....เกมส์ สั่ง ตาย บทที่ 5.... โดย ราชพฤกษ์

กระทู้สนทนา
http://pantip.com/topic/30282611
บทที่ 1

http://pantip.com/topic/30325470
บทที่ 2

http://pantip.com/topic/30355400
บทที่ 3

http://pantip.com/topic/30373291
บทที่ 4
.................................................

บทที่ 5

    
เอกราชตัดสินใจว่าควรออกจากป่าทึบอันเต็มไปด้วยไอหมอกร้ายแห่งนี้โดยเร็วที่สุด ไม่ควรปล่อยเวลาให้ล่วงเปล่าแม้แต่วินาทีเดียว ระยะทางมุ่งสู่คฤหาสน์เหลืออีกไม่ไกล สุตาภากลับไปเอา‘ถุงพิทักษ์’ที่ซ่อนไว้หลังพุ่มไม้ ก่อนทั้งสามจะออกเดินเรียงหน้ากระดานกันไป โดยมีแสงสีส้มสว่างจากกระบอกไฟฉายนำทาง
    
สายตาอันระแวดระวังภัยของชายหนุ่มคอยลอบมองไปในเงามืดเป็นระยะ พร้อมกับส่องไฟฉายไปยังจุดที่น่าสงสัย แต่ทว่าจนถึงตอนนี้ยังไม่พบสิ่งใดผิดปกติอีก ทั้งป่าตกอยู่ในความเงียบสงัดอีกครั้ง มีเพียงเสียงเท้าย่ำใบไม้ของทั้งสามคนดังสะท้อนทั่วบริเวณ
    
หญิงสาวที่ร่างเต็มเปื้อนไปด้วยโคลน และรอยแผลดูเหมือนว่ายังไม่หายจากอาการตกใจกลัว ดวงตารื้นส่ายมองลอกแลกไปมาอย่างหวาดระแวง เดินเบียดชิดเขาสองคน ซึ่งดูเหมือนว่าแฟริคจะชอบใจเสียด้วย เด็กหนุ่มวางท่าเข้มแข็งกว่าตอนเดินกับเขาเพียงสองคนเสียอีก พูดจาปลอบขวัญสุตาภาไม่ขาดตามนิสัย

    หลังจากเดินมาไม่นานใกล้ถึงชายป่า เริ่มแลเห็นแสงสว่างเป็นจุดเล็กๆ จากคฤหาสน์ ทั้งสามคนบังเอิญพบกับคู่พ่อลูก สมรักษ์กับนิตาภา ทั้งคู่กำลังจะกลับไปยังคฤหาสน์พอดี เขามองผาดๆ พบว่าทั้งสองมีสภาพปกติดีเหมือนตอนก่อนแยกจากกัน ซึ่งเด็กสาววัยสิบห้ายังคงมีหน้าตาบึ้งตึงเหมือนเดิม ส่วนผู้เป็นพ่อมีอาการตกใจเมื่อเห็นสภาพคนทั้งสาม
    
“เกิดอะไรขึ้น” สมรักษ์ถามขึ้นโดยเร็ว “ไปโดนอะไรกันมา”

    “เอาไว้ให้ไปถึงคฤหาสน์ค่อยเล่านะครับ เรื่องมันยาว” เอกราชว่า “ตอนนี้เรารีบออกจากป่าก่อนดีกว่า”      
    
ชายร่างท้วมวัยสิบสี่ปลายๆ รีบเข้ามาช่วยพยุงแฟริค พลางบอกให้ลูกสาวเข้าไปช่วยสุตาภา แล้วทั้งห้าคนจึงเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง และเพียงไม่กี่นาทีก็พ้นออกมาถึงชายป่า
    
