พรายเสน่หา บทนำ และ บทที่ 1
http://pantip.com/topic/30419026
พรายเสน่หา บทที่ 2
http://pantip.com/topic/30420413
พรายเสน่หา บทที่ 3
http://pantip.com/topic/30422658
พรายเสน่หา บทที่ 4
http://pantip.com/topic/30458126
ขอบคุณมิตรรักนักอ่านทุกท่านที่ติดตามผลงานนะจ๊ะ เรื่องนี้เขียนยากเพราะเปิดฉากไว้อย่างนั้น ช่วงแรกๆ นี้เลยเกรงว่าจะอืดๆ ไปหน่อย เพราะต้องปูพื้นเรื่องราว มีความคิดเห็นอย่างไร ชี้แจงแถลงไขได้ตามสะดวกเลยนะจ๊ะ จะได้เอาไปพัฒนาฝีมือต่อไป ขอบคุณล่วงหน้าจ้าาาา
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บทที่ 5
จากลักษณะการใช้ชีวิตของพวกพราย หรือแม้แต่อมนุษย์อื่นๆ ที่หันมาเปิดตัวอยู่ร่วมสังคมกับพวกเราแบบให้เห็นกันจะๆ ที่จริงพวกเขาก็ยังพอใจที่จะซ่อนกายอยู่ในเงามืดของยามราตรี เครื่องหล่อเลี้ยงชีวิตที่ไม่ใช่จากอีกชีวิตอีกต่อไป จึงทำให้พวกนี้ต้องทำมาหารายได้ ซึ่งคงไม่มีอะไรจะเหมาะสมไปกว่าบรรดาธุรกิจกลางคืนสารพัน
นอกจากผับบาร์ที่ดูเป็นที่นิยมเปิดเป็นกิจการส่วนตัว ก็ยังมีทั้งร้านอาหารโต้รุ่ง หรือร้านสะดวกซื้อ หรือกระทั่งการเช่าห้องแถวเปิดร้านซักอบแห้งยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่ก็นั่นละ อย่างไรเสียกิจการที่ทำรายได้ได้งดงามที่สุด ก็ย่อมต้องใช้อบายมุขเป็นสะพาน อย่างพวกผับบาร์นี่ละ
“พูดง่ายๆ คือพวกร่างผีฟ้าจะเรียกเก็บค่าคุ้มครอง อย่างงั้นใช่ไหม”
ไม่รู้พี่สิทธาจะย้ำอีกทำไม มันอาจทำให้พวกพรายรู้สึกเสียศักดิ์ศรี จนไม่อยากให้มีสักขีพยานในเรื่องน่าอายอย่างนี้ เหลือรอดไปได้สักคน ซึ่งก็เป็นเราสองคนนี้เอง ที่อาจจะต้องรับกรรมที่ไม่ได้ก่อ
“เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะค่ะ คุณพิชายังไม่ได้ตอบฉันเรื่องทำไม อยู่ๆ มันไตรถึงมาวิ่งอยู่แถวนี้ เสื้อก็ไม่มี รองเท้าก็ไม่ใส่”
พรายผู้มาเยือนหันไปมองหน้ากันคล้ายกำลังหารือว่า จะให้ข้อมูลต่อไปแก่เราดีหรือไม่ พอฉันก้มมองมันไตร ก็เห็นว่าเขาตื่นเต้นไม่แพ้กัน ในการจะได้รู้ต้นสายปลายเหตุของความไม่รู้อะไรเลยของตนเอง
นั่นทำให้ฉันอุ่นใจขึ้นอีกมาก เพราะรู้ว่าแม้จอห์นหรือพิชาไม่อยากจะเล่าเรื่องนี้ให้มนุษย์อย่างฉันกับพี่ชายฟัง เขาหรือหล่อนก็ต้องเล่าให้เจ้านายของตน ที่กำลังตกอยู่ในอาการความจำเสื่อมฟังอยู่ดี
“เราขอเวลาพวกมัน บอกว่าเรื่องใหญ่อย่างนี้ต้องปรึกษากันให้รอบคอบ”
คราวนี้พรายหนุ่มลูกครึ่งแคชเมียร์ที่มีลายสักเป็นอักขระโบราณเต็มตัว เป็นฝ่ายเล่า
“แล้วเมื่อคืนนังหัวหน้าก็ส่งให้ลูกน้องคนหนึ่งมายื่นเงื่อนไขเพิ่มเติมอีกหลายอย่าง”
จอห์นหยุดเว้นระยะ ดูท่าว่าเขาคงอึดอัดใจกับเรื่องที่กำลังพูดอยู่ไม่ใช่น้อย
“คือว่า... ตั้งแต่พวกมันมากันรอบแรก นังร่างผีฟ้าตัวหัวหน้า เกิดนึกอยากจะได้คุณไตรเป็น... นั่นละ”
ฉันจับได้ว่าเขาแกล้งกลืนน้ำลายเพื่อจะไม่ต้องพูดคำนั้นออกมา
“ปกติแล้วพวกร่างทรง จะไม่ยอมมีอะไรกับอมนุษย์เด็ดขาด พวกหล่อนคิดว่าเป็นคนละชั้น ระหว่างคนที่ยังหายใจเพื่อให้มีชีวิต กับคนที่ไม่ต้องมีลมหายใจก็มีชีวิตอยู่อย่างพวกเรา เห็นได้ชัดๆ ว่า พวกร่างผีฟ้าไม่ได้ยึดถือความแตกต่างข้อนี้ นังหัวหน้านั่น แค่อยากได้มันไตรไว้บำเรอ มันก็จะเอาให้ได้...”
