บทที่ 8
เอกราชหวังให้นี่เป็นเพียงแค่ความฝัน แต่ทว่ามันคงเป็นฝันร้ายที่น่าสยองพรั่นพรึงที่สุดในชีวิต และความจริงอันทารุณกำลังบอกเขาว่าเหตุการณ์ที่เห็นประจักษ์ในคลองจักษุนี้กำลังเกิดขึ้น มิใช่เป็นเพียงนมโนภาพเลือนรางที่เมื่อสะดุ้งตื่นก็หายไป เสียงร้องอย่างหวาดผวาของเด็กสาวก้องสะท้อนอยู่ในโสตประสาทอันตึงเขม็งของเขา ภาพที่สุตาภากำลังใช้มีดจ่อคอนิตาภา ท่ามกลางเสียงร้องวิงวอนอย่างอับจนหนทางของสมรักษ์ผู้เป็นพ่อชัดเจนเสียจนเขาไม่อาจทนมองต่อไปได้
“ช่วงที่น่าหฤหรรษ์ที่สุดกำลังเริ่มต้นในไม่กี่อึดใจนี้” สำเนียงอันไม่ทราบที่มากล่าวอย่างเร่งเร้าตื่นเต้น “ผู้เข้าแข่งขันทุกคนโปรดตั้งสติไว้ให้ดี เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่ภารกิจที่สองที่มีชื่อว่า...ตัด ต่อ ตาย”
เสียงหัวเราะร่าสะใจจาก‘เสียงปริศนา’ดังเสียดเข้าไปถึงหัวใจของชายหนุ่ม เด็กหนุ่มซึ่งถูกมัดกับเก้าอี้ตัวข้างๆ เขาพยายามดิ้นขัดขืนอย่างสุดกำลังหากก็ไร้ผล วิลาวัลย์ดูเหมือนว่าหวาดกลัวเกินกว่าจะแม้แต่กระดิกตัว ร่างอันนิ่งแข็งนั้นก้มหน้าต่ำ น้ำตาเม็ดใหญ่ไหลแมะๆ หยดลงบนโต๊ะด้วยอารมณ์สิ้นหวัง
“แก...แกเป็นใครกันแน่” สมรักษ์แผดเสียงอย่างเดือดดาล “ไม่ว่าแกจะเป็นผีห่ามาจากไหน อยากจะแก้แค้นก็มาแก้แค้นฉันนี่ มาทำกับฉันคนเดียว ลูกของฉันไม่เกี่ยว”
จากความกลัวเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความคับแค้น ชายหนุ่มไม่เข้าใจความหมายที่สมรักษ์ หากตอนนี้มันไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าชีวิตของลูกสาวอีกแล้ว เค้าหน้าซีดเผือดกำลังจ้องมองลูกสาวด้วยแววตารวดร้าว ซึ่งภารกิจที่จะบังเกิดขึ้นต่อไปนี้จะนำความเจ็บปวดยิ่งกว่าความตายมาสู่ชายคนนี้
“เอาล่ะ เราควรเริ่มกันได้สักที” สำเนียงทุ้มต่ำของเสียงปริศนาว่าอย่างผ่อนคลาย ไม่มีแววทุกข์ร้อน “เราควรเก็บน้ำตาไว้ให้เป็นของขวัญเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจดีกว่า”
“เอก เราจะทำยังไงดี” แฟริคกระซิบอย่างเร่งร้อน “ก่อนที่ไอ้เสียงนั่นกับสุตาภาจะทำอะไรบ้าๆ”
เอกราชมีสีหน้าเครียดขรึมด้วยอับจนหนทางส่งไปให้เป็นคำตอบ ถูกมัดแขนอยู่เช่นนี้ และอีกฝ่ายก็มีอาวุธพร้อมที่จะประหัตประหารตัวประกันได้ทุกเมื่อ ดูแล้วไม่มีทางไหนที่จะต่อสู้ขัดขืนได้เลย ราวกับเป็นหมูที่รอถูกเชือดบนเขียง
“ภารกิจนี้เชื่อว่าคุณผู้หญิงทั้งสามคนคงเคยเล่นเมื่อตอนเด็กๆ” เสียงปริศนายังคงพูดต่อไป “เล่นแต่งตัวตุ๊กตา...ซึ่งตุ๊กตากับหญิงสาวเป็นของคู่กัน คราวนี้เรามาทำให้มันใหญ่ขึ้นดีไหม...โดยให้สุตาภาสวมบทเป็นสาวน้อยผู้มีตุ๊กตาแสนรักแสนหวงคือ นิตาภา...แต่ว่าตอนนี้ตุ๊กตาตัวนี้ดูไม่สวยเท่าไหร่ แขนขาก็ผอมลีบไม่สมตัว...ฉะนั้นเรามาตกแต่งให้หนูนิดเป็นตุ๊กตาที่สวยที่สุดดีไหม...โดยการตัดแขน ตัดขาแต่ละข้างทิ้ง! ....แล้วมาประกอบขึ้นใหม่ด้วยแขน ขาของพวกคุณทั้งสี่คนละข้าง...มันต้องออกมาสวยงามน่ารักมิใช่น้อย”
