
ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้หญิงที่เพิ่งอกหักจะเป็นเหมือนฉันหรือเปล่า นั่นคือแม้จะเจ็บช้ำสักแค่ไหน แต่ก็ต้องก้าวเดินต่อไป แม้จะยังบอบช้ำ แต่ก็ไม่ได้ฟูมฟายจนต้องมานั่งสมเพชตัวเอง
ที่สำคัญคือฉันสามารถจะยิ้มรับความหวังดีจากคนรอบข้าง สามารถเปิดใจรับไมตรี โดยไม่ยอมมองว่า ผู้ชายทุกคนบนโลกใบนี้ต้องนิสัยเดียวกันหมด ไม่ว่าจะคนทั่วไป ภูตพราย สัตว์สมิง หรืออมนุษย์เพศผู้อื่นใดก็ตาม
ดูอย่างภูอินทร์ ความเป็นห่วงที่เขาแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ จะไม่ทำให้ฉันตื้นตันในหัวใจได้อย่างไร
“เพราะพวกนั้นจะทำให้คุณตกอยู่ในอันตรายน่ะสิ”
ถ้อยคำเหล่านี้ยังก้องวนเวียน แต่ในที่สุดฉันก็ต้องอธิบายเหตุผลที่แท้จริง
“พี่สิทธาน่ะค่ะ พี่ชายฉันเองที่สนับสนุน โดยเราจะได้ค่าตอบแทนก้อนโต และพิชากับจอห์นก็พลอยเห็นดีเห็นงามไปด้วย”
“แต่คนที่เดือดร้อนคือคุณ”
นั่นก็ถูก แต่อย่างไรก็ตาม พี่ชายของฉันคงไม่ได้ตั้งใจให้เกิดเป็นเรื่องราวบานปลายใหญ่โตถึงขนาดนี้ ฉันต้องเล่าถึงการหายตัวไปของเขา รวมทั้งคราบเลือดที่ดาบทิมพบตรงปลายท่าน้ำ
“เรื่องเลือดนั่นไม่ต้องพูดถึง ตราบใดที่นิติเวชยังไม่ได้พิสูจน์ว่าเป็นเลือดของพี่ชายคุณ ก็ไม่จำเป็นต้องเก็บมากังวล มันอาจเป็นแผนเบี่ยงเบนความสนใจก็แค่นั้น”
ท่าทางภูอินทร์อยากจะพูดอะไรมากกว่านี้ แต่เขากลับหยุด โดยการยกกาแฟขึ้นจิบ
“ผมคงต้องโทร.หาใครสักคนแล้วละ”
เขาขอตัว แล้วลุกไปด้านหลัง ผลักประตูพนักงานเข้าไปอย่างคุ้นเคย แล้วครู่เดียวก็กลับออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย พร้อมกับชวนคุยเรื่องสัพเพเหระอื่นๆ จนฉันต้องถามเรื่องที่คิดว่าสำคัญ
“ภูคะ คุณเป็น... จ่าฝูงของพวกสัตว์สมิงแถวนี้หรือเปล่าคะ”
คนถูกถามยิ้มกว้าง เหมือนจะขำ แต่แล้วก็เปลี่ยนสีหน้ากลับเป็นการเป็นงานอีกครั้ง
“ผมไม่ได้สำคัญถึงขนาดนั้นหรอกน่า...”
