พรายเสน่หา บทที่ 7

กระทู้สนทนา

พรายเสน่หา บทนำ และ บทที่ 1  http://pantip.com/topic/30419026
พรายเสน่หา บทที่ 2  http://pantip.com/topic/30420413
พรายเสน่หา บทที่ 3  http://pantip.com/topic/30422658
พรายเสน่หา บทที่ 4  http://pantip.com/topic/30458126
พรายเสน่หา บทที่ 5  http://pantip.com/topic/30462595
พรายเสน่หา บทที่ 6  http://pantip.com/topic/30476309
------------------------------------------------------------------------------


บทที่ 7



    เมื่อคืน พิชาก็ออกไปตรวจดูแล้วว่าไม่มีใครตามพี่สิทธามาด้วย ซึ่งหมายความว่าตอนกลับออกไป พี่ชายของฉันก็น่าจะกลับไปคนเดียว

    คำสุดท้ายของพี่สิทธาก่อนจากไปนั่น ฉันก็ยังจำได้ดี

    “...พี่จะไปหาอาวุธมาไว้ให้...”

    แล้วตอนนี้เขาหายไปไหนเสียแล้ว

    “ลิน หรือว่าจะให้ผมโทร.แจ้งตำรวจ”

    เสียงเจ้านายของพี่ชายดังเข้ามาอีกครั้ง แต่ฉันยังจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูกสักอย่าง

    ฉันยกมือขึ้นนวดขมับตัวเอง รู้สึกปวดตุบที่ปลายประสาทตรงหางคิ้ว

    ...อย่าเพิ่งสิ แค่ที่เป็นอยู่นี้ ยังไม่ยุ่งยากพออีกหรือไงล่ะ...

    “รออีกสักสองสามชั่วโมงดีไหมคะ ถ้าสักสิบโมงเขายังไม่ถึงที่ทำงาน รบกวนโทร.บอกด้วยนะคะ หรือไม่ถ้าพี่สิทธาไปถึงที่ทำงานแล้ ก็ให้เขาโทร.หาน้องสาวเค้าด้วย ถ้ายังไงถึงตอนนั้นฉันจะโทร.แจ้งตำรวจเองค่ะ”

    แต่คุณอิงอรไม่วางสาย ยังเล่าซ้ำไปซ้ำมาถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นอีกหลายครั้ง ฉันเข้าใจว่าเขาคงอยากพูดกับใครสักคน มากกว่าที่จะต้องไปจมอยู่กับความคิดของตัวเองคนเดียว

เรื่องนี้ไม่ได้หมายความว่าฉันรู้ใจเขาได้จากทางโทรศัพท์หรอกนะ แต่เดาได้จากน้ำเสียงและวิธีการพูดจากวกวนที่คุ้นเคย ก็คุณคนนี้น่ะ ที่จริงเป็นเพื่อนเก่าแก่ของพ่อฉันเอง

    ความยุ่งยากใจเรื่องใหม่ ทำให้หมดอารมณ์ที่จะกลับไปซุกตัวนอนอีกครั้ง ฉันเอาโทรศัพท์บ้านแบบไร้สาย ติดมือเข้ามาในห้องอาบน้ำ คิดว่าหากได้อาบน้ำเย็นๆ ให้ชื่นใจ สมองคงจะปลอดโปร่งและคิดอะไรออกบ้าง แต่ก็ยังไม่ได้สระผม ด้วยว่าหากเกิดเรื่องฉุกเฉินจนต้องออกจากบ้านในนาทีถัดไป จะได้ไม่ต้องห่วงอะไรกับมันมากนัก

    อาบน้ำอยู่นานก็ไม่มีใครโทร.เข้ามาอีก จนแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย ชงกาแฟสำเร็จรูปแบบดับเบิ้ลแก้วเดียวสองซอง แล้วกลับมานั่งเอนๆ อยู่บนโซฟาก็ยังเงียบ ระหว่างจิบกาแฟที่มีรสขมและเข้มข้นเป็นพิเศษ ฉันจึงเริ่มอนุมานข้อมูลต่างๆ เพื่อหาสาเหตุที่พี่สิทธาหายตัวไป