เมื่อได้ฟังก็ชาไปทั้งตัวราวกับถึงตรึงด้วยเข็มนับพันเล่ม อากาศภายในปอดมลายหายไปหมดสิ้น สมรักษ์ได้ฟังคำสั่งอันวิปริตนั้นก็สะบัดตัวอย่างบ้าคลั่ง พยายามดิ้นให้หลุดจากพันธนาการอันแน่นหนาพร้อมร้องตะโกนด้วยสติสัมปชัญญะที่แตกซ่าน หยาดน้ำตาที่รื้นเบ้าของวิลาวัลย์ไหลลงมาอาบสองแก้ม ร่างผอมสั่นสะท้านด้วยความกลัวถึงขีดสุด ไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่าสิ่งที่‘เสียงปริศนา’บรรยายได้อีกแล้ว น้ำเสียงที่สั่งราวกับพอใจในการกระทำอันวิตถารผิดศีลธรรมเกินกว่าจิตใจคนปกติทั่วไป
ท่ามกลางเสียงตะเบ็งกรีดร้อง ระคนอ้อนวอนของคนที่ถูกมัดอยู่กับเก้าอี้ สุตาภาที่ดูเหมือนจะสุขใจที่ได้เห็นภาพตรงหน้า ผลักนิตาภาอย่างแรงจนล้มลงไปกองกับพื้น ในวินาทีนั้นเด็กสาวพยายามจะคลานหนี แต่ก็ถูกท่อนขาของคนที่โตกว่าเตะเข้าไปอย่างแรงตรงสีข้าง จนร่างบางขดตัวคู้พร้อมกับร้องด้วยความเจ็บปวด ยังไม่หมดแค่นั้น หล่อนใช้ด้ามมีดหวดลงไปเต็มแรงบริเวณหลังท้ายทอย ร่างที่นอนอยู่บนพื้นอุทานร้องอั๊กก่อนจะหมดสติแน่นิ่งไป
ผู้เป็นพ่อเห็นภาพทุกวินาทีเหตุการณ์เจ็บปวดรวดร้าวไม่แพ้ลูกสาวผู้ถูกกระทำ ร่างอันอ้วนท้วมมิอาจผ่อนเส้นเชือกให้คลายลงแม้แต่น้อย ยิ่งกลับทำให้มันบาดลึกเป็นแผลถลอกเลือกซึม หากนั่นไม่สำคัญต่อเขาอีกแล้ว เมื่อแก้วตาดวงใจดวงเดียวที่เหลืออยู่กำลังจะถูกทารุณกรรม
แม้เขาไม่อยากเห็นภาพอันโหดร้ายเหล่านี้ แต่เหมือนกับมีมือที่มองไม่เห็นเบิกหนังตาให้เขาจ้องมองตรงพื้นเบื้องหน้าอย่างไม่อาจละสายตา สุตาภากำลังลากร่างอันไร้สติไปไว้ริมผนัง ก่อนล้วงหาของบางอย่างในกระเป๋าเป้ เมื่อเอาออกมาก็ทำให้ทุกคนตกตะลึง หยุดหายใจลงพร้อมกัน
สิ่งที่อยู่ในมือของหญิงสาวคือตะปูยาวประมาณหกนิ้วสี่ถึงห้าอันพร้อมกับค้อน หล่อนโยนมีดลงข้างๆ ลุกขึ้นยืนพร้อมย่างสามขุมตรงไปยังร่างของนิตาภา หัวใจของเอกราชเต้นระทึกจนแทบทะลุออกมานอกอก สองหูอื้ออึงด้วยเสียงร้องของสมรักษ์ ปากคอที่สั่นระริกของเขาพยายามจะเอื้อยเอ่ยห้าม หากออกมาได้เพียงแค่ลมเปล่า คล้ายกับหมดแรงไปสิ้น ในหัวสมองมีภาพอันสยดสยองมากมายแล่นแวบเข้ามาจนแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ
แฟริคร้องอุทานด้วยความตกใจแทบไม่เป็นภาษาเมื่อสุตาภาประคองร่างบางที่ดูเหมือนค่อยๆ ได้สติให้ลุกขึ้น แล้วดันชิดติดผนัง และทันใดนั้นเองก็กระทำสิ่งที่แต่ละคนไม่คาดคิด เหมือนกับกำลังดูหนังฆาตกรรมที่โหดเหี้ยมที่สุดในโลก ที่มันกำลังเกิดขึ้นจริง
วินาทีเดียวกับตะปูยาวหกนิ้วถูกตอกลงไปบนมือข้างซ้ายเข้ากับผนัง เสียงหวีดร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดแสนสาหัสพลันดังขึ้นสะท้อนไปทั้งห้อง เด็กสาวสติกลับมาได้ตอนนั้นพร้อมความเจ็บปวดแล่นปราดขึ้นมาจากฝ่ามือที่ถูกตอกเข้ากับผนัง เลือดแดงฉานไหลหยดลงพื้นติ๋งๆ
