บทที่ 2
ฉันอยากจะใช้ความสามารถพิเศษที่มี ลองสืบเข้าไปในความคิดของมันไตร ดูซิว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่ แต่การอ่านคลื่นความคิดหรือความทรงจำของพวกอมนุษย์นั้นยากเย็น และตอนนี้ฉันก็เหน็ดเหนื่อยจนแทบจะไม่เหลือเรี่ยวแรงทำอะไร
ถึงจะตื่นเต้นตอนที่ได้เจอเขาวิ่งโทงๆ อยู่ริมทาง แต่ความตื่นตกใจเหล่านั้นก็อันตรธานไปหมดแล้ว ตอนนี้ฉันเหลือเพียงความสงสัยที่ไม่อาจหาคำตอบได้ เพียงแค่นั้น
จำเป็นต้องพาพรายหนุ่มรูปหล่อ ที่ฉันเคยตกตะลึงเมื่อแรกเห็น กลับมาที่บ้าน ระหว่างทางก็ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกว่าต้องช่วยเขาคลี่คลายสถานการณ์ให้ได้ เพราะจากประตูรั้วใหญ่หน้าบ้าน ทางที่จะให้รถเข้ามาจอดได้นั้น ก็เป็นมันไตรนี่ละที่ช่วยจัดการให้มันใช้การได้
ถึงฉันจะรู้ว่าเขาทำอย่างนั้นเพราะมีเจตนาอยากจะสร้างสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับฉัน แต่ในเมื่อมันได้เกิดขึ้นอย่างบุ่มบ่ามหรือปุบปับ หรือไม่ได้เกิดขึ้นเพราะการบังคับขืนใจ แล้วทำไมฉันจะไม่ยอมช่วยเหลือเขา โดยให้ขึ้นรถมาด้วยล่ะ
“ถึงแล้วค่ะ”
ฉันขับรถอ้อมมาด้านหลัง ซึ่งมีไฟดวงเล็กตามไว้พอให้รู้ว่ามีไฟ ซึ่งความวอมแวมนั้นหรี่จางกว่าโคมไฟหน้าบ้านมากมาย
“นี่บ้านคุณหรือ”
มันไตรลงมายืนอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก เขาเรียนรู้ได้เร็วทีเดียวกับการเปิดปิดประตูรถ ท่าทางเขายังหวาดหวั่นเมื่อเหลียวมองไปรอบตัว แล้วเห็นแต่ต้นไม้ร่มครึ้ม และปราศจากแสงไฟจากบ้านหลังอื่นๆ
“ใช่ค่ะ”
ฉันรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก เวลานี้เขาดูเหมือนเด็ก เด็กไร้เดียงสาที่น่ารำคาญเสียด้วย
ยิ่งเขาหันมามองหน้าฉันด้วยแววตื่นตระหนกกว่าเดิม ฉันก็ยิ่งอารมณ์เสีย
“เถอะค่ะ จะอะไรนักหนา รีบๆ เข้ามาเถอะน่ะ”
ฉันเดินนำขึ้นเฉลียงหลังบ้านขึ้นมาก่อน ควานหากุญแจที่ซ่อนไว้บนซอกกรอบหน้าต่างด้านบน เข้ามาเปิดไฟในห้องครัว แล้วค่อยหันมาเรียกพรายหนุ่มรูปหล่อความจำเสื่อมอีกครั้ง
“มันไตรฉันอนุญาตให้คุณเข้ามาได้”
ฉันกล่าวคำอนุญาตอย่างเป็นทางการเช่นนี้ หากจะให้พวกอมนุษย์เข้ามาในบ้าน ซึ่งนี้เป็นบทบัญญัติหนึ่งในการที่พวกเราจะใช้ชีวิตร่วมกัน
เขารีบก้าวตามเข้ามาทันที และเมื่อเข้ามาให้เห็นชัดๆ ภายใต้แสงนีออน สภาพเขาก็ยิ่งน่าสงสาร เท้าที่วิ่งมาตามถนนโดยปราศจากรองเท้า ตอนนี้มีเลือดไหลซึมออกมา
“คุณพระช่วย มันไตร เท้าคุณ!”