    คิดไปคิดมาก็ได้ข้อสรุปกับตัวเอง ที่น่าจะเป็นได้มากที่สุดสามทาง

    ทางแรกที่อยากจะให้เป็นอย่างนั้นที่สุดก็คือ เมื่อพี่สิทธาลาไปแล้ว ก็บังเอิญไปเกี้ยวใครได้สักคนระหว่างทาง... ซึ่งเขาเป็นเช่นนั้นเสมอ อาจติดใจหลงใหลหล่อนมากถึงขนาดยอมเสียการเสียงาน และในขณะที่ฉันนั่งเป็นห่วงอยู่นี้ พี่สิทธาอาจกำลังสนุกสุดเหวี่ยงกับบทรักรอบใหม่กับหล่อนคนนั้นอยู่ก็เป็นได้

    ส่วนหนทางที่สอง... นั่นก็คือพวกร่างทรง หรือพวกอมนุษย์ หรืออะไรก็ตาม เกิดบังเอิญรู้ว่าพี่สิทธารู้ที่ซ่อนของมันไตร มันเลยลากตัวเขาไปเค้นเอาความจริง ถ้าเป็นอย่างนั้น ฉันก็เดาไม่ออกหรอกว่า เขาจะเก็บความลับไว้ได้นานแค่ไหน เพราะใจหนึ่งก็เชื่อว่าเขาเป็นคนที่กล้าแบบบ้าบิ่น หรือพูดอีกอย่างคือเขาจะรั้นสุดๆ หากมีใครมาบังคับ และหากพวกที่พาไปคิดจะเค้นคอให้ได้คำตอบ ฉันก็เชื่อว่าพี่สิทธาจะไม่มีวันคายอะไรให้มันเด็ดขาดนอกจากเสมหะผสมน้ำลาย

    แต่ก็นั่นละ ถ้าถูกพวกร่างผีฟ้าหรือผู้มีวิทยาคมอื่นๆ พาตัวไปจริงๆ พี่ชายฉันก็อาจถูกเวทย์มนตร์หรือคุณไสยบังคับให้เปิดปากพูดออกมา ซึ่งถ้าเขาบอกความจริง ก็เท่ากับว่าหมดประโยชน์กับพวกมันอีกต่อไป ถ้าเป็นเช่นนั้น ป่านนี้พี่สิทธาก็คงชะตาถึงฆาตไปเรียบร้อยแล้ว และหมายความว่า ฉันกับมันไตรกำลังตกอยู่ในอันตราย พวกมันอาจมาถึงหน้าบ้านฉันแล้วด้วยซ้ำ เพราะพวกร่างทรงหรือพวกร่างผีฟ้า ไปไหนมาไหนในเวลากลางวันได้สะดวกง่ายดาย โดยไม่ต้องกังวลว่าแสงแดดจะแผดเผา

    สภาพของฉันขณะนี้ ยังไม่พร้อมอย่างยิ่งที่จะสู้รบตบมือกับใครๆ

กับมันไตรยิ่งไม่ต้องพูดถึง เวลากลางวันเช่นนี้เขาก็ไม่ต่างจากซากผีที่ไม่มีวันเน่าเปื่อย แค่นั้นเอง

    ดังนั้นทางที่สองนี้จึงถือเป็นความเลวร้ายที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้น

    ส่วนหนทางที่สาม คือพี่สิทธาตกลงใจไปกับพิชาและจอห์น พากันไปที่เดอะพรายเพื่อวางแผนการต่อไป แต่บังเอิญพี่ชายฉันไปเจอนางพรายกระหายรัก ยั่วยวนจนได้ไปค้างอ้างแรมอยู่ด้วยกัน หนทางนี้ก็มีส่วนที่จะเป็นไปได้ เพราะเรื่องไวผู้หญิงนั้น พี่ชายฉันก็ไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่ามันไตรสักกระเบียด ถ้าเป็นการระเริงรักกับนางพรายจริงๆ พี่ชายอาจได้ปรนเปรอหล่อนด้วยเลือดเนื้อ ด้วยโลหิตของตนเอง เมื่อเป็นเช่นนั้น ป่านนี้ความอ่อนเพลียที่ต้องเสียเลือด ก็ย่อมทำให้เขาไม่สามารถจะปลุกตัวเองให้ลุกขึ้นมารับผิดชอบการงานของตนได้แน่ๆ

    แต่ถ้าเป็นเหตุผลข้อสุดท้ายนี้ ย่อมหมายความว่าพิชาและจอห์นก็ต้องรู้ ซึ่งถ้าเขาหรือหล่อนไม่ยอมโทร.มาบอกฉัน ก่อนที่จะกลับเข้าไปนอนเพื่อซ่อนตัวจากแดด ฉันนี่ละที่จะเป็นคนไปเปิดฝาโลงให้แสงอาทิตย์แผดเผาพวกเขาให้ตายอีกรอบ หรือไม่ก็จะ...