คนเป็นพ่อจะตายให้ได้เสียเดียวนั้น ยามได้ยินเสียงร้องของลูกสาวเสียงลึกไปถึงขั้วหัวใจ สมรักษ์แผดเสียงลั่นจนคอแตก หากผู้ที่กำลังถือค้อนจะตอกลงไปยังมืออีกข้างไม่ฟังเสียง กระทำการราวกับเป็นเรื่องปกติสามัญ ไม่มีความสะทกสะท้านแม้แต่น้อย เสียงค้อนเหล็กกระทบตะปูเป็นจังหวะนั้นบาดหูเสียจนเขาไม่อาจทนมองได้อีก วิลาวัลย์เอาแต่ก้มน้ำต่ำ ร่างกายสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่อยู่ สายน้ำตาไหลพรั่งพรูเป็นสายด้วยความสะพรึงกลัว
มืออีกข้างตอกลงเสร็จสมบูรณ์ นิตาภายืนหลังแนบผนังอยู่ในท่าตรึงกางเขนโดยมีเลือดไหลออกมาจากแผลเป็นสาย ร่างบางนั้นอ่อนแรง และเจ็บปวดเกินกว่าจะดิ้นรน ลมหายใจอันรวยรินพยายามไขว่ขว้าหาอากาศ หากสติที่มีอยู่น้อยนิดกำลังจะหลุดลอยพร้อมกับคลองจักษุอันพร่ามัวดับวูบลง และวินาทีต่อมาเด็กสาวก็สิ้นสติไปอีกครั้ง
“เยี่ยมมากสุตาภา” เสียงปริศนาโพล่งขึ้นหลังจากเงียบไปสักพัก “ทีนี้เราก็มาจัดการแยกชิ้นส่วน ประกอบเป็นตัวต่อเลย”
ศีรษะที่ตกห้อยพับของร่างไร้สติถูกช้อนขึ้นมา ก่อนสุตาภาจะกระซิบด้วยเสียงอันเยียบเย็นไปถึงกระดูก
“ทนเจ็บนิดเดียวนะจ๊ะ เดี๋ยวก็สบายแล้ว”
หล่อนเดินกลับมาหยิบมีดยาว แล้วกลับไปยืนประจันหน้านิตาภาอีกครั้ง แล้วมันก็เกิดขึ้นรวดเร็วจนไม่ทันตั้งตัว เมื่อมีดคมปลาบฟันฉับลงไปบนต้นแขนข้างซ้าย พร้อมๆ กับเสียงหวีดร้องจนเสียงแตกพร่าอย่างตกใจ และหวาดผวาดังประโคมขึ้นมาจากรอบๆ จนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ร่างของเหยื่อผู้เคราะห์สะดุ้งน้อยๆ ร้องด้วยความเจ็บปวดอย่าง่อนแรง สติอันเลือนรางใกล้ดับเต็มที่ ภาพอันสยดสยองปรากฏแก่สายตาพวกเขา ท่อนแขนข้างหนึ่งขาดออกจากไหล่ ห้อยแกว่งน้อยๆอยู่บนผนัง ด้วยถูกตรึงด้วยตะปู เลือดไหลพุ่งสาดออกมาจากแผลประดุจน้ำพุสีชาด แลดูสยดสยองเกินกว่ามนุษย์หน้าไหนจะกล้าทนได้
แล้วแขนอีกข้างก็ถูกฟันฉับอย่างเร็ว และแรง ยามคมมีดสัมผัสสัมผัสเนื้อสดับได้ยินเสียงร้องอย่างทุรนทุราย และเจ็บปวดดังระคนกัน ร่างกายของนิตาภาซึ่งบัดนี้ปราศจากแขนไร้หลักยึด กำลังโงนเงนอย่างน่าหวาดเสียว แล้วล้มปึงคว่ำลงไปบนพื้นอย่างแรง ร่างนั้นคล้ายกับกระตุกน้อยๆ ก่อนจะนิ่งสนิท ไม่มีแม้แต่เสียงร้องเล็ดลอดออกมาอีก
ในวินาทีอันตะลึงพรึงเพริด ทุกคนบนโต๊ะต่างคิดว่าเงื้อมมือของพญามัจจุราชได้พรากวิญญาณของเด็กสาวออกจากร่างไปเสียแล้ว ชายร่างท้วมผู้เป็นพ่อร่ำไห้อย่างบ้าคลั่ง ดิ้นพราดๆ เพื่อให้หลุดออกจากเงื่อนเชือก แรงนั้นทำให้ทั้งคนทั้งเก้าอี้หงายล้มปังสนั่น หากเขายังไม่หยุด ความโกรธแค้น ชิงชังปะทุขึ้นในหัวใจอันแหลกสลาย หมายจะไปให้ถึงตัวลูกสาว และผู้หญิงชั่วที่ยืนค้ำร่างบางให้ได้ สบถคำด่าสาปแช่งด้วยความชิงชัง
นิตาภาไม่รู้ร้อนรู้หนาว เดินทอดน่องพร้อมรอยยิ้มเหยียดก้าวข้ามร่างของสมรักษ์ที่นอนตะแคงอยู่บนพื้น ตรงมาหาคนทั้งสาม เอกราชตระหนักได้ในทันทีว่าชะตาของพวกเขากำลังจะขาดลง สัญชาติญาณแห่งการเอาตัวรอดจึงทำงาน ประสาททุกส่วนตึงเขม็งพยายามดิ้นดีดตัวให้หลุดจากเชือก เท่าที่แรงกำลังจะมี แฟริคก็กำลังดิ้นรนหาทางรอดไม่ต่างจากเขา วิลาวัลย์สะอื้นไห้อย่างหนัก ใบหน้าหดหู่สิ้นหวังราวกับว่ากำลังจะยอมพ่ายแพ้
นี่เขาจะต้องตายจริงๆ หรือนี่...