ฉันรีบบอกให้เขานั่งลงเคาน์เตอร์ครัว รีบหาอ่างน้ำรองน้ำอุ่น แล้วเลื่อนมาให้เขาค่อยๆ จุ่มเท้าลงไป
ถึงจะรู้ดีว่าบาดแผลแค่นี้ทำอะไรพวกพรายไม่ได้ ประเดี๋ยวเดียวมันก็จะสมานกันสนิท แต่ฉันก็อดไม่ได้อยู่ดีที่จะต้องช่วยทำความสะอาดบาดแผลให้
ส่วนกางเกงขายาวที่เลอะดินโคลนคลั่กไปหมด ก็ทำให้ฉันต้องออกปาก
“ถอดมันก่อนเถอะคุณไตร”
ฉันต้องบอก เพราะถ้าทำความสะอาดเท้าทั้งอย่างนั้น คราบดินโคลนก็ต้องเลอะเทอะอยู่ดี
พรายหนุ่มรูปหล่อโดดลงมาที่พื้นอีกครั้ง แล้วจัดแจงถอดกางเกงยืนตัวฟิตทันที โดยไม่มีการเก้อเขินหรือแสดงพิรุธเลศนัยใดๆ ทั้งสิ้น
เมื่อเขาเฉยๆ ฉันก็จำเป็นต้องไม่คิดอะไรให้เป็นที่หวาดเสียวแก่ตัวเอง โยนกางเกงที่ถูกถอดจากช่วงขาแข็งแกร่ง ไปไว้นอกประตู เพื่อเข้าเครื่องซักในวันพรุ่งนี้
อีกทั้งยังต้องทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับชิ้นส่วนห่อหุ้มที่เหลือติดกายเขา ที่มีเพียงกางเกงชั้นในทรงบิกินีขอบเล็กสีฟ้าสด ที่แทบจะเก็บอะไรๆ ไว้ไม่หมด และรู้สึกเหมือนว่ามันจะถูกดันจนแทบจะฉีกขาดอยู่ตลอดเวลา เจ้าบิกินีตัวจ้อยนั่นคล้ายกำลังพิสูจน์ตัวเอง ว่าจะมีความสามารถทนทานและยืดหยุ่นได้ขนาดไหน กับการกางกั้นสิ่งที่มันมีหน้าที่ต้องปกปิดเอาไว้
จ๊ะ เรื่องที่น่าคิดไม่ใช่เรื่องกางเกงในตัวจิ๋วนี้หรอก แต่ก็ใกล้เคียงกันไม่น้อย
นั่นคือ ที่จริงฉันเคยเห็นมันไตรในชุดชั้นในมาก่อน ถึงมันจะเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ก็ทำให้ฉันจำได้ติดตาว่า เขาใช้ชั้นในแบบกางเกงขาสั้นที่เรียกว่าบ็อกเซอร์ ไม่ใช่แบบรัดติ้วจนเจ้าตัวใหญ่ภายในแทบขาดใจแบบนี้ เอ... หรือว่าพวกผู้ชายใช้สลับไปมาหลายๆ แบบก็ไม่รู้
ดีที่มันไตรหันไปดึงเสื้อคลุมที่ค่อนข้างยาวที่ติดตัวมาจากในรถ มาสวมคลุมปกปิดส่วนที่น่าหวาดเสียวให้หายไปในร่มผ้าได้กว่าครึ่ง
จนฉันเริ่มเชื่อแล้วว่าตอนนี้เขาไม่ได้เป็นตัวของตัวเองเลยจริงๆ เพราะถ้าเป็นมันไตรผู้ร่ำรวยและสง่าผ่าเผย เขาจะไม่กังวลเลยว่าตัวเองอยู่ในสายตาคนอื่นขณะสวมเพียงชั้นในตัวเล็กๆ เพราะเขารู้ตัวดีว่าความหล่อเหลาเจ้าเสน่ห์นั้น เป็นที่ถวิลหาและจับตามองของผู้คนทั่วไป ซึ่งคงหาไม่ได้ง่ายๆ หรอกที่คนที่รูปร่างหน้าตาระดับเขา จะเปลือยกายให้ใครได้ชมง่ายๆ