    ฉันจะฆ่าใครได้อีกละหรือ...

    ความรู้สึกที่อยากจะปิดผนึกมันไว้ให้มิดชิดหวนมาอีกแล้ว...

เวลานั้น... ที่ฉันหันขวับกลับไป แล้วเห็นว่าเมวีฬ์กำลังโถมตัวลงมา แม้มันจะเกิดขึ้นในชั่วเสี้ยววินาที ตอนที่ฉันฉวยได้ไม้หักๆ อันหนึ่ง ซึ่งดันมีปลายแหลมเหมาะเจาะ เสียบย้อนเข้าตรงลิ้นปี่ของหล่อนได้พอดิบพอดี

    สีหน้าและแววตาของพรายที่ดูเหมือนกำลังจะตายซ้ำนั้นช่างน่าสยดสยอง ภาพนั้นคงไม่มีวันลบเลือนไปจากความทรงจำ ฉันไม่ใช่พวกที่จะทำร้ายใครโดยไม่มีสาเหตุ ยิ่งต้องทำกันให้ถึงกับเลือดตกยางออกด้วยแล้ว ยิ่งไม่เคยอยู่ในหัวสมองเลยแม้แต่นิดเดียว

    ฉันพยายามผลักฉากภาพของการโกลาหล ตอนเข้าไปช่วยอรัญนั้นออกไปจากหัว ตอนนี้เรื่องสำคัญที่สุดคือ ต้องรู้ให้ได้ว่าพี่สิทธาหายไปไหน

    ถ้าเป็นทางที่สาม และพิชากับจอห์นไม่ยอมโทร.มาบอกก่อนจะกลับเข้าไปนอนซ่อนตัวจริงๆ แล้วฉันจะทำยังไง

    ไม่อยากจะเดาหรอกว่า ถ้าโทร.ไปที่เดอะพรายในตอนนี้ แล้วจะมีใครมารับสาย ซึ่งค่อนข้างแน่ใจว่า ต้องไม่ใช่สองพรายที่มาเยือนบ้านฉันเมื่อคืนแน่ๆ พวกนั้นจะต้องพักอยู่ที่อื่น แต่ที่ไหนก็สุดรู้ แม้จะคงไม่ห่างจากแถวย่านเจริญกรุงมากนัก แต่ที่หลับนอนของพวกพราย ก็จัดเป็นเรื่องลับสุดยอดอยู่แล้ว เพื่อความปลอดภัย

    หรือถ้าโทร.ไปแล้วโชคดีมีคนรับ ก็อาจคือลูกจ้างที่เป็นมนุษย์ทั่วไป และแน่นอนว่าพวกเขาจะไม่ยอมปริปากเด็ดขาดว่า เจ้านายพักอยู่ที่ไหน คนพวกนั้นต้องเรียนรู้เป็นอย่างดี ถ้าปากมากเรื่องของบรรดาภูตพรายแล้ว ตนจะต้องตกอยู่ในสภาพใด

    แต่ถ้าฉันจะเดินทางไปถึงที่นั่น... นั่นอาจจะเป็นทางที่ดีที่สุด อย่างน้อยถ้าได้เจอกับพวกพนักงานมนุษย์ ที่เข้ามาทำความสะอาดในช่วงกลางวัน การเห็นหน้าเห็นตากัน ย่อมช่วยให้ฉันสามารถอ่านความคิดของพวกเขาได้

    นึกมาถึงตรงนี้แล้วก็อดไม่ได้ที่จะโมโหตัวเอง... ก็เพราะอ่านใจพวกพรายไม่ได้นี่ละ ที่ทำให้ฉันตกหลุมรักความอ่อนหวานมีเสน่ห์ของอรัญในตอนนั้น

    แม้ว่ามันจะดูแปลกๆ อยู่บ้างตรงที่ ฉันสามารถล่วงรู้ความคิดของพรายตนหนึ่งได้ มันเหมือนกับ “ได้ยิน” ว่าเขากำลังคิดอะไร มันเป็นอย่างนี้มามากกว่าสองครั้งแล้ว เธอน่าจะเดาได้... ก็มันไตรไงล่ะ พรายหนุ่มจ้าวเสน่ห์ ที่ยอมให้ฉันดื่มโลหิตของตัวเองเพื่อให้ได้แข็งแรงขึ้นอย่างทันอกทันใจ