มีดที่เปื้อนเลือดกวัดแกว่งอย่างน่าหวาดเสียวอยู่ข้างๆ ศีรษะพวกเขา เหมือนเล่นสงครามประสาท หยอกยั่วราวคนบนเก้าอี้เป็นของเล่นอันน่าอภิรมย์ พร้อมกันนั้นสุตาภาก็เอ่ยขึ้นว่า
“จะเริ่มที่ใครก่อนดีน้า...ต้องเอาแขนสวยๆหน่อย ตุ๊กตาจะได้น่ารักน่ากอด”
หล่อนพูดราวกับว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นมันคือการ‘เล่นตุ๊กตา’จริงๆ ทั้งๆที่มันคือเนื้อหนัง และเลือดของคนที่มีชีวิต ในความฝันที่ไม่มีวันตื่นนี้กำลังขับดันให้ความหวาดกลัวเพิ่มขึ้นทุกขณะ กลิ่นอายแห่งความตายกำลังอบอวลทุกอณูพื้นที่ในห้อง เอกราชสะบัดแขนเร่าๆ ท่ามกลางความล้าเนื่องจากนั่งผิดท่ามาเป็นเวลานาน แต่มันก็เทียบไม่ได้เลยกับความเจ็บปวดแสนสาหัสที่พวกใกล้จะได้ลิ้มรส
ร่างท้วมที่ล้มตะแคงอยู่ตรงพื้นโดยมีเก้าอี้ใหญ่หนักมัดติดกับตัว เขากระ

กระสนไสตัวอย่างทุลักทุเลปพลางร้องเรียกชื่อลูกสาวอย่างสิ้นหวัง ความเจ็บปวดทรมานยิ่งกว่าบาดแผลใดๆ ทั้งหมดรุมเข้าฉีกทึ้งหัวใจของสมรักษ์ให้แหลกสลายคาอก ร่างที่นอนนิ่งไม่มีทีท่าว่าจะตอบสนองต่อการพร่ำเรียกของเขา
สุตาภาค่อยๆเดินอย่างเชื่องช้าไปยังวิลาวัลย์ หญิงสาวร้องสะอื้นหนักขึ้นด้วยความหวาดกลัวขวัญผวา ก่อนจะสิ้นสติสลบไป หญิงสาวผู้มีจิตใจเหี้ยมผิดมนุษย์หัวเราะร่าอย่างน่ารังเกียจ และในตอนนั้นเองสองมือที่ติดกันของชายหนุ่มก็ถ่างออกสำเร็จ
เชือกคลายตัวหลวมขึ้น! ...หากแต่ไม่หลุดออกเสียทีเดียว
ชายหนุ่มกำลังจะดึงมือทั้งสองออกมาวงเชือก สุตาภาก็ย้อนกลับมาพอดี เขาจึงสอดมือเข้าไปตามเดิม แล้วทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น สุตาภาหยุดกึกด้านหลังเขา หัวใจของเอกราชเต้นระทึกราวกับกลองศึก หวั่นว่าหล่อนจะจับได้ แต่อึดใจต่อมาหล่อนก็เดินผ่านไป ความโล่งใจจึง
บังเกิดขึ้นเพียงระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ซุ่มเสียงเสียดหูจะดังขึ้นอีก
“ฉันตัดสินใจได้แล้ว ใช้แขนของวิลาวัลย์นี่แหละ มันสลบอยู่ จัดการง่ายไม่ต้องออกแรงเยอะ”
ว่าแล้วหล่อนก็ก้าวฉับๆ ตรงไปยังร่างที่สลบพับคาเก้าอี้อยู่ทันที ความตึงเครียดประทุถึงขีดสุด เด็กหนุ่มข้างๆ เขาหันมามองหน้าอย่างร้อนรน
หากก็ช่วยทำอะไรไม่ได้นอกจากตะโกนห้ามกึ่งขอร้อง แต่ทว่าไม่ต่างจากลมที่ลอยพัดผ่านไปอย่างไร้ความหมาย
แล้วมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าฟาด เมื่อใบมีดยาวคมปลาบถูกง้างขึ้นก่อนตวัดฟาดลงไปบนไหล่ของวิลาวัลย์ แต่ทว่าสิ่งที่ไม่คาดคิดก็พลันเกิดขึ้น สร้างความชักงักค้างให้แก่ทุกคน หญิงสาวที่ถือมีดหยุดกึกลงกะทันหัน ปลายมีดห่างจากห่างเหยื่อเพียงไม่กี่เซน ทุกคนหันพรึบไปทางต้นเสียงพร้อมกัน
ประตูถูกเปิดผางออก...พร้อมกับร่างลำสันของสุทัศน์พรวดพราดเข้ามา!