ฉันจ้องตาเขาตรงๆ พยายามอ่านความคิดของเขา แต่เส้นใยของสัญชาตญาณพันกันยุ่งเหยิง จนแยกแยะได้ยากเย็น ว่าอะไรคือส่วนของความรู้สึกนึกคิดที่แท้จริง
ไม่รู้ว่าภูอินทร์จะรู้สึกผิดสังเกตอะไรหรือเปล่า ตอนที่เขาเลื่อนมือมากุมมือฉันเอาไว้
“ลิน... จ่าฝูงไม่ใช่ใครจะเป็นได้ง่ายๆ ข้อแรกคือเขาต้องเป็นผู้อาวุโสที่ได้รับการยอมรับ และต้องเป็นผู้นำเราได้ทุกเรื่อง โดยเฉพาะเมื่อมีเภทภัย เขาต้องสามารถยืนหยัดอยู่เป็นคนสุดท้าย”
“หมายความว่าจะต้องมีการต่อสู้เพื่อค้นหาคนแข็งแรงที่สุด อย่างนั้นหรือคะ”
“เราเลิกระบบนั้นมานานแล้วละ มันสร้างความสูญเสียมากเกินไป ตอนนี้เราใช้แบบทดสอบทางจิตวิทยาและปฏิภาณไหวพริบ กับเครื่องตรวจสมรรถภาพร่างกาย”
“ทำอย่างกับคัดเลือกไปแข่งกีฬาโอลิมปิค”
“ถ้าหมายถึงการคัดเลือกนักกีฬาทางยุโรปหรืออเมริกา ก็ตอบว่าใช่”
สัตว์สมิงรูปหล่อ ตอบยิ้มๆ นัยน์ตาพราวเสน่ห์นั่น ราวกับจะสะกดผู้หญิงทั้งโลกให้หลงรัก
“ถ้าคุณไม่ใช่ แล้ว... คิดว่าหัวหน้ากลุ่ม... จ่าฝูงของคุณควรต้องรับรู้เรื่องนี้ไหมคะ”
“เขาจำเป็นต้องรับรู้ครับ”
“แล้วพอจะเดาออกไหมคะ ทำไมพวกร่างผีฟ้าถึงเลือกมาย่านเจริญกรุง แทนที่จะไปแถวอาร์ซีเอ รัชดา หรือแหล่งบันเทิงที่อื่นๆ”
“นั่นน่ะซี คุณถามได้ตรงกับใจผมเลย”
แล้วภูอินทร์ก็นิ่งไปอีกหลายอึดใจ ท่าทางเขากำลังใช้ความคิดอย่างหนัก
“ใจจริง ถ้าเป็นคนอื่นเล่า ผมคงไม่อยากจะเชื่อ แต่นี่เป็นคุณ ผมย่อมต้องเชื่อคุณ เพียงแต่ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่า พวกร่างทรงจะกล้าแข็งถึงขนาดนี้ ซ้ำยังเพิ่งได้ยินด้วยว่า พวกมันก็แปลงร่างได้ คือถ้าเรื่องเหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน การพยายามจะยึดกิจการของพวกอมนุษย์ก็น่าจะเพิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกเหมือนกัน”
“ยังไงคะ”
“ก็การที่พวกร่างผีฟ้าจะยึดกิจการของพรายนี้ละครับ”
“หมายความว่าพวกร่างผีฟ้าจะทำลายกฎธรรมชาติของการอยู่ร่วมกัน ที่ว่า คนแข็งแกร่งกว่าย่อมเป็นผู้ชนะ”
คำนี้ฉันไม่ได้ยกยอคนตรงหน้าเลยสักนิด แต่เขาต้องเข้าใจได้ว่า ฉันหมายถึงอะไร
