....เกมส์ สั่ง ตาย บทที่ 10.... โดย ราชพฤกษ์

กระทู้สนทนา
เดินทางมาถึงโค้งสุดท้าย แต่ไม่ท้ายสุดแล้ว ตื่นเต้นจังๆๆ ^^
.............  .................   ...................   ................. ................

ศีรษะของคนที่นั่งยองๆ รับรู้ถึงแรงกดจากปากกระบอกปืน ทำให้ทั้งร่างกลายเป็นอัมพาตไปชั่วขณะ เหมือนกับมีก้อนแข็งดันขึ้นอุดหลอดลม ครั้นเสียงอันคุ้นหูของสุตาภาที่ยืนค้ำอยู่ด้านหลังก็ตวาดเสียงแหลมขึ้นอีกครั้ง
    
“วางไฟฉายลง แล้วยืนขึ้น!”

    คนถูกสั่งยอมทำตามแต่โดยดี วางไฟฉายลงกับพื้น จงใจหันลำแสงสว่างไปทางด้านหลัง ก่อนค่อยๆ ยืดตัวยืนขึ้นอย่างเชื่องช้า หัวใจเต้นระทึกด้วยความหวาดหวั่น ชายหนุ่มรู้ดีว่า จิตใจอันโหดเหี้ยม และกระหายในชัยชนะของสุตาภา พร้อมสั่งการให้ลั่นไกเป่าหัวเขาได้ทุกเมื่อ

    “ทีนี้ ค่อยๆ หันหน้ามา”
    
เอกราชหมุนตัวไปประจันหน้ากับหล่อน ท่ามกลางทางเดินมืดที่ได้แสงสลัวจากไฟฉาย และทางเดินตรงบันได ส่องให้เห็นเค้าหน้าที่กำลังแสยะยิ้มห่างไปไม่ถึงเมตร ปลายกระบอกปืนบัดนี้จ่ออยู่กลางหน้าผากของเอกราช เจ้าของปืนสอดนิ้วเตรียมจะลั่นไกทันทีหากเหยื่อที่อยู่ตรงหน้าพยายามจะสู้ขัดขืน

    สุตาภาชำเลืองมองไปยังร่างท้วมที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ดวงตาเบิกโพลงไร้แวว ไร้ลมหายใจ หญิงสาวหัวเราะต่ำๆ ในลำคออย่างผู้ชนะ ความหวาดกลัว และหดหู่แล่นจุกขึ้นในอกของเอกราช ลมเย็นยะเยือกไล่ขึ้นมาจากปลายเท้า พร้อมๆ กับหัวใจหล่นแป้วลงไปที่ตาตุ่ม รู้ซึ้งแล้วว่าอารมณ์ของคนกำลังจะถึงแก่ตายมันเป็นอย่างนี้นี่เอง  

    “หึหึ...ต้องขอบใจไอ้สุทัศน์ ที่ตายเป็นผีแล้วยังมีประโยชน์” หล่อนเอ่ยเสียงหยัน “ทิ้งลูกกระสุนไว้ให้เป็นกล่องๆ เหลือเฟือพอให้ฉันยิงได้แกเล่น ให้ตายซ้ำแล้วซ้ำเล่า”

    ยังไม่ทันสิ้นเสียงอันน่าขยะแขยง จู่ๆ พลัน ปรากฏเงาวูบไหวขึ้นด้านหลังตรงเชิงบันได ก่อนรุดเคลื่อนเข้ามาใกล้อย่างเงียบกริบ เอกราชที่ยืนเกร็งนิ่ง ลอบชำเลืองมองเลยไปด้านหลัง ลำแสงไฟฉายสีส้มส่องให้เห็นส่วนหนึ่งของเงานั้น แล้วเขาก็ตระหนักได้ทันทีว่า เค้าร่างที่กำลังย่องตรงเข้ามาคือแฟริค พร้อมกับไม้ท่อนใหญ่ในมือ

    ความหวัง และความดีใจพรั่งพรูอยู่ภายใน หากต้องแสร้งปั้นหน้าอย่างเป็นปกติที่สุด มิให้หญิงสาวที่ยืนจ่อปืนตรงหน้าสงสัย เขาต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อถ่วงเวลา ตอนนี้เหลืออีกไม่กี่ก้าวเด็กหนุ่มก็จะถึงตัวคนทั้งสอง

    “ขอร้องเถอะ” เอกราชโพล่งขึ้น “ถึงเธอเป็นผู้ชนะ แต่เงินสองล้านนั่นไม่มีอยู่จริงหรอก ทุกอย่างมันเป็นแผนการที่ถูกวางไว้หมดแล้ว ฉันเห็นยาหลอนประสาทอยู่ในห้องครัว มันใส่ลงในอาหารให้พวกเรากิน ยานั่นมันทำให้เธอเป็นแบบนี้”
    
“หุบปาก!” หญิงสาวตวาดกร้าว “อย่าคิดว่าฉันจะเชื่อคำโกหกพล่อยๆ แล้วยอมปล่อยชีวิตแก ฝันไปซะเถอะ เงินสองล้านกำลังจะตกเป็นของฉัน...เชิญไปฝันต่อในนรกแล้วกัน!”