....เกมส์ สั่ง ตาย บทที่ 8.... โดย ราชพฤกษ์
เอกราชหวังให้นี่เป็นเพียงแค่ความฝัน แต่ทว่ามันคงเป็นฝันร้ายที่น่าสยองพรั่นพรึงที่สุดในชีวิต และความจริงอันทารุณกำลังบอกเขาว่าเหตุการณ์ที่เห็นประจักษ์ในคลองจักษุนี้กำลังเกิดขึ้น มิใช่เป็นเพียงนมโนภาพเลือนรางที่เมื่อสะดุ้งตื่นก็หายไป เสียงร้องอย่างหวาดผวาของเด็กสาวก้องสะท้อนอยู่ในโสตประสาทอันตึงเขม็งของเขา ภาพที่สุตาภากำลังใช้มีดจ่อคอนิตาภา ท่ามกลางเสียงร้องวิงวอนอย่างอับจนหนทางของสมรักษ์ผู้เป็นพ่อชัดเจนเสียจนเขาไม่อาจทนมองต่อไปได้
“ช่วงที่น่าหฤหรรษ์ที่สุดกำลังเริ่มต้นในไม่กี่อึดใจนี้” สำเนียงอันไม่ทราบที่มากล่าวอย่างเร่งเร้าตื่นเต้น “ผู้เข้าแข่งขันทุกคนโปรดตั้งสติไว้ให้ดี เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่ภารกิจที่สองที่มีชื่อว่า...ตัด ต่อ ตาย”
เสียงหัวเราะร่าสะใจจาก‘เสียงปริศนา’ดังเสียดเข้าไปถึงหัวใจของชายหนุ่ม เด็กหนุ่มซึ่งถูกมัดกับเก้าอี้ตัวข้างๆ เขาพยายามดิ้นขัดขืนอย่างสุดกำลังหากก็ไร้ผล วิลาวัลย์ดูเหมือนว่าหวาดกลัวเกินกว่าจะแม้แต่กระดิกตัว ร่างอันนิ่งแข็งนั้นก้มหน้าต่ำ น้ำตาเม็ดใหญ่ไหลแมะๆ หยดลงบนโต๊ะด้วยอารมณ์สิ้นหวัง
“แก...แกเป็นใครกันแน่” สมรักษ์แผดเสียงอย่างเดือดดาล “ไม่ว่าแกจะเป็นผีห่ามาจากไหน อยากจะแก้แค้นก็มาแก้แค้นฉันนี่ มาทำกับฉันคนเดียว ลูกของฉันไม่เกี่ยว”
จากความกลัวเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความคับแค้น ชายหนุ่มไม่เข้าใจความหมายที่สมรักษ์ หากตอนนี้มันไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าชีวิตของลูกสาวอีกแล้ว เค้าหน้าซีดเผือดกำลังจ้องมองลูกสาวด้วยแววตารวดร้าว ซึ่งภารกิจที่จะบังเกิดขึ้นต่อไปนี้จะนำความเจ็บปวดยิ่งกว่าความตายมาสู่ชายคนนี้
“เอาล่ะ เราควรเริ่มกันได้สักที” สำเนียงทุ้มต่ำของเสียงปริศนาว่าอย่างผ่อนคลาย ไม่มีแววทุกข์ร้อน “เราควรเก็บน้ำตาไว้ให้เป็นของขวัญเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจดีกว่า”
“เอก เราจะทำยังไงดี” แฟริคกระซิบอย่างเร่งร้อน “ก่อนที่ไอ้เสียงนั่นกับสุตาภาจะทำอะไรบ้าๆ”
เอกราชมีสีหน้าเครียดขรึมด้วยอับจนหนทางส่งไปให้เป็นคำตอบ ถูกมัดแขนอยู่เช่นนี้ และอีกฝ่ายก็มีอาวุธพร้อมที่จะประหัตประหารตัวประกันได้ทุกเมื่อ ดูแล้วไม่มีทางไหนที่จะต่อสู้ขัดขืนได้เลย ราวกับเป็นหมูที่รอถูกเชือดบนเขียง
“ภารกิจนี้เชื่อว่าคุณผู้หญิงทั้งสามคนคงเคยเล่นเมื่อตอนเด็กๆ” เสียงปริศนายังคงพูดต่อไป “เล่นแต่งตัวตุ๊กตา...ซึ่งตุ๊กตากับหญิงสาวเป็นของคู่กัน คราวนี้เรามาทำให้มันใหญ่ขึ้นดีไหม...โดยให้สุตาภาสวมบทเป็นสาวน้อยผู้มีตุ๊กตาแสนรักแสนหวงคือ นิตาภา...แต่ว่าตอนนี้ตุ๊กตาตัวนี้ดูไม่สวยเท่าไหร่ แขนขาก็ผอมลีบไม่สมตัว...ฉะนั้นเรามาตกแต่งให้หนูนิดเป็นตุ๊กตาที่สวยที่สุดดีไหม...โดยการตัดแขน ตัดขาแต่ละข้างทิ้ง! ....แล้วมาประกอบขึ้นใหม่ด้วยแขน ขาของพวกคุณทั้งสี่คนละข้าง...มันต้องออกมาสวยงามน่ารักมิใช่น้อย”