เพียงแต่ไม่มีสาเหตุอื่นที่จะช่วยให้ฉันอนุมานได้ว่า ทำไมเขาถึงเกิดความจำเสื่อมขึ้นมาได้
เขาจุ่มเท้าลงในอ่างน้ำอุ่นจัดอีกครั้ง ให้เขาแช่อยู่สองสามนาทีก่อนที่ฉันจะเริ่มใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กกับสบู่เหลวทำความสะอาดให้เขา
“คุณอยู่ข้างนอกตอนกลางดึก”
พรายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เพิ่งเลิกงานน่ะค่ะ และก็กำลังกลับบ้าน ดูซิคะ ฉันยังอยู่ในชุดพนักงานเสิร์ฟอยู่เลย”
ฉันยังอยู่ในเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนกุด กับกระโปรงสั้นเต่อที่มีแล็คกิ้งอีกชั้นสวมไว้ป้องกันสายตาชอนไชของพวกลูกค้าหื่นๆ บางคน
“แต่เป็นกลางดึก ยังไงๆ ผู้หญิงก็ไม่ควรอยู่ข้างนอกคนเดียว”
อยากจะหัวเราะ นี่มันสมัยไหนกันแล้ว แต่ฉันก็ต้องข่มใจเอาไว้ ถามเขาเรียบๆ ว่า
“เพราะอะไรหรือคะ”
“ก็ข้างนอกตอนกลางคืนอันตรายมาก ผู้หญิงอ่อนแอกว่าผู้ชาย จึงควรมีใครคอยปกป้องคุ้มครอง หากจำเป็นต้องออกนอกบ้านเวลากลางคืนจริงๆ”
ปลื้มซะไม่มีละ กับมันไตรภาคความจำเสื่อมคนนี้
“ตามธรรมเนียมก็ควรเป็นอย่างนั้นละค่ะ และจริงๆ แล้วฉันก็ไม่ได้อยากออกไปไหนต่อไหนในตอนกลางคืนนักหรอก”
“แล้วคุณออกไปทำไม”
“งานซิคะ ต้องทำงาน เพื่อจะได้งานมาเลี้ยงดูชีวิตตัวเอง”
ฉันเอื้อมมือไปเขี่ยปึกใบเรียกเก็บเงินสารพัดที่วางซ้อนอยู่ใกล้ๆ ให้เขาได้เห็นชัดๆ
“ค่านั่นค่านี้สารพัดละค่ะ รถก็เก่าจนไม่รู้ว่ามันจะเกเรเมื่อไหร่ ไหนจะประกันชีวิตประกันสังคม กับจิปาถะอีกสารพัน”
ฉันพูดไปเรื่อย ไม่หวังจะให้เขามาเห็นอกเห็นใจอะไรหรอก แต่เขาก็ดันถามคำถามที่ทำให้เจ็บใจจนได้
“ทำไมล่ะ ครอบครัวคุณไม่มีผู้ชายคอยช่วยเหลือเรื่องพวกนี้เลยหรือ”
“มีพี่ชายไงคะ สิทธา ไม่แน่ใจว่าคุณเคยเจอกันหรือยัง”
มีแผลหนึ่งตรงซอกนิ้วที่ดูเหมือนจะเหวอะหวะเกินกว่าจะแค่เช็ดทำความสะอาด แต่ฉันก็ทำได้เพียงชำระล้างให้ดีที่สุด เขานิ่วหน้าเมื่อถูกย้ำตรงแผลนั้น ส่วนรอยถลอกอื่นๆ ค่อยสมานกันเป็นปกติอยู่ต่อตาฉันนี่ละ
“แล้วทำไมพี่ชายถึงยอมให้คุณออกไปทำงานนอกบ้านในเวลากลางคืน”