“ร่างผีฟ้า ก็แค่ร่างทรง ยังไงก็แค่คนธรรมดา...” ภูอินทร์ทำหน้าเนือยๆ ยกไหล่นิดๆ แบบไม่ให้ราคาฝ่ายตรงข้าม “...ตามสายตาของพวกอมนุษย์เรา พวกร่างผีฟ้าก็แค่ของเทียม แค่อยากจะเป็นอย่างเรา ซึ่งก็อาจจะแค่ชั่วครั้งคราว เพียงแต่เราจะเผลอไม่ได้ อย่างไรเสียพวกร่างผีฟ้าก็สามารถใช้เวทย์มนตร์คาถาในการต่อสู้ ต่างจากพวกเราที่ใช้ความสามารถตามเผ่าพันธุ์ที่ติดตัวมาแต่กำเนิด”
ภูอินทร์น่าจะหมายรวมถึงการเกิดใหม่ของพวกภูตพรายด้วยกระมัง
“แสดงว่าพวกร่างผีฟ้าไม่ได้น่ากลัวสำหรับคุณ”
“ก็ไม่เชิง เพราะเราเพิ่งรู้ว่าพวกร่างทรงดื่มโลหิตของพราย นั่นหมายถึงต้องมีพรายตกอยู่ในอันตราย และถ้ามันสูบเลือดเขาจนหมดตัว พรายก็มีสิทธิ์สิ้นชื่อได้เหมือนกัน พวกนั้นรีดเลือดจากพรายจนหมดตัวหรือเปล่า”
ระหว่างรอคำตอบจากฉัน เขาก็กดเลขหมายโทรศัพท์อีกครั้ง
ความเงียบของฉันคงเป็นคำตอบที่ดี ภูอินทร์จึงเปลี่ยนคำถามเสียใหม่
“ร่างผีฟ้าที่ว่าแปลงร่างได้ พวกมันแปลงเป็นอะไร”
เพราะที่จริงหากเป็นสัตว์สมิงหรือรากษส จะสามารถเลือกแปลงเป็นสัตว์ชนิดใดชนิดหนึ่งได้ และหลังจากนั้นจะขนานนามตัวเองว่าเป็นมนุษย์ครึ่งสัตว์จำพวกไหนก็ตามแต่ที่เลือก
ซึ่งหมายถึงพวกนั้นเป็นของแท้ ที่ผูกจิตวิญญาณไว้กับรูปสัตว์อย่างใดอย่างหนึ่ง ต่างจากพวกร่างผีฟ้าที่อาจทำได้แค่ปลอมรูปด้วยมายาภาพ ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงร่างกายที่แท้จริง
พวกสัตว์สมิงและรากษสเกลียดนักละ หากรู้ว่าใครพยายามใช้มนตราปลอมแปลงเป็นสัตว์ชนิดต่างๆ
“คือ... ฉันคิดว่าวาณี หรือใครก็ไม่รู้ในพวกนั้น... ก็คงแปลงร่างได้เหมือนคุณ...”
ฉันอ้อมแอ้มตอบ อย่างที่บอก พวกสัตว์สมิงแต่กำเนิดถือสาเรื่องการลอกเลียนแบบเป็นอย่างมาก
พวกสัตว์สมิงถือตนเองว่าเป็นพันธุ์แท้ในด้านการแปลงร่าง หรือในการเป็นสัตว์สองวิญญาณ ดูแคลนพวกรักษส์หรือรากษสว่าแท้จริงพวกนั้นเป็นอสูรต่ำชั้น ที่อาศัยแปลงเป็นสัตว์ต่างๆ เพื่อออกหากิน
ขณะที่พวกรักษส์หรือพวกอื่นๆ ที่แปลงร่างเป็นสัตว์ได้ ต่างก็กล่าวหาว่าพวกสัตว์สมิงไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง กล้าบอกว่าตนเป็นพวกสองพันธุ์จริงๆ ทั้งที่ยังมีทั้งพญานาคพญาครุฑ ที่สามารถแปลงเป็นมนุษย์ได้เมื่อต้องการ
แต่คำตอบของฉันก็ทำให้ภูอินทร์ฉุนกึก
“ไม่เหมือนพวกเราหรอกน่า...”
เขาจะพูดต่อ แต่ปลายสายรับสายเสียก่อน
“สวัสดีครับ ผมเอง ภูอินทร์”
แล้วเขาก็เงียบฟังการตอบกลับจากปลายทาง...