แสงไฟสีส้มสลัวจากคฤหาสน์ทรงโบราณหลังโอ่อ่าทอแสงจางๆ หากเด่นชัดท่ามกลางป่าทึบมืดมิดรอบด้าน ทั้งห้าคนใจชื้นขึ้น เร่งฝีเท้าเท่าที่ทำได้ตัดผ่านสนามหญ้าด้านหน้าคฤหาสน์ ตรงไปยังมุกอาคารซึ่งคุณไพบูลย์ยืนรออยู่ ชายชราไม่มีท่าทีตกใจ หรือแสดงอาการเป็นเดือดเป็นร้อนเมื่อเห็นสภาพอันสะบักสะบอม อิดโรยของผู้เข้าแข่งขันแต่ละคน เพียงพูดเสียงเบาด้วยใบหน้าอันราบเรียบ
    
“เชิญในห้องรับรอง ผู้เข้าแข่งขันที่เหลือรออยู่แล้ว”
    
พูดจบร่างอันผอมเกร็งก็หมุนตัว เดินนำคนที่เหลือเข้าไปในตัวคฤหาสน์ ผ่านห้องโถงใหญ่ซึ่งเวลานี้โคมไฟหลายสิบดวงกำลังส่องแสงสีส้มสลัววังเวง รูปปั้น ของประดับพิสดารต่างๆดูน่ากลัวยิ่งกว่าตอนกลางวัน สายตาอันดุกร้าวของรูปปั้นคล้ายกับกำลังจับจ้องเคลื่อนตามทั้งหกคน หากทว่าไม่มีใครสังเกตเห็น ผู้ที่เพิ่งเดินทางมาถึงกำลังเลี้ยวขวาเข้าสู่ห้องรับรอง  
    
ประตูบานใหญ่ของห้องรับรองที่เปิดค้างไว้ เผยให้เห็นโต๊ะยาวกลางห้องซึ่งมีสุทัศน์ ชายหนุ่มร่างบึกบึนนั่งอยู่เพียงผู้เดียว ตรงมุมห้องด้านในสุดคือวิลาวัลย์ที่กำลังเดินวนไปมาอย่างกระวนกระวาย กลุ่มของเอกราชก้าวเข้าไป ทั้งสุทัศน์ และวิลาวัลย์เงยหน้าขึ้นพร้อมกัน เมื่อเห็นชัดว่าผู้ที่เข้ามาใหม่คือใคร หญิงสาวร่างบางจากมุมห้องก็รีบตรงมายังกลุ่มคนที่ยืนอยู่ตรงประตูด้วยความดีใจ กล่าวซักถามสุตาภาลิ้นพัลวัน อารมณ์ทั้งดีใจ และโล่งใจผสมกันที่ได้เห็นคู่หูของหล่อนกลับมาถึงคฤหาสน์อย่างปลอดภัย หากวินาทีต่อมา กลับต้องร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจเมื่อพินิจร่างของสุตาภาให้ชัดขึ้น
    
“เธอไปโดนอะไรมา ทำไมเนื้อตัวมีแต่แผลเต็มไปหมด” วิลาวัลย์ถามตาโต จับไหล่เพื่อนหมุนไปมาเบาๆ

    “ฉันไม่เป็นอะไรมากหรอก” สุตาภายิ้มเหนื่อยๆ “แต่ตอนนี้ช่วยพาฉันไปนั่งหน่อย ขาจะทรงตัวไม่ไหวแล้ว”
    
หญิงสาวผู้ซึ่งมาถึงก่อนหน้ารีบประคองคู่ของตนไปนั่งยังเกาอี้ ก่อนหยิบขวดน้ำจากในกระเป๋าส่งให้

    “ดื่มน้ำก่อน”

    วิลาวัลย์พูดรัวเร็ว พลางหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดคราบสกปรกบนใบหน้าเพื่อน เขาเพิ่งสังเกตว่าเนื้อตัวของหญิงสาวอีกคนไม่ได้เปื้อน เลอะโคลนเหมือนคู่หู จะมีก็แต่รอยแผลขีดข่วนเล็กน้อยบนท่อนแขนเท่านั้น หากเอกราชไม่ได้ใส่ใจในรายละเอียดนัก ตอนนี้มีเรื่องที่ขาอยากรู้มากกว่า และต้องการถามคุณไพบูลย์ให้กระจ่างแจ้ง หากเมื่อมองหา พบว่าชายชราได้หายไปจากห้องตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