ถึงประโยคนี้ ฉันนึกไปถึงพี่ชาย นึกไม่ออกหรอกว่า เขาเคยคิดจะพูดอะไรเป็นทำนอง น้องสาวที่รัก เธอไม่ต้องออกไปทำงานนอกบ้านหรอก เป็นหน้าที่ของพี่ชายคนนี้เองนะจ๊ะ มันเป็นเรื่องที่ฟังดูตลกและเป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด ที่สมัยนี้ลูกผู้หญิงต้องอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน
“แหม! คุณไตร พูดเป็นเล่นไปได้”
ฉันแกล้งทำหน้างอใส่พรายหนุ่มรูปหล่อที่ทำท่าว่าสนใจเรื่องที่กำลังสนทนากันอย่างจริงจังที่สุด
“พี่สิทธาเขาก็มีภาระสุมหัวมากมายอยู่แล้ว”
เช่นก็พยายามใช้ตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาล และเป็นเพลย์บอยฟันสาวไม่เลือกหน้าเป็นต้น
การทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อยจนได้ ตอนนี้แทบจะเรียกได้ว่ามันไตรกลับมาเป็นเทพบุตรสำหรับสาวๆ อีกครั้งหนึ่งแล้ว และบาดแผลต่างๆ ก็หายเกือบสนิท กลับเป็นฉันเสียอีกที่รู้สึกชาๆ ที่เท้า เพราะนั่งอยู่ในท่าราบนานเกินไป
“คุณไตรคะ ฉันว่าคุณควรโทรหาพิชา เธอน่าจะรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณ”
“พิชา?”
พรายเสน่หา บทที่ 2
บทที่ 2
ฉันอยากจะใช้ความสามารถพิเศษที่มี ลองสืบเข้าไปในความคิดของมันไตร ดูซิว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่ แต่การอ่านคลื่นความคิดหรือความทรงจำของพวกอมนุษย์นั้นยากเย็น และตอนนี้ฉันก็เหน็ดเหนื่อยจนแทบจะไม่เหลือเรี่ยวแรงทำอะไร
ถึงจะตื่นเต้นตอนที่ได้เจอเขาวิ่งโทงๆ อยู่ริมทาง แต่ความตื่นตกใจเหล่านั้นก็อันตรธานไปหมดแล้ว ตอนนี้ฉันเหลือเพียงความสงสัยที่ไม่อาจหาคำตอบได้ เพียงแค่นั้น
จำเป็นต้องพาพรายหนุ่มรูปหล่อ ที่ฉันเคยตกตะลึงเมื่อแรกเห็น กลับมาที่บ้าน ระหว่างทางก็ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกว่าต้องช่วยเขาคลี่คลายสถานการณ์ให้ได้ เพราะจากประตูรั้วใหญ่หน้าบ้าน ทางที่จะให้รถเข้ามาจอดได้นั้น ก็เป็นมันไตรนี่ละที่ช่วยจัดการให้มันใช้การได้
ถึงฉันจะรู้ว่าเขาทำอย่างนั้นเพราะมีเจตนาอยากจะสร้างสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับฉัน แต่ในเมื่อมันได้เกิดขึ้นอย่างบุ่มบ่ามหรือปุบปับ หรือไม่ได้เกิดขึ้นเพราะการบังคับขืนใจ แล้วทำไมฉันจะไม่ยอมช่วยเหลือเขา โดยให้ขึ้นรถมาด้วยล่ะ
“ถึงแล้วค่ะ”
ฉันขับรถอ้อมมาด้านหลัง ซึ่งมีไฟดวงเล็กตามไว้พอให้รู้ว่ามีไฟ ซึ่งความวอมแวมนั้นหรี่จางกว่าโคมไฟหน้าบ้านมากมาย
