บทที่ 1
“รากฐานที่เกิดจากความเชื่อ”
ตามธรรมชาติแล้ว ทุกอารยธรรมบนโลก
ล้วนเริ่มต้นจาก “ความเชื่อ” ทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเป็นยุโรป ญี่ปุ่น จีน หรือเกาหลีล้วนเคยมีเทพเจ้า เรื่องเหนือธรรมชาติ และพิธีกรรม เป็นศูนย์กลางของการจัดระเบียบสังคมมาก่อน
โครงสร้างการพัฒนาโดยทั่วไปของอารยธรรมจึงมักเป็น
ความเชื่อ → ประเพณี → วัฒนธรรม → ระบอบการปกครอง → ระบบชนชั้น → สังคมในปัจจุบัน
ประเทศที่พัฒนาแล้วในปัจจุบัน อย่างเช่น ญี่ปุ่น อังกฤษ หรือชาติตะวันตก ต่างก็เคยผ่านกระบวนการนี้มาเช่นเดียวกับไทย
ดังนั้น การกล่าวว่า
“ประเทศไทยไม่พัฒนาเพราะยังมีความเชื่อ”
จึงเป็นคำอธิบายที่ กว้างและไม่แม่นพอ
เพราะปัญหาของไทยไม่ได้อยู่ที่ ‘ความเชื่อ’ โดยตรง
แต่อยู่ที่ “ผลผลิตที่เกิดขึ้นจากความเชื่อ”
ซึ่งก็คือ “วัฒนธรรม”
ความเชื่อที่แตกต่าง = วัฒนธรรมที่แตกต่าง
แม้อารยธรรมต่าง ๆ จะเริ่มต้นคล้ายๆกันแต่ “รายละเอียดของความเชื่อ” ได้สร้างวัฒนธรรมและโครงสร้างสังคมที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง
---
โดยวัฒนธรรมของไทยที่ได้กลายมาเป็นรากปัญหาของสังคมในปัจจุบันก็คือ “ระบบบุญ-บารมี”
---
ระบบ บุญ-บารมี คืออะไร?
บุญ-บารมี คือ “Passive Skill” ที่เกิดจากพื้นฐานความเชื่อของสังคมไทยในอดีตตั้งแต่ก่อนการก่อตั้งรัฐแบบสยามอย่างเป็นทางการ
ระบบบุญบารมี ไม่ใช่กฎหมาย,ไม่ใช่คำสั่งและไม่ต้องมีใครประกาศใช้อย่างเป็นทางการ
แต่บารมีทำงานในลักษณะของ “แรงโน้มถ่วงทางสังคม”
เป็นแรงที่ทำให้คนไทยรับรู้ลำดับชั้นของตนเองโดยอัตโนมัติโดยไม่จำเป็นต้องมีใครมาบอกว่า “คุณควรอยู่ตรงไหน”
เมื่อระบบบารมีแผ่ครอบคลุมทุกระดับชั้นของสังคมจึงเกิดสภาพที่ ชนชั้นผู้น้อยเกรงใจชนชั้นผู้ใหญ่,ผู้มีอำนาจและผู้ที่ถูกมองว่ามีบารมีสูงกว่า
ไม่ใช่เพราะกลัวโทษทางกฎหมาย แต่เพราะกลัวการ “ก้าวล่วง” ต่ออำนาจที่ถูกมองว่าสูงกว่าในเชิงศักดิ์สิทธิ์
---
บุญ-บารมี ≠ อำนาจ
แต่คือ “ตัวล็อคอำนาจ”
บุญ-บารมี ไม่ได้บอกว่าใครทำอะไรได้หรือไม่ได้โดยตรง แต่ทำหน้าที่เป็น ตัวล็อคตำแหน่งทางสังคม
ใครอยู่ชั้นไหน
ควรพูดแค่ไหน
ควรคิดแค่ไหน
ควรรับผิดชอบเรื่องใด
ทั้งหมดนี้ถูกกำหนดโดยไม่ต้องมีใครออกคำสั่ง
ผลลัพธ์คือ
ระบบชนชั้นในสังคมไทยไม่เพียงแต่กำหนด “บทบาทหน้าที่” แต่ยัง ล็อคความรับผิดชอบและอำนาจการตัดสินใจไว้ตามลำดับชั้นไปพร้อมกัน
ตัวอย่างเปรียบเทียบ
ท่อระบายอุดตันภายในตลาดที่ควรจะเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของสังคม แต่ สังคมจะรอให้ รัฐบาลมาแก้-รับผิดชอบ เพราะสังคมมองว่า ไม่ใช่หน้าที่-ความรับผิดชอบของตน
หรือ การที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงชื่นชอบในการทำงานร่วมกับประชาชน แต่ก็มักจะถูกชนชั้นบารมีที่ต่ำกว่าเข้ามาแย่งงานกันไปทำ,ปกปิดปัญหาที่เกิดขึ้นจริงเพื่อไม่ให้พระองค์ทรงงานหนัก เพราะมองว่าระดับบารมีของพระองค์อยู่สูงเกินไป จนไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงจริง
และนี่คือ “รากฐานสำคัญ”ที่โครงสร้างสังคมไทยในบทต่อ ๆ ไป จะถูกสร้างขึ้นมาทับซ้อนอีกหลายชั้น