เมื่อได้ฟังก็ชาไปทั้งตัวราวกับถึงตรึงด้วยเข็มนับพันเล่ม อากาศภายในปอดมลายหายไปหมดสิ้น สมรักษ์ได้ฟังคำสั่งอันวิปริตนั้นก็สะบัดตัวอย่างบ้าคลั่ง พยายามดิ้นให้หลุดจากพันธนาการอันแน่นหนาพร้อมร้องตะโกนด้วยสติสัมปชัญญะที่แตกซ่าน หยาดน้ำตาที่รื้นเบ้าของวิลาวัลย์ไหลลงมาอาบสองแก้ม ร่างผอมสั่นสะท้านด้วยความกลัวถึงขีดสุด ไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่าสิ่งที่‘เสียงปริศนา’บรรยายได้อีกแล้ว น้ำเสียงที่สั่งราวกับพอใจในการกระทำอันวิตถารผิดศีลธรรมเกินกว่าจิตใจคนปกติทั่วไป
ท่ามกลางเสียงตะเบ็งกรีดร้อง ระคนอ้อนวอนของคนที่ถูกมัดอยู่กับเก้าอี้ สุตาภาที่ดูเหมือนจะสุขใจที่ได้เห็นภาพตรงหน้า ผลักนิตาภาอย่างแรงจนล้มลงไปกองกับพื้น ในวินาทีนั้นเด็กสาวพยายามจะคลานหนี แต่ก็ถูกท่อนขาของคนที่โตกว่าเตะเข้าไปอย่างแรงตรงสีข้าง จนร่างบางขดตัวคู้พร้อมกับร้องด้วยความเจ็บปวด ยังไม่หมดแค่นั้น หล่อนใช้ด้ามมีดหวดลงไปเต็มแรงบริเวณหลังท้ายทอย ร่างที่นอนอยู่บนพื้นอุทานร้องอั๊กก่อนจะหมดสติแน่นิ่งไป
ผู้เป็นพ่อเห็นภาพทุกวินาทีเหตุการณ์เจ็บปวดรวดร้าวไม่แพ้ลูกสาวผู้ถูกกระทำ ร่างอันอ้วนท้วมมิอาจผ่อนเส้นเชือกให้คลายลงแม้แต่น้อย ยิ่งกลับทำให้มันบาดลึกเป็นแผลถลอกเลือกซึม หากนั่นไม่สำคัญต่อเขาอีกแล้ว เมื่อแก้วตาดวงใจดวงเดียวที่เหลืออยู่กำลังจะถูกทารุณกรรม
แม้เขาไม่อยากเห็นภาพอันโหดร้ายเหล่านี้ แต่เหมือนกับมีมือที่มองไม่เห็นเบิกหนังตาให้เขาจ้องมองตรงพื้นเบื้องหน้าอย่างไม่อาจละสายตา สุตาภากำลังลากร่างอันไร้สติไปไว้ริมผนัง ก่อนล้วงหาของบางอย่างในกระเป๋าเป้ เมื่อเอาออกมาก็ทำให้ทุกคนตกตะลึง หยุดหายใจลงพร้อมกัน
สิ่งที่อยู่ในมือของหญิงสาวคือตะปูยาวประมาณหกนิ้วสี่ถึงห้าอันพร้อมกับค้อน หล่อนโยนมีดลงข้างๆ ลุกขึ้นยืนพร้อมย่างสามขุมตรงไปยังร่างของนิตาภา หัวใจของเอกราชเต้นระทึกจนแทบทะลุออกมานอกอก สองหูอื้ออึงด้วยเสียงร้องของสมรักษ์ ปากคอที่สั่นระริกของเขาพยายามจะเอื้อยเอ่ยห้าม หากออกมาได้เพียงแค่ลมเปล่า คล้ายกับหมดแรงไปสิ้น ในหัวสมองมีภาพอันสยดสยองมากมายแล่นแวบเข้ามาจนแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ
แฟริคร้องอุทานด้วยความตกใจแทบไม่เป็นภาษาเมื่อสุตาภาประคองร่างบางที่ดูเหมือนค่อยๆ ได้สติให้ลุกขึ้น แล้วดันชิดติดผนัง และทันใดนั้นเองก็กระทำสิ่งที่แต่ละคนไม่คาดคิด เหมือนกับกำลังดูหนังฆาตกรรมที่โหดเหี้ยมที่สุดในโลก ที่มันกำลังเกิดขึ้นจริง
วินาทีเดียวกับตะปูยาวหกนิ้วถูกตอกลงไปบนมือข้างซ้ายเข้ากับผนัง เสียงหวีดร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดแสนสาหัสพลันดังขึ้นสะท้อนไปทั้งห้อง เด็กสาวสติกลับมาได้ตอนนั้นพร้อมความเจ็บปวดแล่นปราดขึ้นมาจากฝ่ามือที่ถูกตอกเข้ากับผนัง เลือดแดงฉานไหลหยดลงพื้นติ๋งๆ