“นี่บ้านคุณหรือ”
มันไตรลงมายืนอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก เขาเรียนรู้ได้เร็วทีเดียวกับการเปิดปิดประตูรถ ท่าทางเขายังหวาดหวั่นเมื่อเหลียวมองไปรอบตัว แล้วเห็นแต่ต้นไม้ร่มครึ้ม และปราศจากแสงไฟจากบ้านหลังอื่นๆ
“ใช่ค่ะ”
ฉันรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก เวลานี้เขาดูเหมือนเด็ก เด็กไร้เดียงสาที่น่ารำคาญเสียด้วย
ยิ่งเขาหันมามองหน้าฉันด้วยแววตื่นตระหนกกว่าเดิม ฉันก็ยิ่งอารมณ์เสีย
“เถอะค่ะ จะอะไรนักหนา รีบๆ เข้ามาเถอะน่ะ”
ฉันเดินนำขึ้นเฉลียงหลังบ้านขึ้นมาก่อน ควานหากุญแจที่ซ่อนไว้บนซอกกรอบหน้าต่างด้านบน เข้ามาเปิดไฟในห้องครัว แล้วค่อยหันมาเรียกพรายหนุ่มรูปหล่อความจำเสื่อมอีกครั้ง
“มันไตรฉันอนุญาตให้คุณเข้ามาได้”
ฉันกล่าวคำอนุญาตอย่างเป็นทางการเช่นนี้ หากจะให้พวกอมนุษย์เข้ามาในบ้าน ซึ่งนี้เป็นบทบัญญัติหนึ่งในการที่พวกเราจะใช้ชีวิตร่วมกัน
เขารีบก้าวตามเข้ามาทันที และเมื่อเข้ามาให้เห็นชัดๆ ภายใต้แสงนีออน สภาพเขาก็ยิ่งน่าสงสาร เท้าที่วิ่งมาตามถนนโดยปราศจากรองเท้า ตอนนี้มีเลือดไหลซึมออกมา
“คุณพระช่วย มันไตร เท้าคุณ!”
ฉันรีบบอกให้เขานั่งลงเคาน์เตอร์ครัว รีบหาอ่างน้ำรองน้ำอุ่น แล้วเลื่อนมาให้เขาค่อยๆ จุ่มเท้าลงไป
ถึงจะรู้ดีว่าบาดแผลแค่นี้ทำอะไรพวกพรายไม่ได้ ประเดี๋ยวเดียวมันก็จะสมานกันสนิท แต่ฉันก็อดไม่ได้อยู่ดีที่จะต้องช่วยทำความสะอาดบาดแผลให้
ส่วนกางเกงขายาวที่เลอะดินโคลนคลั่กไปหมด ก็ทำให้ฉันต้องออกปาก
“ถอดมันก่อนเถอะคุณไตร”
ฉันต้องบอก เพราะถ้าทำความสะอาดเท้าทั้งอย่างนั้น คราบดินโคลนก็ต้องเลอะเทอะอยู่ดี
พรายหนุ่มรูปหล่อโดดลงมาที่พื้นอีกครั้ง แล้วจัดแจงถอดกางเกงยืนตัวฟิตทันที โดยไม่มีการเก้อเขินหรือแสดงพิรุธเลศนัยใดๆ ทั้งสิ้น
เมื่อเขาเฉยๆ ฉันก็จำเป็นต้องไม่คิดอะไรให้เป็นที่หวาดเสียวแก่ตัวเอง โยนกางเกงที่ถูกถอดจากช่วงขาแข็งแกร่ง ไปไว้นอกประตู เพื่อเข้าเครื่องซักในวันพรุ่งนี้