“ขอโทษจริงๆ ครับที่โทร.มารบกวน แต่ผมมีเรื่องจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องรายงานให้ทราบ”
ความเงียบเกิดขึ้นอีกครั้ง
“ผมต้องพบคุณให้เร็วที่สุด และขออนุญาตพามนุษย์บางคนไปพบคุณด้วยครับ”
ทางโน้นคงตอบรับมาอีกสองสามประโยค ก่อนที่ภูอินทร์จะกดวางสาย
“ผมว่าอรัญต้องรู้ที่อยู่ของพิชากับจอห์น ใช่ไหมล่ะ”
สัตว์สมิงรูปหล่อเงยหน้าขึ้นถามฉัน หลังจากนิ่งไปอีกอึดใจใหญ่
“ค่ะ ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน เพียงแต่ตอนนี้อรัญไม่อยู่”
“ไม่อยู่ ตอนที่ชีวิตคุณอยู่ในภาวะหน้าสิ่วหน้าขวานเนี่ยนะ
“ไปอัสสัมค่ะ ที่จริงไปทางเหนือของพม่าตามคำสั่งของมหารานีของเค้า”
ฉันเป็นฝ่ายต้องหลบสายตาที่จ้องเขม็งตรงมา เสมองที่ผ้าเช็ดปาก ซึ่งยังไม่ได้ถูกคลี่จากการพับไว้เป็นรูปดอกบัว
“เขาทิ้งให้คุณต้องผจญกับเรื่องร้ายแรงอยู่คนเดียว ได้ไง...”
“อรัญไม่รู้มั้งคะว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น”
ฉันไม่ได้แก้ตัวให้กับแฟนเก่าจริงๆ สาบานได้
“คืออย่างนี้ค่ะภู ตั้งแต่เจอกันที่พนัสนิคม ฉันก็ไม่ได้พบกันอรัญอีกเลย จนกระทั่งเขากลับมาบอกลา ที่ว่าจะไปทางเหนือของพม่าแล้วเลยถือโอกาสไปถึงอัสสัมของอินเดีย
“แต่เธอบอกว่าคุณกลับมาอยู่กับอรัญเหมือนเดิมแล้ว”
สีหน้าของภูอินทร์แปลกไป เหมือนเขากำลังชั่งใจกับความคิดอะไรสักอย่าง
“เธอ... ใครกันคะ”
“ก็ราศีไงล่ะ จะเป็นคนอื่นได้ยังไง”
ฉันต้องถอนใจแรงๆ ให้รู้ว่าไม่พอใจสักนิดที่คนหน้าตาดีๆ อย่างเขาจะไปเชื่อยัยนั่น
“อย่าบอกนะคะว่าคุณเชื่อคนอย่างราศี”
“ก็... เธอบอกว่าวันก่อนแวะไปที่ร้านคุณเขม ก่อนที่จะมาพบกับผม เธอว่าเห็นคุณกับอรัญจี๋จ๋ากันจนใครๆ พากันอิจฉา”
“แล้วคุณก็เชื่อ!”
ภูอินทร์ตกใจเล็กน้อย เมื่อฉันเน้นเสียงหนักๆ
“ก็ได้ ผมมันหูเบาไปเอง ไว้จะจัดการกับหล่อนทีหลัง”
“คุณต้องเข้าใจ คุณจะเชื่อใครก็ได้ แต่ไม่ใช่จากราศี ฉันเองโดนมาจนเบื่อแล้วกับเรื่องปั้นน้ำเป็นตัวจากหล่อน”
“ตกลงว่าอรัญน่าจะอยู่ที่พม่าหรือไม่ก็อินเดีย”
“เท่าที่รู้ตอนนี้นะคะ”
“หมายความว่าคุณต้องอยู่บ้านตามลำพังกับมันไตร”
แน่นอนว่าใครๆ ก็รู้จักกิตติศัพท์เรื่องผู้หญิงของพรายผู้ยิ่งใหญ่ในเขตเจริญกรุงเป็นอย่างดี
“แต่มันไตรเขาไม่ใช่มันไตรคนเดิม”
“เขาจำไม่ได้เลยหรือว่าตัวเองเป็นใคร”
“แทบจะจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นอะไรด้วยซ้ำค่ะ ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงลักษณะอุปนิสัย มันแทบจะเป็นกลับตาลปัตร”