คนเป็นพ่อจะตายให้ได้เสียเดียวนั้น ยามได้ยินเสียงร้องของลูกสาวเสียงลึกไปถึงขั้วหัวใจ สมรักษ์แผดเสียงลั่นจนคอแตก หากผู้ที่กำลังถือค้อนจะตอกลงไปยังมืออีกข้างไม่ฟังเสียง กระทำการราวกับเป็นเรื่องปกติสามัญ ไม่มีความสะทกสะท้านแม้แต่น้อย เสียงค้อนเหล็กกระทบตะปูเป็นจังหวะนั้นบาดหูเสียจนเขาไม่อาจทนมองได้อีก วิลาวัลย์เอาแต่ก้มน้ำต่ำ ร่างกายสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่อยู่ สายน้ำตาไหลพรั่งพรูเป็นสายด้วยความสะพรึงกลัว
มืออีกข้างตอกลงเสร็จสมบูรณ์ นิตาภายืนหลังแนบผนังอยู่ในท่าตรึงกางเขนโดยมีเลือดไหลออกมาจากแผลเป็นสาย ร่างบางนั้นอ่อนแรง และเจ็บปวดเกินกว่าจะดิ้นรน ลมหายใจอันรวยรินพยายามไขว่ขว้าหาอากาศ หากสติที่มีอยู่น้อยนิดกำลังจะหลุดลอยพร้อมกับคลองจักษุอันพร่ามัวดับวูบลง และวินาทีต่อมาเด็กสาวก็สิ้นสติไปอีกครั้ง
“เยี่ยมมากสุตาภา” เสียงปริศนาโพล่งขึ้นหลังจากเงียบไปสักพัก “ทีนี้เราก็มาจัดการแยกชิ้นส่วน ประกอบเป็นตัวต่อเลย”
ศีรษะที่ตกห้อยพับของร่างไร้สติถูกช้อนขึ้นมา ก่อนสุตาภาจะกระซิบด้วยเสียงอันเยียบเย็นไปถึงกระดูก
“ทนเจ็บนิดเดียวนะจ๊ะ เดี๋ยวก็สบายแล้ว”
หล่อนเดินกลับมาหยิบมีดยาว แล้วกลับไปยืนประจันหน้านิตาภาอีกครั้ง แล้วมันก็เกิดขึ้นรวดเร็วจนไม่ทันตั้งตัว เมื่อมีดคมปลาบฟันฉับลงไปบนต้นแขนข้างซ้าย พร้อมๆ กับเสียงหวีดร้องจนเสียงแตกพร่าอย่างตกใจ และหวาดผวาดังประโคมขึ้นมาจากรอบๆ จนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ร่างของเหยื่อผู้เคราะห์สะดุ้งน้อยๆ ร้องด้วยความเจ็บปวดอย่าง่อนแรง สติอันเลือนรางใกล้ดับเต็มที่ ภาพอันสยดสยองปรากฏแก่สายตาพวกเขา ท่อนแขนข้างหนึ่งขาดออกจากไหล่ ห้อยแกว่งน้อยๆอยู่บนผนัง ด้วยถูกตรึงด้วยตะปู เลือดไหลพุ่งสาดออกมาจากแผลประดุจน้ำพุสีชาด แลดูสยดสยองเกินกว่ามนุษย์หน้าไหนจะกล้าทนได้
แล้วแขนอีกข้างก็ถูกฟันฉับอย่างเร็ว และแรง ยามคมมีดสัมผัสสัมผัสเนื้อสดับได้ยินเสียงร้องอย่างทุรนทุราย และเจ็บปวดดังระคนกัน ร่างกายของนิตาภาซึ่งบัดนี้ปราศจากแขนไร้หลักยึด กำลังโงนเงนอย่างน่าหวาดเสียว แล้วล้มปึงคว่ำลงไปบนพื้นอย่างแรง ร่างนั้นคล้ายกับกระตุกน้อยๆ ก่อนจะนิ่งสนิท ไม่มีแม้แต่เสียงร้องเล็ดลอดออกมาอีก
ในวินาทีอันตะลึงพรึงเพริด ทุกคนบนโต๊ะต่างคิดว่าเงื้อมมือของพญามัจจุราชได้พรากวิญญาณของเด็กสาวออกจากร่างไปเสียแล้ว ชายร่างท้วมผู้เป็นพ่อร่ำไห้อย่างบ้าคลั่ง ดิ้นพราดๆ เพื่อให้หลุดออกจากเงื่อนเชือก แรงนั้นทำให้ทั้งคนทั้งเก้าอี้หงายล้มปังสนั่น หากเขายังไม่หยุด ความโกรธแค้น ชิงชังปะทุขึ้นในหัวใจอันแหลกสลาย หมายจะไปให้ถึงตัวลูกสาว และผู้หญิงชั่วที่ยืนค้ำร่างบางให้ได้ สบถคำด่าสาปแช่งด้วยความชิงชัง
นิตาภาไม่รู้ร้อนรู้หนาว เดินทอดน่องพร้อมรอยยิ้มเหยียดก้าวข้ามร่างของสมรักษ์ที่นอนตะแคงอยู่บนพื้น ตรงมาหาคนทั้งสาม เอกราชตระหนักได้ในทันทีว่าชะตาของพวกเขากำลังจะขาดลง สัญชาติญาณแห่งการเอาตัวรอดจึงทำงาน ประสาททุกส่วนตึงเขม็งพยายามดิ้นดีดตัวให้หลุดจากเชือก เท่าที่แรงกำลังจะมี แฟริคก็กำลังดิ้นรนหาทางรอดไม่ต่างจากเขา วิลาวัลย์สะอื้นไห้อย่างหนัก ใบหน้าหดหู่สิ้นหวังราวกับว่ากำลังจะยอมพ่ายแพ้
นี่เขาจะต้องตายจริงๆ หรือนี่...