    ทันทีที่สิ้นประโยค นิ้วมือที่สอดอยู่กำลังจะเหนี่ยวไก หากเหตุการณ์มันเกิดขึ้นเฉียดฉิวเพียงเสี้ยววินาที เมื่อไม้หน้าสามพลันวาดมาจากด้านหลัง หวดไปที่บริเวณทัดดอกไม้เต็มแรง พร้อมๆ กับร่างของสุตาภาล้มตึงลงไป สลบแน่นิ่งกองกับพื้น

    คนที่หลับตาปี๋อย่างหวาดเสียวลืมตาขึ้น รีบสำรวจร่างกายของตัวเอง พบว่ายังสมบูรณ์ปลอดภัย แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก ก่อนจะรีบตะลีตะลานพุ่งตัวไปขวางแฟริคที่กำลังจะง้างไม้หวดสุตาภาเป็นครั้งที่สอง
    
“แฟริค อย่า!” เอกราชร้องห้ามเร็วรี่ “พอแล้ว มันสลบไปแล้ว”

    “จะมาขวางทำไม” แฟริคตะโกนลั่น ประกายแห่งโทสะฉายวาบในดวงตา  “แค่นี้มันยังเทียบไม่ได้ กับความเลวที่มันทำกับทุกคน ทุกคนต้องตายเพราะมันคนเดียว”

    หากเป็นเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน เขาคงยินดีที่ได้เห็นสุตาภาโดนลงทัณฑ์อย่างสาสม และไม่พลาดที่จะได้ลงมือแก้แค้นหล่อนด้วยตัวเอง หากความจริงที่เอกราชเพิ่งได้รับทราบ มันทำให้รู้ว่าพวกเราทุกคนล้วนตกเป็นเหยื่อ แค่เบี้ยตัวหนึ่งในแผนการชั่วร้ายของบางคนที่เรียกตัวเองว่า‘เสียงปริศนา
    
“มันไม่ใช่อย่างที่นายคิด...”

    เขาพยายามอธิบายหากแฟริคย้อนทันควัน

    “นายจะให้ฉันคิดว่าอะไรล่ะ...สมรักษ์ ที่นอนแขนขาด เลืองนองเต็มพื้นนี่คงตายหลอกๆ มั้ง”

    “ไม่ใช่ไม่ได้หมายความแบบนั้น แต่คนที่ตายหลอกๆ นี่แหละ เพิ่งบอกความจริงกับฉัน ถึงเบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมด และนาย‘ต้องฟัง’ฉันพูดให้ดี”

    เด็กหนุ่มที่ความโกรธแค้นยังคงคุกรุ่นเอียงหัวอย่างฉงน เขาสูดลมหายใจลึก ก่อนเริ่มต้นถ่ายทอดสิ่งที่เพิ่งได้ฟังมาอย่างคร่าวๆ และแต่ละประโยคที่เข้าสู่โสตประสาทก็ทำให้สีหน้าของแฟริคเปลี่ยนไปทีละน้อย ความรู้สึกแค้นเคืองแปรเปลี่ยนเป็นอารมณ์ที่ยากบอกความรู้สึก อาการเหมือนกับครั้งแรกที่เอกราชได้ฟังไม่มีผิด และถึงตอนนี้ก็ยังขนลุกยามเมื่อต้องเล่าซ้ำอีกครั้ง

    เมื่อฟังจบแฟริคก็ซวนเซจนต้องเกาะผนังเพื่อพยุงตัว เรื่องที่ได้รับฟังจากชายหนุ่มมันชวนตกตะลึง และน่ากลัวเกินกว่าตนเองจะคาดถึง ดวงหน้าคมเข้มแบบลูกครึ่งบัดนี้ซีดเผือด ขยับปากคล้ายจะพูด หากก็ไม่ได้เอ่ยคำใด ด้วยไม่รู้จะหาคำใดมาอธิบายความรู้สึกที่มีอยู่ตอนนี้ สุดท้ายจึงชำเลืองไปมองร่างไรวิญญาณของสมรักษ์ก่อนเอ่ยออกมาเสียงเบาหวิว

    “มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นจริงเหรอ?”