“ก็ดีแล้วนี่”
ฉันจับได้ว่ามีแววสะใจแฝงในถ้อยคำของภูอินทร์ นั่นเพราะเขายังไม่เคยเจอมันไตรภาคใหม่ นอกจากที่รู้จักกันก่อนความจำเสื่อม รู้ว่ามันไตรฉลาดมีไหวพริบ เด็ดเดี่ยวและเจ้าเล่ห์ถึงแค่ไหน
“ช่างมันเถอะ... เรารีบไปพบกับจ่าฝูงของผมดีกว่า”
ภูอินทร์ไม่ได้โทร.กลับไปที่สำนักงานหลังจากที่เราพากันออกมาจากร้านมายคอฟฟ์ และฉันแน่ใจว่าคุณหน้าห้องนั่นจะต้องคิดว่าเราจะพากันไปหาความสุขตามโรงแรมหรือไม่ก็ที่พักของเจ้านายหล่อนแน่ๆ
แต่ก็ช่างเถอะ ปล่อยให้หล่อนคิดไปอย่างนั้น ย่อมดีกว่าการจะทำให้หล่อนเกิดสงสัย ว่าภูอินทร์ไม่ใช่มนุษย์ ซึ่งฉันจินตนาการได้ชัดเจนเลยว่า ตอนที่รู้ว่าภูอินทร์เป็นเสือดำตัวกำยำนั้น หล่อนตกอกตกใจถึงเพียงไหน
ระหว่างทาง ภูอินทร์เล่าถึงจ่าฝูงของเขาให้รู้คร่าวๆ ว่า ผู้พันเดชา เดิมเคยเป็นนาวิกโยธินแห่งกองทัพเรือไทย เกษียณอายุราชการที่ยศพันตรี มีลูกสาวคนหนึ่งที่แต่งงานและมีหลานๆ ให้ชื่นชมหลายคน จ่าฝูงของสัตว์สมิงแถบนี้จึงไม่ยอมย้ายไปอยู่ไกลจากครอบครัวของลูกสาว
“แสดงว่าภรรยาของท่านผู้พัน ก็เป็นสัตว์สมิงเหมือนกัน”
หมายความว่าหากพ่อแม่เป็นสัตว์สมิง ลูกสาวก็ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น หากเอาตัวรอดได้หลังจากแรกคลอดไม่กี่เดือน ก็การันตีได้ว่าลูกที่เกิดจากพ่อแม่ที่เป็นสัตว์สมิง จะมีชีวิตยืนยาวต่อไปอีกนาน
“ใช่ครับ แต่ก็เพิ่งตายไปเมื่อไม่กี่เดือนที่แล้ว”
บ้านของผู้พันเดชา อยู่ลึกเข้าไปในสวนแถวบางมด เป็นบ้านหลังเดี่ยวใหญ่โต
ปลูกอยู่ในรอบรั้วเดียวกับบ้านหลังย่อมๆ อีกสามหลัง ในบริเวณบ้านรักษาบรรยากาศของบ้านสวนไว้เป็นอย่างดี ด้วยการปลูกผลไม้นานาพรรณ จนร่มครึ้มเต็มพื้นที่
ฉันคิดล่วงหน้าไปว่า นายทหารนอกราชการผู้นี้คงต้องสวมชุดลำลองของทหาร คือเสื้อยืดลายพรางกับกางเกงสีน้ำเงินหรือสีกากี อะไรประมาณนั้น แต่พอได้พบกันจริงๆ ผู้พันเดชา หรืออีกนัยหนึ่งคือจ่าฝูงของภูอินทร์ กลับอยู่ในชุดอยู่กับบ้านธรรมดา คือกางเกงขาสั้นยาวเสมอเข่าสีน้ำตาล กับเสื้อโปโลลายขวางสลับสีขาวแดงและดำ แต่ทรงผมตัดสั้นเกรียนเป็นทรงลานบิน กับมัดกล้ามเนื้อแข็งแกร่งที่สังเกตได้ไม่อยาก บอกให้รู้ว่าเขาคงสามารถดำรงตำแหน่งจ่าฝูงได้ต่อไปอีกนาน
พันตรีเดชาคงอยู่รู้จะแย่แล้วว่า อะไรกันที่สำคัญนัก ถึงขนาดที่ภูอินทร์ต้องพามนุษย์อย่างฉันเข้ามาพัวพัน รับรู้ถึงความเป็นสัตว์สมิงในครอบครัวของตน
แต่เขาก็ยังใจเย็น และแสดงความเป็นสุภาพบุรุษกับฉันได้ไม่มีขาดตกบกพร่อง