    “มิสเตอร์ เอกครับ มัวมองอะไร เราไปนั่งกันเถอะครับ” แฟริคพูดขึ้น “ผมจะไม่ไหวจริงๆ แล้วนะครับ”

    “คราวนี้ล่ะมาทำเจ็บ ทีในป่าต่อหน้าสาวนี่เก๊กจัง”

    เอกราชย้อน พลางเดินไปนั่งยังเก้าอี้โดยที่เชือกยังผูกคนทั้งสองอยู่ แฟริคนั่งลงข้างๆ เขา เอนหลังลงอย่างหมดสภาพ ตัวเขาเองก็รู้สึกปวดบริเวณท้ายทอยถี่ และรุนแรงขึ้น หากร่างกายยังพอฝืนไหว คู่พ่อลูกเดินมานั่งฝากเดียวกับเอกราช แล้วเพ่งสำรวจสภาพอันอิดโรยของแต่ละคนให้เต็มตากว่าตอนเจอกันในป่า
    
“บอกได้ยังว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” สมรักษ์ถามรัวเร็ว “ทำไมแต่ละคนถึงมีสภาพบอบช้ำแบบนี้...หรือว่าพวกคุณไปเจอสัตว์ร้ายเข้า แล้วตอนที่เราเจอกัน คุณไปอยู่คุณสุตาภาได้ยังไง แล้วคุณวิลาวัลย์ ทำไมถึงกลับมาก่อน...เอ๊ะ...มันยังไงกันเนี่ย ผมงงไปหมด”    

    “โอ๊ย พ่อ ถามหลายอย่างแบบนี้ใครเขาจะไปตอบทัน” นิตาภาสอดขึ้นด้วยความรำคาญ “ก็รู้อยู่ว่าพวกพี่เขากำลังเหนื่อยๆ ยังไปกวนอีก”
    
“นี่ ยัยนิด เลิกขัดพ่อสักแปปจะได้ไหม” ผู้เป็นพ่อหันไปดุลูกสาว แต่นิตาภากลับไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย เหยียดปากคว่ำ พร้อมกับยักไหล่ท้าทาย สมรักษ์พ่นลมหายใจอย่างมีโมโห พยายามไม่สนใจลูกสาว แล้วหันมาคุยกับเอกราชต่อ “ว่ายังไงครับ เรื่องราวมันเป็นมายังไง”
    
คนถามรอฟังอย่างใจจดใจจ่อ หากคนถูกถามไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหนดี ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีแต่ความคลุมเครือ ชายหนุ่มผินหน้าไปหาแฟริค เด็กหนุ่มพยักหน้าอย่างเหนื่อยอ่อนเป็นคำตอบ เอกราชจึงเริ่มเล่าอย่างคร่าวๆ ถึงเรื่องที่มีคนมาทุบประตูอย่างบ้าคลั่งในบ้านร้างกลางป่า แต่พอเปิดออกดูกลับไม่พบใครอยู่เลย และการหลบซุ่มอยู่หลังพุ่มไม้ของใครบางกลุ่ม คอยโจมตีเขา และแฟริคด้วยการปาก้อนหินใส่ แต่ทั้งหมดทั้งมวล ชายหนุ่มกลับไม่มีโอกาสได้เห็นตัวอย่างชัดเจนสักครั้ง รวมถึงเรื่องที่เขาทั้งสองพบกับสุตาภาโดยบังเอิญ ชายร่างท้วมวัยย่างเข้าเลขห้าได้ฟังก็เอียงหัว ทำหน้าแบบไม่อยากเชื่อหู หากหลักฐานที่เห็นอยู่มันชัดแจ้งเกินกว่าจะปฏิเสธ
    