รากสังคมไทยบทที่1::รากฐานที่เกิดจากความเชื่อ
“รากฐานที่เกิดจากความเชื่อ”
ตามธรรมชาติแล้ว ทุกอารยธรรมบนโลก
ล้วนเริ่มต้นจาก “ความเชื่อ” ทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเป็นยุโรป ญี่ปุ่น จีน หรือเกาหลีล้วนเคยมีเทพเจ้า เรื่องเหนือธรรมชาติ และพิธีกรรม เป็นศูนย์กลางของการจัดระเบียบสังคมมาก่อน
โครงสร้างการพัฒนาโดยทั่วไปของอารยธรรมจึงมักเป็น
ความเชื่อ → ประเพณี → วัฒนธรรม → ระบอบการปกครอง → ระบบชนชั้น → สังคมในปัจจุบัน
ประเทศที่พัฒนาแล้วในปัจจุบัน อย่างเช่น ญี่ปุ่น อังกฤษ หรือชาติตะวันตก ต่างก็เคยผ่านกระบวนการนี้มาเช่นเดียวกับไทย
ดังนั้น การกล่าวว่า
“ประเทศไทยไม่พัฒนาเพราะยังมีความเชื่อ”
จึงเป็นคำอธิบายที่ กว้างและไม่แม่นพอ
เพราะปัญหาของไทยไม่ได้อยู่ที่ ‘ความเชื่อ’ โดยตรง
แต่อยู่ที่ “ผลผลิตที่เกิดขึ้นจากความเชื่อ”
ซึ่งก็คือ “วัฒนธรรม”
ความเชื่อที่แตกต่าง = วัฒนธรรมที่แตกต่าง
แม้อารยธรรมต่าง ๆ จะเริ่มต้นคล้ายๆกันแต่ “รายละเอียดของความเชื่อ” ได้สร้างวัฒนธรรมและโครงสร้างสังคมที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง
---
โดยวัฒนธรรมของไทยที่ได้กลายมาเป็นรากปัญหาของสังคมในปัจจุบันก็คือ “ระบบบุญ-บารมี”
---
ระบบ บุญ-บารมี คืออะไร?
บุญ-บารมี คือ “Passive Skill” ที่เกิดจากพื้นฐานความเชื่อของสังคมไทยในอดีตตั้งแต่ก่อนการก่อตั้งรัฐแบบสยามอย่างเป็นทางการ
ระบบบุญบารมี ไม่ใช่กฎหมาย,ไม่ใช่คำสั่งและไม่ต้องมีใครประกาศใช้อย่างเป็นทางการ
แต่บารมีทำงานในลักษณะของ “แรงโน้มถ่วงทางสังคม”
เป็นแรงที่ทำให้คนไทยรับรู้ลำดับชั้นของตนเองโดยอัตโนมัติโดยไม่จำเป็นต้องมีใครมาบอกว่า “คุณควรอยู่ตรงไหน”
เมื่อระบบบารมีแผ่ครอบคลุมทุกระดับชั้นของสังคมจึงเกิดสภาพที่ ชนชั้นผู้น้อยเกรงใจชนชั้นผู้ใหญ่,ผู้มีอำนาจและผู้ที่ถูกมองว่ามีบารมีสูงกว่า
ไม่ใช่เพราะกลัวโทษทางกฎหมาย แต่เพราะกลัวการ “ก้าวล่วง” ต่ออำนาจที่ถูกมองว่าสูงกว่าในเชิงศักดิ์สิทธิ์
---
บุญ-บารมี ≠ อำนาจ
แต่คือ “ตัวล็อคอำนาจ”
บุญ-บารมี ไม่ได้บอกว่าใครทำอะไรได้หรือไม่ได้โดยตรง แต่ทำหน้าที่เป็น ตัวล็อคตำแหน่งทางสังคม
ใครอยู่ชั้นไหน
ควรพูดแค่ไหน
ควรคิดแค่ไหน
ควรรับผิดชอบเรื่องใด
ทั้งหมดนี้ถูกกำหนดโดยไม่ต้องมีใครออกคำสั่ง
ผลลัพธ์คือ
ระบบชนชั้นในสังคมไทยไม่เพียงแต่กำหนด “บทบาทหน้าที่” แต่ยัง ล็อคความรับผิดชอบและอำนาจการตัดสินใจไว้ตามลำดับชั้นไปพร้อมกัน
ตัวอย่างเปรียบเทียบ
ท่อระบายอุดตันภายในตลาดที่ควรจะเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของสังคม แต่ สังคมจะรอให้ รัฐบาลมาแก้-รับผิดชอบ เพราะสังคมมองว่า ไม่ใช่หน้าที่-ความรับผิดชอบของตน
หรือ การที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงชื่นชอบในการทำงานร่วมกับประชาชน แต่ก็มักจะถูกชนชั้นบารมีที่ต่ำกว่าเข้ามาแย่งงานกันไปทำ,ปกปิดปัญหาที่เกิดขึ้นจริงเพื่อไม่ให้พระองค์ทรงงานหนัก เพราะมองว่าระดับบารมีของพระองค์อยู่สูงเกินไป จนไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงจริง
และนี่คือ “รากฐานสำคัญ”ที่โครงสร้างสังคมไทยในบทต่อ ๆ ไป จะถูกสร้างขึ้นมาทับซ้อนอีกหลายชั้น