อีกทั้งยังต้องทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับชิ้นส่วนห่อหุ้มที่เหลือติดกายเขา ที่มีเพียงกางเกงชั้นในทรงบิกินีขอบเล็กสีฟ้าสด ที่แทบจะเก็บอะไรๆ ไว้ไม่หมด และรู้สึกเหมือนว่ามันจะถูกดันจนแทบจะฉีกขาดอยู่ตลอดเวลา เจ้าบิกินีตัวจ้อยนั่นคล้ายกำลังพิสูจน์ตัวเอง ว่าจะมีความสามารถทนทานและยืดหยุ่นได้ขนาดไหน กับการกางกั้นสิ่งที่มันมีหน้าที่ต้องปกปิดเอาไว้
จ๊ะ เรื่องที่น่าคิดไม่ใช่เรื่องกางเกงในตัวจิ๋วนี้หรอก แต่ก็ใกล้เคียงกันไม่น้อย
นั่นคือ ที่จริงฉันเคยเห็นมันไตรในชุดชั้นในมาก่อน ถึงมันจะเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ก็ทำให้ฉันจำได้ติดตาว่า เขาใช้ชั้นในแบบกางเกงขาสั้นที่เรียกว่าบ็อกเซอร์ ไม่ใช่แบบรัดติ้วจนเจ้าตัวใหญ่ภายในแทบขาดใจแบบนี้ เอ... หรือว่าพวกผู้ชายใช้สลับไปมาหลายๆ แบบก็ไม่รู้
ดีที่มันไตรหันไปดึงเสื้อคลุมที่ค่อนข้างยาวที่ติดตัวมาจากในรถ มาสวมคลุมปกปิดส่วนที่น่าหวาดเสียวให้หายไปในร่มผ้าได้กว่าครึ่ง
จนฉันเริ่มเชื่อแล้วว่าตอนนี้เขาไม่ได้เป็นตัวของตัวเองเลยจริงๆ เพราะถ้าเป็นมันไตรผู้ร่ำรวยและสง่าผ่าเผย เขาจะไม่กังวลเลยว่าตัวเองอยู่ในสายตาคนอื่นขณะสวมเพียงชั้นในตัวเล็กๆ เพราะเขารู้ตัวดีว่าความหล่อเหลาเจ้าเสน่ห์นั้น เป็นที่ถวิลหาและจับตามองของผู้คนทั่วไป ซึ่งคงหาไม่ได้ง่ายๆ หรอกที่คนที่รูปร่างหน้าตาระดับเขา จะเปลือยกายให้ใครได้ชมง่ายๆ
เพียงแต่ไม่มีสาเหตุอื่นที่จะช่วยให้ฉันอนุมานได้ว่า ทำไมเขาถึงเกิดความจำเสื่อมขึ้นมาได้
เขาจุ่มเท้าลงในอ่างน้ำอุ่นจัดอีกครั้ง ให้เขาแช่อยู่สองสามนาทีก่อนที่ฉันจะเริ่มใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กกับสบู่เหลวทำความสะอาดให้เขา
“คุณอยู่ข้างนอกตอนกลางดึก”
พรายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เพิ่งเลิกงานน่ะค่ะ และก็กำลังกลับบ้าน ดูซิคะ ฉันยังอยู่ในชุดพนักงานเสิร์ฟอยู่เลย”
ฉันยังอยู่ในเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนกุด กับกระโปรงสั้นเต่อที่มีแล็คกิ้งอีกชั้นสวมไว้ป้องกันสายตาชอนไชของพวกลูกค้าหื่นๆ บางคน
“แต่เป็นกลางดึก ยังไงๆ ผู้หญิงก็ไม่ควรอยู่ข้างนอกคนเดียว”
อยากจะหัวเราะ นี่มันสมัยไหนกันแล้ว แต่ฉันก็ต้องข่มใจเอาไว้ ถามเขาเรียบๆ ว่า
“เพราะอะไรหรือคะ”
“ก็ข้างนอกตอนกลางคืนอันตรายมาก ผู้หญิงอ่อนแอกว่าผู้ชาย จึงควรมีใครคอยปกป้องคุ้มครอง หากจำเป็นต้องออกนอกบ้านเวลากลางคืนจริงๆ”