“ผมไม่แน่ใจว่าเป็นหนึ่งในบททดสอบที่ทางรายการเตรียมไว้รึเปล่า คงต้องรอถามคุณไพบูลย์ให้เข้าใจ แล้วของคุณสมรักษ์ล่ะครับ เจออะไรบ้างไหม”

    “ถ้าหมายถึงบททดสอบ คิดว่าไม่มีเลย ผมกับลูกเดินไปเรื่อยๆ เจอของสามสิ่งซ่อนอยู่บนค่าคบไม้ ผมเอามันลงมา เสร็จแล้วก็กลับ แต่ตอนขากลับ ดันโชคร้ายเดินหลงทาง คลำหาทางอยู่ในป่าเป็นชั่วโมง ดีที่เจอพวกคุณเสียก่อน ถึงออกมาได้”

    “จะไม่ให้หลงได้ยังไงล่ะ ก็พ่อทำเก่ง บอกไปตามทางธูปมันช้า เดี๋ยวแพ้คนอื่น” นิตาภาแทรกขึ้นทันควัน “พ่อเลยสวมบทเป็นนายพราน หาทางลัด สุดท้ายเลยลัดไปอยู่ซะกลางป่า”
    
คนถูกพาดพิงแสร้งทำไม่ได้ยิน เมื่อการยั่วโมโหพ่อไม่สำเร็จ นิตาภาจึงเงียบไปเอง เอกราราชเดาว่าความสัมพันธ์อันไม่ลงรอยของสองพ่อลูกคู่นี้คงเกิดขึ้นมานาน และสะสมจนเกิดความชินชา กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันที่ผู้เป็นลูกสาวต้องคอยขัด และมีความคิดเห็นแย้งพ่อบังเกิดเกล้าอยู่ตลอดเวลา ซึ่งสมรักษ์ดูจะมีท่าทางยอมผู้เป็นลูกอยู่กรายๆ นิตาภาจึงไม่ค่อยเกรงกลัวนัก ยามเมื่อถูกดุ
    
“ระหว่างที่อยู่ในป่า คุณไม่ได้ยินเสียงร้องกับปืนบ้างเหรอครับ” เอกราชถามสมรักษ์
    
“ได้ยิน เป็นเสียงแว่วๆ แต่คุณเพิ่งเล่าว่าเสียงร้องเป็นของคู่ผู้หญิง แล้วเสียงปืนนั่นล่ะเป็นของใคร”

    “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”

    ชายหนุ่มพูดอย่างจนใจ คิดไม่ออกว่าเสียงปืนลั่นป่าแตกมีต้นกำเนิดมาจากที่ไหน แต่ที่ทราบตอนนี้คือไม่เกี่ยวข้องกับคู่ของหญิงสาว สุตาภาและวิลาวัลย์ ส่วนคู่ของพ่อลูก จากสีหน้า และแววตาทำให้เอกราชเชื่อว่าไม่ได้พูดโกหกแน่นอน จะเหลือก็แต่สุทัศน์ ชายร่างใหญ่ ผิวเข้มที่นั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเขา ซึ่งไม่ได้พูดอะไรเลยตั้งแต่พวกเขาเข้ามา นอกจากนั่งเงียบๆ สีหน้ายากอ่านความรู้สึก เอกราชไม่มั่นใจว่าสุทัศน์อยากเข้าร่วมวงสนทนาด้วยรึเปล่า

    ในวินาทีนั้น เขาพลันแวบนึกบางอย่างขึ้นมาได้ ชายหนุ่มกวาดสายตามองผู้เข้าแข่งขันแต่ละคนซึ่งกำลังนั่งอยู่รอบๆ โต๊ะยาว สุตาภากับวิลาวัลย์นั่งถัดไปจากแฟริคซึ่งกำลังเอนหลังด้วยความอ่อนล้า ด้านซ้ายมีเขามีคู่พ่อลูกซึ่งไม่ลงรอยกันนัก และคนสุดท้ายคือสุทัศน์ เอกราชนับทวนอีกครั้ง ผลยังปรากฏเช่นเดิม  

    “กิตติหายไปไหน!”
          