มีดที่เปื้อนเลือดกวัดแกว่งอย่างน่าหวาดเสียวอยู่ข้างๆ ศีรษะพวกเขา เหมือนเล่นสงครามประสาท หยอกยั่วราวคนบนเก้าอี้เป็นของเล่นอันน่าอภิรมย์ พร้อมกันนั้นสุตาภาก็เอ่ยขึ้นว่า
“จะเริ่มที่ใครก่อนดีน้า...ต้องเอาแขนสวยๆหน่อย ตุ๊กตาจะได้น่ารักน่ากอด”
หล่อนพูดราวกับว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นมันคือการ‘เล่นตุ๊กตา’จริงๆ ทั้งๆที่มันคือเนื้อหนัง และเลือดของคนที่มีชีวิต ในความฝันที่ไม่มีวันตื่นนี้กำลังขับดันให้ความหวาดกลัวเพิ่มขึ้นทุกขณะ กลิ่นอายแห่งความตายกำลังอบอวลทุกอณูพื้นที่ในห้อง เอกราชสะบัดแขนเร่าๆ ท่ามกลางความล้าเนื่องจากนั่งผิดท่ามาเป็นเวลานาน แต่มันก็เทียบไม่ได้เลยกับความเจ็บปวดแสนสาหัสที่พวกใกล้จะได้ลิ้มรส
ร่างท้วมที่ล้มตะแคงอยู่ตรงพื้นโดยมีเก้าอี้ใหญ่หนักมัดติดกับตัว เขากระ
สุตาภาค่อยๆเดินอย่างเชื่องช้าไปยังวิลาวัลย์ หญิงสาวร้องสะอื้นหนักขึ้นด้วยความหวาดกลัวขวัญผวา ก่อนจะสิ้นสติสลบไป หญิงสาวผู้มีจิตใจเหี้ยมผิดมนุษย์หัวเราะร่าอย่างน่ารังเกียจ และในตอนนั้นเองสองมือที่ติดกันของชายหนุ่มก็ถ่างออกสำเร็จ
เชือกคลายตัวหลวมขึ้น! ...หากแต่ไม่หลุดออกเสียทีเดียว
ชายหนุ่มกำลังจะดึงมือทั้งสองออกมาวงเชือก สุตาภาก็ย้อนกลับมาพอดี เขาจึงสอดมือเข้าไปตามเดิม แล้วทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น สุตาภาหยุดกึกด้านหลังเขา หัวใจของเอกราชเต้นระทึกราวกับกลองศึก หวั่นว่าหล่อนจะจับได้ แต่อึดใจต่อมาหล่อนก็เดินผ่านไป ความโล่งใจจึง
บังเกิดขึ้นเพียงระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ซุ่มเสียงเสียดหูจะดังขึ้นอีก
“ฉันตัดสินใจได้แล้ว ใช้แขนของวิลาวัลย์นี่แหละ มันสลบอยู่ จัดการง่ายไม่ต้องออกแรงเยอะ”
ว่าแล้วหล่อนก็ก้าวฉับๆ ตรงไปยังร่างที่สลบพับคาเก้าอี้อยู่ทันที ความตึงเครียดประทุถึงขีดสุด เด็กหนุ่มข้างๆ เขาหันมามองหน้าอย่างร้อนรน
หากก็ช่วยทำอะไรไม่ได้นอกจากตะโกนห้ามกึ่งขอร้อง แต่ทว่าไม่ต่างจากลมที่ลอยพัดผ่านไปอย่างไร้ความหมาย
แล้วมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าฟาด เมื่อใบมีดยาวคมปลาบถูกง้างขึ้นก่อนตวัดฟาดลงไปบนไหล่ของวิลาวัลย์ แต่ทว่าสิ่งที่ไม่คาดคิดก็พลันเกิดขึ้น สร้างความชักงักค้างให้แก่ทุกคน หญิงสาวที่ถือมีดหยุดกึกลงกะทันหัน ปลายมีดห่างจากห่างเหยื่อเพียงไม่กี่เซน ทุกคนหันพรึบไปทางต้นเสียงพร้อมกัน
ประตูถูกเปิดผางออก...พร้อมกับร่างลำสันของสุทัศน์พรวดพราดเข้ามา!