ประโยคท้ายๆ พรายหนุ่มแสดงสีหน้ารังเกียจที่จะพูดถึงเรื่องเหล่านี้อย่างชัดเจน
แต่มันน่าสนใจไม่ใช่หรือ แสดงว่าอาจมีอะไรมิดีมิร้ายเกิดขึ้นกับมันไตรก่อนที่จะโผล่มาอยู่ริมถนนก็เป็นได้
พี่สิทธาก็อยากรู้ว่าเป็นอย่างไรต่อไปเหมือนกัน เขาเขย่าขาและลูบหัวเข่าไปมา เพื่อสะกดความอยากรู้อยากเห็นของตัวเอง
หลังจากพรายหนุ่มลูกครึ่งนิ่งไปอึดใจใหญ่ เขาก็มีท่าเหมือนเพิ่งฟื้นจากความฝัน ก่อนจะเริ่มบอกเล่าเรื่องราวต่อไป
“ที่นางตัวหัวหน้าส่งลูกน้องมา ก็เพื่อจะบอกว่า หากคุณไตรยอมเป็นสามีของมันให้สาใจสักเจ็ดวันเจ็ดคืน พวกนั้นจะลดราคาที่เรียกร้องจากมากกว่าครึ่งเป็นเหลือไม่ถึงหนึ่งในห้า”
“พับผ่า!”
พี่สิทธาตบเข่าฉาด ก้มลงพูดกับมันไตรซึ่งยังนั่งอยู่กับพื้นและไม่ยอมกระดิกไปไหน
“นายจะต้องขึ้นชื่อลือชาว่าบรรเลงเรื่องอย่างว่าได้เด็ดสะเด่าไปเลยละซี”
น้ำเสียงนั้นไม่ใช่การประชดประชัน มันเป็นการชื่นชมกันตามประสาชายชาญ ซึ่งความคิดของพี่ชายฉันก็ยืนยันอย่างนั้นจริงๆ ในขณะที่คนถูกพาดพิง ก็มีอาการว่าภาคภูมิใจในข้อกล่าวหานี้อยู่ไม่ใช่น้อย
แต่พอมันไตรได้สบตากับฉัน ท่าทางอย่างนั้นก็เปลี่ยนไป คราวนี้กลิ่นอายของความยุ่งเหยิงกำลังฟุ้งตรลบอบอวล และชวนกระอักกระอ่วนเหลือเกิน มันคล้ายกับว่าเวลาเรากลืนอะไรลงคอแล้วมันทำท่าจะขย้อนออกมานั่นละ
“พวกที่เดอะพรายบางคนยุส่ง ให้คุณไตรยอมๆ มันไป แต่เจ้านายของเรากลับไม่ยอม”
คราวนี้น้ำเสียงของจอห์นเปลี่ยนเป็นเชิงเทิดทูนบูชา
“แถมยังโกรธพวกนั้นเป็นฟืนเป็นไฟ หาว่าคิดจะทำลายศักดิ์ของพวกอมนุษย์ ในที่สุดลูกน้องของมันก็เสกไสย์ดำสาปใส่คุณไตร”
ถึงตรงนี้ กระแสความคิดของมันไตรยิ่งยุ่งเหยิงจนแลเหมือนเส้นขีดดำมืดที่ขีดทับกันไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“เป็นผมหน่อยไม่ได้นะคุณไตร จะแถมให้อีกสักเจ็ดวันเจ็ดคืน ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าคุณจะไปปฏิเสธข้อเสนอที่เรามีแต่ได้กับได้อย่างนี้ทำไม”
“ผมไม่ทราบ”
มันไตรตอบเสียงเบา ขยับให้ลำตัวแนบชิดกับช่วงขาของฉันเหมือนจะหาหลักพักพิง อาการเคร่งเครียดของกล้ามเนื้อที่ฉันได้สัมผัส บอกให้รู้ว่าเขาไม่ได้โป้ปด
“กระทั่งชื่อตัวเองผมยังจำไม่ได้ ถ้า...คุณปาลิน ไม่บอก”