  
    
เสียงฝีเท้าค่อยๆ ดังใกล้เข้ามา ทำให้ร่างที่นั่งอยู่ในเงามืด ละสายตาจากจอมิเตอร์ที่กำลังฉายภาพภายในห้องรับรอง ก่อนหมุนเก้าอี้ไปทางร่างผอมเกร็งของชายชราที่เพิ่งเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าประตู ร่างที่นั่งอยู่นั้นยกมุมปากขึ้นน้อยๆ อย่างอารมณ์ดี หากแสงจ้าจากมอนิเตอร์ส่องทาบให้ร่างนั้นเป็นแค่เงาดำทึบ ชายชราไม่อาจเห็นแววตาอันเริงโรจน์อย่างมีชัย แต่มันก็ไม่สำคัญนัก เพราะรู้ดีว่าร่างที่นั่งอยู่ตรงหน้านั้นจะมีปฏิกิริยาเช่นไร
    
“ทุกอย่างเรียบร้อยใช่ไหม” เสียงนั้นฟังดูผ่อนคลาย หากน่าเกรงขามทุกครั้งที่ได้ยิน “ตรวจดูในป่าแล้วหรือยัง?”
    
“ครับ ทุกอย่างเป็นไปตามแผน เจอหนูแล้วหนึ่งตัว”

    “เยี่ยม...เกมส์เริ่มสนุกขึ้นเรื่อยๆ” ร่างนั้นหัวเราะเย็นยะเยือกก่อนพูดต่อ “ดำเนินการขั้นต่อไปได้ ให้หนูมันวิ่งหลงเขามาในเขาวงกตลึกๆ จนหาทางออกไม่เจอ แล้วเราก็ปิดตายทางออกซะ...ตู้ม...ไม่นาน หนูผู้น่าสงสารพวกนั้นก็จะขลาดกลัว และหิวโซ เมื่อถึงเวลา ฉัน และแกจะเป็นผู้หยิบยื่นทางรอดให้หนูพวกนั้น แน่นอนว่าพวกมันย่อมไม่มีทางปฏิเสธสิ่งที่เราวางไว้ให้ มันจะต้องแย่งชิง เข่นฆ่ากันเอง ทำยังก็ได้ให้หนูแต่ละตัวยอมฆ่ากันเพื่อให้มันอยู่รอด”

    “แล้วถ้า...คืนพรุ่งนี้ เกิดมีใครไม่ยอมล่ะ”
    
“บอกให้พวกที่อยู่ในป่าเตรียมพร้อมไว้” เสียงนั้นกระโชกขึ้นจนผู้ฟังสะดุ้งน้อยๆ “อย่าให้พวกมันคนไหนออกไปจากคฤหาสน์ได้ นอกจากจะออกไปโดยกลายเป็นศพ ฉันเฝ้ารอโอกาสนี้มานาน อย่าให้มันพังเพราะความสะเพร่าของแก...จำเอาไว้ ใครจะตายก่อนก็ได้ ยกเว้นคนคนนั้น...ไปทำงานต่อได้”
    
“ครับ” ชายชรารับคำแล้วก้าวออกไป
    
ร่างบนเก้าอี้บุนวมหันไปสนใจยังจอมอนิเตอร์อีกครั้ง เพ่งพินิจหนูทั้งเจ็ดตัวอย่างผ่อนคลาย เพียงแค่กำมือบีบแรงๆ พวกมันก็ตาย หากนั่นมันง่ายไป กับสิ่งที่พวกมันควรจะได้รับ ให้สาสมกับที่เฝ้ารอคอยมานานแสนนาน ‘เกมส์สั่งตาย’ ครั้งนี้จะทำให้พวกมันจำไปจนวันตายที่รออยู่อีกแค่ไม่กี่อึดใจ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่