ปลื้มซะไม่มีละ กับมันไตรภาคความจำเสื่อมคนนี้
“ตามธรรมเนียมก็ควรเป็นอย่างนั้นละค่ะ และจริงๆ แล้วฉันก็ไม่ได้อยากออกไปไหนต่อไหนในตอนกลางคืนนักหรอก”
“แล้วคุณออกไปทำไม”
“งานซิคะ ต้องทำงาน เพื่อจะได้งานมาเลี้ยงดูชีวิตตัวเอง”
ฉันเอื้อมมือไปเขี่ยปึกใบเรียกเก็บเงินสารพัดที่วางซ้อนอยู่ใกล้ๆ ให้เขาได้เห็นชัดๆ
“ค่านั่นค่านี้สารพัดละค่ะ รถก็เก่าจนไม่รู้ว่ามันจะเกเรเมื่อไหร่ ไหนจะประกันชีวิตประกันสังคม กับจิปาถะอีกสารพัน”
ฉันพูดไปเรื่อย ไม่หวังจะให้เขามาเห็นอกเห็นใจอะไรหรอก แต่เขาก็ดันถามคำถามที่ทำให้เจ็บใจจนได้
“ทำไมล่ะ ครอบครัวคุณไม่มีผู้ชายคอยช่วยเหลือเรื่องพวกนี้เลยหรือ”
“มีพี่ชายไงคะ สิทธา ไม่แน่ใจว่าคุณเคยเจอกันหรือยัง”
มีแผลหนึ่งตรงซอกนิ้วที่ดูเหมือนจะเหวอะหวะเกินกว่าจะแค่เช็ดทำความสะอาด แต่ฉันก็ทำได้เพียงชำระล้างให้ดีที่สุด เขานิ่วหน้าเมื่อถูกย้ำตรงแผลนั้น ส่วนรอยถลอกอื่นๆ ค่อยสมานกันเป็นปกติอยู่ต่อตาฉันนี่ละ
“แล้วทำไมพี่ชายถึงยอมให้คุณออกไปทำงานนอกบ้านในเวลากลางคืน”
ถึงประโยคนี้ ฉันนึกไปถึงพี่ชาย นึกไม่ออกหรอกว่า เขาเคยคิดจะพูดอะไรเป็นทำนอง น้องสาวที่รัก เธอไม่ต้องออกไปทำงานนอกบ้านหรอก เป็นหน้าที่ของพี่ชายคนนี้เองนะจ๊ะ มันเป็นเรื่องที่ฟังดูตลกและเป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด ที่สมัยนี้ลูกผู้หญิงต้องอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน
“แหม! คุณไตร พูดเป็นเล่นไปได้”
ฉันแกล้งทำหน้างอใส่พรายหนุ่มรูปหล่อที่ทำท่าว่าสนใจเรื่องที่กำลังสนทนากันอย่างจริงจังที่สุด
“พี่สิทธาเขาก็มีภาระสุมหัวมากมายอยู่แล้ว”
เช่นก็พยายามใช้ตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาล และเป็นเพลย์บอยฟันสาวไม่เลือกหน้าเป็นต้น
การทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อยจนได้ ตอนนี้แทบจะเรียกได้ว่ามันไตรกลับมาเป็นเทพบุตรสำหรับสาวๆ อีกครั้งหนึ่งแล้ว และบาดแผลต่างๆ ก็หายเกือบสนิท กลับเป็นฉันเสียอีกที่รู้สึกชาๆ ที่เท้า เพราะนั่งอยู่ในท่าราบนานเกินไป
“คุณไตรคะ ฉันว่าคุณควรโทรหาพิชา เธอน่าจะรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณ”
“พิชา?”