    มันไตรในตอนนี้ ฉันถือได้ว่าเป็นเพื่อนที่ถูกใจและเข้าใจกัน เช่นเดียวกับที่ฉันเคยรู้สึกอย่างนี้กับอรัญ ทั้งนี้ไม่นับเรื่องชวนฝันอื่นๆ ที่ฉันกับอรัญถักทอ สานก่อร่วมกันหรอกนะ

    จวนจะสิบโมงอยู่แล้ว เวลาที่ฉันหน่วงเหนี่ยวเอาไว้กับคุณอิงอรใกล้จะหมดลงทุกที โทรศัพท์ยังวางนิ่งอยู่ในที่ของมัน ส่วนความคิดของฉันก็วกวนแบบหาทางออกไม่เจอ

    มันเป็นเรื่องน่ารำคาญที่สุด เวลาต้องอยู่คนเดียว แล้วคิดวนเวียนอยู่อย่างนี้

    แล้วเวลาสิบนาฬิกาก็มาถึง เมื่อทางที่ทำงานของพี่สิทธาไม่โทร.มา ฉันนี้ละจะเป็นฝ่ายโทร.ไป

    แต่เสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้นเสียก่อน นึกหมั่นไส้ในความตรงเวลาของคนโทร.มาอย่างช่วยไม่ได้

    คุณอิงอรบอกว่าไม่ได้ความคืบหน้าอะไรเลย สืบถามทุกที่แล้วก็ไม่มีใครเห็นวี่แววว่าพี่ชายฉันจะไปซุกซ่อนอยู่ตรงที่ใด นายแสงกลับไปที่บ้านอีกครั้ง และรถของพี่ชายฉันก็ยังอยู่ในสภาพเดิม บริเวณหน้าบ้านก็ไม่ได้มีสิ่งผิดปกติอะไร ที่น่าโมโหนิดหนึ่งก็คือ คำว่าประตูรถเปิดทิ้งไว้นั้น ที่จริงแค่ไม่ได้ล็อค แต่มันก็ปิดอยู่ตามปกติ คำว่าเปิดที่หมายถึงเผยอยู่นั่น ทำให้ฟังดูคล้ายมีใครมาลากตัวพี่สิทธาลงไปจากรถ มันต่างกันเยอะนะ กับการแค่รีบจนลืมล็อคประตู

    ข้อมูลที่ได้รับ ถือว่าคุณอิงอรได้ทำหน้าที่ของตนตามที่ตกลงกันไว้สมบูรณ์ดีแล้ว แต่ฉันก็ยังไม่อยากโทร.แจ้งตำรวจอยู่ดี ถึงจะรู้ว่ามันจำเป็น กับการที่อยู่ๆ ก็มีใครคนหนึ่งหายไปอย่างผิดปกติ ไร้ร่องรอย ถ้าไม่รีบโทร.ไปแจ้งความเรื่องมันอาจยุ่งยากมากขึ้นกว่านี้ก็เป็นได้

    อุตส่าห์โทร.ไปหานายตำรวจที่รู้จักกันมานานตั้งแต่คุณพ่อคุณแม่และคุณยายยังมีชีวิต ซึ่งเขาก็รู้จักครอบครัวของเราเป็นอย่างดี คิดว่าผู้กองปราบดัสกรจะตกใจหรือแสดงความเป็นห่วงอะไรออกมาบ้าง แต่เปล่าเลย

    เขากลับหัวเราะใส่ฉันเสียอีก

    “แค่จะโทร.มาบอกลุงว่าพี่ชายของลินไม่ไปทำงานเนี่ยนะจ๊ะ รู้ไหมที่ลุงคิดตอนนี้คืออะไร... คือลุงไม่แปลกใจที่วันใดวันหนึ่งสิทธาจะไม่ไปทำงาน แต่ที่แปลกใจก็คือ ลินคิดได้ยังไงที่จะต้องโทร.มาบอกลุง”

    พูดจบผู้กองชราก็หัวเราะร่วนให้ได้ยินอีกครั้ง

    หน้ายับๆ กับจมูกโตๆ พรุนๆ ของลุงปราบดัสกร ที่ปกติก็ไม่น่ามองอยู่แล้ว คงกำลังขยับพะเยิบเป็นลอนคลื่น ตอนที่กำลังพูดด้วยสำเนียงเยาะหยันฉันอย่างนั้น

    “กับเรื่องงานพี่สิทธาไม่เคยเหลวไหลนะคะ อีกอย่างหนึ่งคือที่ทำงานให้คนไปดูที่บ้าน ก็ยังเห็นว่าประตูรถของพี่ชายฉันยังไม่ได้ล็อค เรื่องนี้มันต้องมีเงื่อนงำสิคะ”

    “มันก็น่าสงสัยอะไรอยู่เหมือนกันนั่นละ แต่ลินก็รู้ หรือใครๆ ก็รู้จักนิสัยของสิทธาดีว่าอะไรบ้างที่จะทำให้เขาหายหน้าไปเฉยๆ...”