“แล้วคุณมาโผล่แถวนี้ได้ยังไง”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“อยู่ๆ เขาก็หายตัวไปจากตรงนั้น ตรงที่เรากำลังปรึกษากันจะยอมรับเงื่อนไขบ้าบอนั่นหรือไม่ ตอนนั้นมีร่างผีฟ้าอยู่ด้วยคนหนึ่ง หล่อนอายุไม่น่าจะเกินยี่สิบห้า”
พิชาช่วยอธิบาย หลังจากนิ่งอยู่นาน
“เหมือนระฆังช่วยซีนะคะ”
ฉันก้มลงพูดกับพรายเจ้าเสน่ห์ความจำเสื่อม โดยต้องพยายามหักห้ามใจ ไม่ยอมให้มือตัวเองเผลอไปลูบไล้ไรหนวดเขียวครึ้มตลอดแนวกรามและใต้คาง
แต่เขาดูเหมือนไม่เข้าใจสำนวนที่ฉันพูดออกมา จึงต้องรีบเปลี่ยนเป็นว่า
“ได้ยินอย่างนี้แล้ว พอจะนึกอะไรออกบ้างหรือยังคะ”
“ผมจำได้ตั้งแต่ตอนที่กำลังวิ่งแล้วคุณมาพบเข้านั่นละ ก่อนหน้านั้นมันมีแต่ความว่างเปล่าอยู่ในหัว”
ฟังแล้วไม่อยากจะคิดเลยว่า ถ้าฉันต้องตกอยู่ในสภาพอย่างนั้นแล้วจะเป็นอย่างไร
“เราก็เลยยังคงมืดแปดด้าน”
ฉันพยายามสรุป แต่ว่า...
พรายเสน่หา บทที่ 5
พรายเสน่หา บทที่ 2 http://pantip.com/topic/30420413
พรายเสน่หา บทที่ 3 http://pantip.com/topic/30422658
พรายเสน่หา บทที่ 4 http://pantip.com/topic/30458126
ขอบคุณมิตรรักนักอ่านทุกท่านที่ติดตามผลงานนะจ๊ะ เรื่องนี้เขียนยากเพราะเปิดฉากไว้อย่างนั้น ช่วงแรกๆ นี้เลยเกรงว่าจะอืดๆ ไปหน่อย เพราะต้องปูพื้นเรื่องราว มีความคิดเห็นอย่างไร ชี้แจงแถลงไขได้ตามสะดวกเลยนะจ๊ะ จะได้เอาไปพัฒนาฝีมือต่อไป ขอบคุณล่วงหน้าจ้าาาา
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บทที่ 5
จากลักษณะการใช้ชีวิตของพวกพราย หรือแม้แต่อมนุษย์อื่นๆ ที่หันมาเปิดตัวอยู่ร่วมสังคมกับพวกเราแบบให้เห็นกันจะๆ ที่จริงพวกเขาก็ยังพอใจที่จะซ่อนกายอยู่ในเงามืดของยามราตรี เครื่องหล่อเลี้ยงชีวิตที่ไม่ใช่จากอีกชีวิตอีกต่อไป จึงทำให้พวกนี้ต้องทำมาหารายได้ ซึ่งคงไม่มีอะไรจะเหมาะสมไปกว่าบรรดาธุรกิจกลางคืนสารพัน
นอกจากผับบาร์ที่ดูเป็นที่นิยมเปิดเป็นกิจการส่วนตัว ก็ยังมีทั้งร้านอาหารโต้รุ่ง หรือร้านสะดวกซื้อ หรือกระทั่งการเช่าห้องแถวเปิดร้านซักอบแห้งยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่ก็นั่นละ อย่างไรเสียกิจการที่ทำรายได้ได้งดงามที่สุด ก็ย่อมต้องใช้อบายมุขเป็นสะพาน อย่างพวกผับบาร์นี่ละ
“พูดง่ายๆ คือพวกร่างผีฟ้าจะเรียกเก็บค่าคุ้มครอง อย่างงั้นใช่ไหม”
ไม่รู้พี่สิทธาจะย้ำอีกทำไม มันอาจทำให้พวกพรายรู้สึกเสียศักดิ์ศรี จนไม่อยากให้มีสักขีพยานในเรื่องน่าอายอย่างนี้ เหลือรอดไปได้สักคน ซึ่งก็เป็นเราสองคนนี้เอง ที่อาจจะต้องรับกรรมที่ไม่ได้ก่อ
“เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะค่ะ คุณพิชายังไม่ได้ตอบฉันเรื่องทำไม อยู่ๆ มันไตรถึงมาวิ่งอยู่แถวนี้ เสื้อก็ไม่มี รองเท้าก็ไม่ใส่”
พรายผู้มาเยือนหันไปมองหน้ากันคล้ายกำลังหารือว่า จะให้ข้อมูลต่อไปแก่เราดีหรือไม่ พอฉันก้มมองมันไตร ก็เห็นว่าเขาตื่นเต้นไม่แพ้กัน ในการจะได้รู้ต้นสายปลายเหตุของความไม่รู้อะไรเลยของตนเอง
นั่นทำให้ฉันอุ่นใจขึ้นอีกมาก เพราะรู้ว่าแม้จอห์นหรือพิชาไม่อยากจะเล่าเรื่องนี้ให้มนุษย์อย่างฉันกับพี่ชายฟัง เขาหรือหล่อนก็ต้องเล่าให้เจ้านายของตน ที่กำลังตกอยู่ในอาการความจำเสื่อมฟังอยู่ดี
“เราขอเวลาพวกมัน บอกว่าเรื่องใหญ่อย่างนี้ต้องปรึกษากันให้รอบคอบ”
คราวนี้พรายหนุ่มลูกครึ่งแคชเมียร์ที่มีลายสักเป็นอักขระโบราณเต็มตัว เป็นฝ่ายเล่า
“แล้วเมื่อคืนนังหัวหน้าก็ส่งให้ลูกน้องคนหนึ่งมายื่นเงื่อนไขเพิ่มเติมอีกหลายอย่าง”
จอห์นหยุดเว้นระยะ ดูท่าว่าเขาคงอึดอัดใจกับเรื่องที่กำลังพูดอยู่ไม่ใช่น้อย
“คือว่า... ตั้งแต่พวกมันมากันรอบแรก นังร่างผีฟ้าตัวหัวหน้า เกิดนึกอยากจะได้คุณไตรเป็น... นั่นละ”
ฉันจับได้ว่าเขาแกล้งกลืนน้ำลายเพื่อจะไม่ต้องพูดคำนั้นออกมา
“ปกติแล้วพวกร่างทรง จะไม่ยอมมีอะไรกับอมนุษย์เด็ดขาด พวกหล่อนคิดว่าเป็นคนละชั้น ระหว่างคนที่ยังหายใจเพื่อให้มีชีวิต กับคนที่ไม่ต้องมีลมหายใจก็มีชีวิตอยู่อย่างพวกเรา เห็นได้ชัดๆ ว่า พวกร่างผีฟ้าไม่ได้ยึดถือความแตกต่างข้อนี้ นังหัวหน้านั่น แค่อยากได้มันไตรไว้บำเรอ มันก็จะเอาให้ได้...”
ประโยคท้ายๆ พรายหนุ่มแสดงสีหน้ารังเกียจที่จะพูดถึงเรื่องเหล่านี้อย่างชัดเจน
แต่มันน่าสนใจไม่ใช่หรือ แสดงว่าอาจมีอะไรมิดีมิร้ายเกิดขึ้นกับมันไตรก่อนที่จะโผล่มาอยู่ริมถนนก็เป็นได้
พี่สิทธาก็อยากรู้ว่าเป็นอย่างไรต่อไปเหมือนกัน เขาเขย่าขาและลูบหัวเข่าไปมา เพื่อสะกดความอยากรู้อยากเห็นของตัวเอง
หลังจากพรายหนุ่มลูกครึ่งนิ่งไปอึดใจใหญ่ เขาก็มีท่าเหมือนเพิ่งฟื้นจากความฝัน ก่อนจะเริ่มบอกเล่าเรื่องราวต่อไป
“ที่นางตัวหัวหน้าส่งลูกน้องมา ก็เพื่อจะบอกว่า หากคุณไตรยอมเป็นสามีของมันให้สาใจสักเจ็ดวันเจ็ดคืน พวกนั้นจะลดราคาที่เรียกร้องจากมากกว่าครึ่งเป็นเหลือไม่ถึงหนึ่งในห้า”
“พับผ่า!”