    “ไม่รู้เหมือนกัน” เอกราชพูดตามตรงพลางหยิบไฟฉายบนพื้น “เจ้าตัวก็ไม่อยู่รอให้ซักถามได้อีกแล้ว”

    “เราต้องสืบให้รู้ความจริง ว่าเรื่องราวมันเป็นมายังไงกันแน่” เด็กหนุ่มกล่าว น้ำเสียงจริงจัง

    แต่ไม่ทันที่สองหนุ่มจะได้ตัดสินใจอันใดต่อ ‘เสียงปริศนา’ก็พลันดังสะท้อนไปทั้งทางเดิน ไม่มีส่วนใดของคฤหาสน์ที่หลุดรอดพ้นจากเงื้อมมือที่มองไม่เห็นของมันได้

    “เกมชักจะน่าเบื่อ ไม่สนุกแล้วสิ” หากเสียงนั้นฟังดูยิ่งพอใจ และเร่งเร้ากว่าทุกครั้ง “ใกล้เดินทางมาถึงจุดจบแล้ว  และวินาทีต่อจากนี้ จะเป็นเวลาของภารกิจสุดท้าย...มัจจุราชสีดำ”

    ทันใดนั้น ท่ามกลางบรรยากาศอันสงัดบังเกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าด ดังหวีดแหลมลากยาวมาจากชั้นหนึ่ง พร้อมๆ กับหัวใจของสองหนุ่มที่หยุดเต้นลงเดี๋ยวนั้น เลือดในกายราวกับจับตัวเป็นก้อนแข็ง ความเย็นเยียบแผ่ซ่านไปตามสันหลัง เมื่อตระหนักได้ว่าเสียงที่ได้ยินนั้นมันคืออะไร
    
ประตูคฤหาสน์กำลังถูกเปิดออก!
    
แล้ววินาทีต่อมาก็ดังยินเสียงฝีเท้านับสิบดังแหวกความเงียบ จังหวะเท้ากระทบพื้นเร็วถี่ทำเอาหัวใจของสองหนุ่มที่ยืนตะลึงงันอยู่กลางทางเดินเต้นระรัวดุจกลองศึก และหนึ่งในกระแสเสียงที่ได้ยินคือมันกำลังดังใกล้เข้ามาทางบันได ปลุกทุกส่วนประสาทให้ตื่นขึ้นในทันที

    ชายชุดดำเข้ามาในคฤหาสน์แล้ว...และกำลังขึ้นมา!

    แฟริคได้สติก่อน คว้าแขนเอกราชแล้วพาวิ่งตรงไปสุดโถงทางเดิน จังหวะเดียวกับที่ชายหนุ่มเหลือบไปเห็นปืนตกอยู่บนพื้น โน้มตัวลง เกี่ยวติดมือขึ้นมาได้อย่างหวุดหวิดก่อนจะถูกเด็กชายวันสิบเก้าลากตัวไปอย่างรีบเร่ง ก่อนที่ชายชุดดำจะขึ้นมาถึงชั้นนี้
    
สองหนุ่มมาหยุดอยู่ห้องสุดท้ายของทางเดินยาว เขารีบยัดปืนเหน็บไว้ด้านหลังก่อนหมุนลูกบิดประตู หากพบว่ามันล็อค แล้วทันทีนั้นร่างดำทะมึนนับสิบก็โผล่พ้นขึ้นมาจากมุมบันได กำลังมองหา‘เหยื่อ’ ซึ่งกำลังอยู่ในสภาวะจนตรอก
    
“ประตูมันล็อคทำยังไงดี”

    เอกราชพูดอย่างลนลาน หันกลับไปเปิดประตูห้องฝั่งตรงข้าม แต่มันก็เปิดไม่ออกเช่นกัน ความอับจน และตื่นตระหนกกำลังคุกคามคนทั้งสอง แล้วก็หัวใจก็หล่นวูบเมื่อหันไปมองทางบันได พวกมันเห็นตัวเป้าหมายแล้ว และกำลังวิ่งตรงดิ่งเข้ามาพร้อมอาวุธในมือ

    “กุญแจๆ”

    แฟริคอุทานขึ้น แล้วเอื้อมไปล้วงหาบางสิ่งในกระเป๋าเป้ ก่อนหยิบพวงกุญแจที่มีลูกกุญแจสี่ดอกออกมา พร้อมกับสั่งเร็วปรื๋อ

    “ส่องไฟไปที่ลูกบิดเร็ว!”