    เสียงทางปลายสายนิ่งไปนิดหนึ่ง ก่อนจะส่งน้ำเสียงเป็นการเป็นงานกว่าตอนแรก

    “...ป่านนี้คงเพลินอยู่กับใครสักคน อาจจะเข้าขั้นหัวปักหัวปำลืมวันลืมคืน ลุงเชื่อว่าถ้าเขานึกขึ้นได้เมื่อไหร่ ก็ต้องเสียใจแน่ๆ ที่ทำให้ลินเป็นห่วงถึงขนาดนี้ เอาอย่างนี้นะ... ถ้าพรุ่งนี้หลังเที่ยงไปแล้ว สิทธายังไม่กลับมา ลินค่อยโทร.หาลุงอีกครั้ง”

    “ได้ค่ะ”

    ‘แสดงว่ายังไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงที่คนหายไป จะยังไม่รับแจ้งความงั้นสินะ’

    ฉันได้แต่คิดในใจตอนทำเสียงเย็นชาตอบกลับไปสั้นๆ อย่างนั้น

    “ปาลิน มันเป็นระเบียบน่ะนะ หวังว่าคงจะเข้าใจลุง”

    พวกจอมขี้เกียจสิไม่ว่า ฉันโวยซ้ำอยู่ในใจเช่นกัน เพราะยังไม่กล้าจะตะโกนออกมาดังๆ ให้ ‘ผู้รักษากฎหมาย’ ได้ยิน

    เพียงแค่เออออรับคำปลอบโยนของผู้กองชราอีกสองสามคำ ก่อนที่ฉันจะวางสาย

    แล้วก็ต้องโทร.ไปบอกกับคุณอิงอรอีกครั้ง ในฐานะหัวหน้าของพี่ชาย ฉันจำเป็นจะต้องบอกเขาว่า ตำรวจจะไม่รับแจ้งความจนกว่าจะครบยี่สิบสี่ชั่วโมงที่มีคนหายไป

    คงจะต้องไปให้ถึงเดอะพรายแล้วละ เบาะแสสุดท้ายอยู่ที่พิชากับจอห์น คงต้องหาทางตามหาสองคนนั้นให้พบ

    ฉันเกือบจะโทร.หาภูอินทร์ สัตว์สมิงที่มันไตรเคยบอกให้เขาไปช่วยฉันค้นหาอรัญ แต่พอนึกขึ้นได้ว่า ยังมีบางเรื่องราวที่คงค้างคาในใจเขา การที่ฉันจะโทร.ไปหาเพื่อขอความช่วยเหลืออีกครั้ง แม้ว่ามันจำเป็นจริงๆ แต่เขาก็อาจคิดว่าฉันกำลังจะหลอกปั่นหัวเขาเล่นอีกรอบแน่ๆ

    ที่จริงฉันไม่ได้อยากจะดั้นด้นไปให้ถึงเดอะพรายที่เจริญกรุงเลยสักนิด เพราะหากมีข่าวความคืบหน้าของพี่ชาย ฉันจะได้รู้ทันที

นึกแล้วก็โมโหตัวเอง ที่ไม่ยอมใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ ด้วยแค่สาเหตุที่มันกลายเป็นเสาอากาศรับสัญญาณความคิดของผู้คนรอบตัว ให้คล้ายตะโกนใส่หูฉันตลอดเวลา

    แต่... ถ้าตำรวจยังไม่รับแจ้งความ ก็แสดงว่าจะยังไม่มีการออกค้นหา ซึ่งหมายความว่าย่อมไม่มีใครอื่นที่จะติดต่อมาบอกความคืบหน้าเรื่องพี่สิทธา และมันคงจะเป็นปาฏิหาริย์เกินไป ที่ใครอื่นจะโทร.เข้ามาเพื่อพูดกับฉันในเรื่องนี้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่