พี่สิทธาตบเข่าฉาด ก้มลงพูดกับมันไตรซึ่งยังนั่งอยู่กับพื้นและไม่ยอมกระดิกไปไหน
“นายจะต้องขึ้นชื่อลือชาว่าบรรเลงเรื่องอย่างว่าได้เด็ดสะเด่าไปเลยละซี”
น้ำเสียงนั้นไม่ใช่การประชดประชัน มันเป็นการชื่นชมกันตามประสาชายชาญ ซึ่งความคิดของพี่ชายฉันก็ยืนยันอย่างนั้นจริงๆ ในขณะที่คนถูกพาดพิง ก็มีอาการว่าภาคภูมิใจในข้อกล่าวหานี้อยู่ไม่ใช่น้อย
แต่พอมันไตรได้สบตากับฉัน ท่าทางอย่างนั้นก็เปลี่ยนไป คราวนี้กลิ่นอายของความยุ่งเหยิงกำลังฟุ้งตรลบอบอวล และชวนกระอักกระอ่วนเหลือเกิน มันคล้ายกับว่าเวลาเรากลืนอะไรลงคอแล้วมันทำท่าจะขย้อนออกมานั่นละ
“พวกที่เดอะพรายบางคนยุส่ง ให้คุณไตรยอมๆ มันไป แต่เจ้านายของเรากลับไม่ยอม”
คราวนี้น้ำเสียงของจอห์นเปลี่ยนเป็นเชิงเทิดทูนบูชา
“แถมยังโกรธพวกนั้นเป็นฟืนเป็นไฟ หาว่าคิดจะทำลายศักดิ์ของพวกอมนุษย์ ในที่สุดลูกน้องของมันก็เสกไสย์ดำสาปใส่คุณไตร”
ถึงตรงนี้ กระแสความคิดของมันไตรยิ่งยุ่งเหยิงจนแลเหมือนเส้นขีดดำมืดที่ขีดทับกันไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“เป็นผมหน่อยไม่ได้นะคุณไตร จะแถมให้อีกสักเจ็ดวันเจ็ดคืน ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าคุณจะไปปฏิเสธข้อเสนอที่เรามีแต่ได้กับได้อย่างนี้ทำไม”
“ผมไม่ทราบ”
มันไตรตอบเสียงเบา ขยับให้ลำตัวแนบชิดกับช่วงขาของฉันเหมือนจะหาหลักพักพิง อาการเคร่งเครียดของกล้ามเนื้อที่ฉันได้สัมผัส บอกให้รู้ว่าเขาไม่ได้โป้ปด
“กระทั่งชื่อตัวเองผมยังจำไม่ได้ ถ้า...คุณปาลิน ไม่บอก”
“แล้วคุณมาโผล่แถวนี้ได้ยังไง”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“อยู่ๆ เขาก็หายตัวไปจากตรงนั้น ตรงที่เรากำลังปรึกษากันจะยอมรับเงื่อนไขบ้าบอนั่นหรือไม่ ตอนนั้นมีร่างผีฟ้าอยู่ด้วยคนหนึ่ง หล่อนอายุไม่น่าจะเกินยี่สิบห้า”
พิชาช่วยอธิบาย หลังจากนิ่งอยู่นาน
“เหมือนระฆังช่วยซีนะคะ”
ฉันก้มลงพูดกับพรายเจ้าเสน่ห์ความจำเสื่อม โดยต้องพยายามหักห้ามใจ ไม่ยอมให้มือตัวเองเผลอไปลูบไล้ไรหนวดเขียวครึ้มตลอดแนวกรามและใต้คาง
แต่เขาดูเหมือนไม่เข้าใจสำนวนที่ฉันพูดออกมา จึงต้องรีบเปลี่ยนเป็นว่า
“ได้ยินอย่างนี้แล้ว พอจะนึกอะไรออกบ้างหรือยังคะ”
“ผมจำได้ตั้งแต่ตอนที่กำลังวิ่งแล้วคุณมาพบเข้านั่นละ ก่อนหน้านั้นมันมีแต่ความว่างเปล่าอยู่ในหัว”
ฟังแล้วไม่อยากจะคิดเลยว่า ถ้าฉันต้องตกอยู่ในสภาพอย่างนั้นแล้วจะเป็นอย่างไร
“เราก็เลยยังคงมืดแปดด้าน”
ฉันพยายามสรุป แต่ว่า...