    ชายหนุ่มรีบสาดไฟไปยังประตูตรงหน้า แฟริครีบลงมือไขกุญแจด้วยมืออันสั่นเทาจนเกือบทำมันหล่น เอกราชหันไมองทางเดินอย่างร้อนลน พวกใหม่ใกล้เข้ามาทุกขณะ อีกไม่ถึงสิบเมตรก็จะถึงตัวพวกเขา

    “เสร็จแล้วยัง มันจะมาถึงแล้ว”

    เด็กหนุ่มไม่ตอบ กำลังไขกุญแจดอกที่สาม คราวนี้ได้ยินเสียงคลิกเบาๆ พร้อมกับรอยยิ้มฉายขึ้นบนใบหน้า แฟริครีบเปิดประตู ก่อนทั้งสองถลันเข้าไป แล้วปิดประตูตามหลัง กดล็อคอย่างเร็ว รอดพ้นจากเงื้อมมือจากพวกชายลึกลับชนิดเฉียดเส้นยาแดง
    
“นายรู้ได้ยังไงว่าต้องใช้กุญแจนี้” เอกราชถาม ใจยังเต้นโครมครามไม่หยุด

    “ฉันเดาเอาน่ะ เห็นที่ประตูมันมีตราเหมือนกับบนของที่เราได้มาติดอยู่”

    เขาไม่ได้ติดใจสงสัยอีก ด้วยมั่วแต่ตื่นตระหนก ไม่ทันใดสังเกตอะไรทั้งสิ้น นับว่าเด็กหนุ่มมีไหวพริบ และสติดีเยี่ยมในสถานการณ์ล่อแหลมเช่นนี้ ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นตลอดการเอาตัวรอดที่ผ่านมา หากทว่ามีสิ่งหนึ่งที่เอกราชนึกสงสัยขึ้นมา ก่อนถามออกไป

    “แล้วกุญแจมันไปอยู่กับนายตั้งแต่เมื่อไหร่ ฉันจำได้ว่าเอาใส่กระเป๋าเป้ของตัวเอง”
    
ว่าพลางรื้อค้นกระเป้าที่สะพายหลังอยู่ และพบว่าของที่อยู่ภายในมันไม่ใช่ของเขา ซึ่งเด็กหนุ่มรีบอธิบายทันที
    
“ฉันคงหยิบผิดไปตอนเราลงมาจากห้องพัก หลังจากพลัดหลงกันชั้นล่าง มีดของชั้นก็หล่นหาย เลยเปิดกระเป๋าหาของป้องกันตัวเลยรู้ว่ากระเป๋าฉันกับของนายสลับกัน...ทำไม คิดว่าฉันมีแผนการจะตลบหลังนายงั้นเหรอ”

    ท้ายประโยคเด็กหนุ่มกระเซ้าอย่างที่เคย ทำให้เอกราชผุดยิ้มน้อยๆ แล้วตอบตามที่ใจคิด

    “เปล่า ฉันไม่เคยคิดอย่างนั้นเลย แค่สงสัย เพราะฉันจำได้ว่าใส่ไว้ในกระเป๋าตัวเอง”

    “ถ้างั้นเอากระเป๋านายคืนไปได้แล้ว” เด็กหนุ่มเอ่ยพลางโยนกระเป๋าให้ “หนักชิบเป๋ง”

    เขาแลกกระเป๋าคืนจากแฟริคเสร็จ แล้วจึงหันไปสำรวจห้องที่เพิ่งพรวดพราดเข้ามาอย่างจริงจัง พวกเขาทั้งสองยืนอยู่ในมุมสลัวที่คลี่คลุมล้อมรอบห้องโล่ง โดยมีโคมแขวนเพดานส่องแสงสีขาวเรืองๆ ลงมาเป็นวงตรงกลางพื้นห้อง ซึ่งมีบางสิ่งวางนิ่งสงบอยู่ มันคือหีบเหล็กขนาดไม่ใหญ่มาก เอกราช และแฟริคค่อยๆ คืบเข้าไปใกล้ของสิ่งนั้นด้วยความสงสัย โดยไม่ได้สังเกตเลยว่ามีสิ่งหนึ่งกำลังขดตัวคู่อยู่มุมห้อง และตอนนี้กำลังจ้องเขม็งตรงมาที่ผู้รุกล้ำ

    คนที่สายตามัวจดจ่ออยู่กับหีบปริศนาตรงหน้า ไม่ทันได้ไหวตัวถึงสิ่งที่อยู่มุมห้อง มารู้ตัวเอาต่อเมื่อเสียงเหล็กครูดพื้นดังโครกคราก วินาทีเดียวกับร่างมอซอในเสื้อผ้าขาดวิ่นพรวดกระโจนเข้ามากลางวงของหนุ่มทั้งสอง เอกราชตกตะลึงรีบถอยกรูไปด้านหลังตามสัญชาตญาณ ในขณะที่เด็กหนุ่มร้องลั่นเสียงหลง แล้วหงายหลังล้มลงไปด้วยแรงปะทะจากคนที่พรวดพราดเข้ามา หากไม่ได้หมายจะทำร้าย

    “ข้าวๆ...ข้าวอยู่ไหน หิวข้าว”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่