Taiwan 1st time
Day 1/5
สวัสดีครับ เพื่อนๆ ชาวพันทิปทุกท่าน กระทู้ซีรีส์ Taiwan 1st time นี้ ผมจะแบ่งออกเป็น 5 part เป็นวันต่อวันตามที่ผมได้เดินทางไปเที่ยวเลยนะครับ และผมขออนุญาตเขียนอธิบายตามอารมณ์ความรู้สึกของผม ณ เวลาที่ได้สัมผัสตอนนั้นเลยก็แล้วกันนะครับ
เมื่อช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ผมและภรรยาตัดสินใจเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศด้วยกันครั้งแรกหลังจากแต่งงานกันมาได้เป็นเวลา 3 ปี
หลังจากที่เราใช้เวลาในการเลือกซักพักว่าจะไปที่ไหนดี เราจึงตกลงปลงใจว่าเราจะไป “ไต้หวัน” กัน เนื่องจากการอ่านรีวิวจากหลาย ๆ ที่ พบว่าไต้หวันเป็นสถานที่ที่เที่ยวง่าย โดยเฉพาะที่กรุงไทเป แค่นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสามารถเดินทางได้ทั่วแล้ว แถมค่าเงิน และสภาพอากาศก็ไม่แตกต่างจากไทยเท่าไรนัก เพราะคุณผู้หญิงของผมค่อนข้างจะขี้หนาว เหมาะกับนักทองเที่ยวมือใหม่ เราจึงปักหมุดหมายว่า จะไปไต้หวันกัน
เราเริ่มจากการจองตั๋วเครื่องบิน จองที่พัก วางแพลนเที่ยวกันก่อนเดินทางประมาณ 2 เดือน แบบหลวมๆ โดยได้เลือกช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน ปลายฝนต้นหนาว โดยเราตั้งใจกันไว้ว่าทริปนี้จะเป็นทริป "ตะลุยแด๊กซ์" เน้นของกินเป็นหลัก เราจึงเลือกจองที่พักแบบราคาย่อมเยา เอาไว้เก็บของและนอนเท่านั้น เราทั้งคู่ใจจดใจจ่อเป็นอย่างมาก จนวันเดินทางก็มาถึง
เราทั้งคู่เดินทางมาถึงสนามบินดอนเมืองเวลา ตี 4 แต่มาถึงเร็วก็ยังโหลดกระเป๋าไม่ได้อยู่ดี เนื่องจากสายการบินของเรานั้นออกเวลา 07.45 น. ต้องรอถึงเวลา 05.45 น. หรือก่อนเครื่องออก 2 ชั่วโมง จึงจะโหลดกระเป๋าได้
กระเป๋าเดินทางของเรา จัดที่หุ้มเป็นลายชินจังสุดแสนน่ารัก เวลาอยู่บนสายพานจะได้สะดุดตา และไม่มีใครหยิบผิดแน่นอน
ถึงเวลาโหลดกระเป๋าผ่านฉลุย ไม่มีสิ่งแปลกปลอมและสิ่งผิดกฎหมาย นั่งรอเครื่องขึ้น เวลา 7.45 น. แต่เมื่อขึ้นเครื่องไปแล้ว กัปตันประกาศเสียงตามสายว่า วันนี้การจราจรทางอากาศค่อนข้างติดขัด จึงขออนุญาตออกช้านิดหน่อย เครื่องดีเลย์ถึงประมาณ 08.00 น. กัปตันจึงเริ่มทะยานนกยักษ์ขึ้นสู่น่านฟ้า จุดหมายปลายทางคือสาธารณรัฐจีน หรือที่ทุกคนรู้จักกันในนาม "ไต้หวัน"
ใจตัวเราคิดว่า อยากจะนอนหลับยาว 4 ชั่วโมงรวด เพราะเมื่อคืนเราไม่ได้นอนหลับมาเลย ให้คุณผู้หญิงนอน และเราเข้าเวรยามให้ เนื่องจากเกรงจะตื่นสายและตกเครื่อง แต่เพียงหลับตาไปชั่วครู่ยามเท่านั้น เพราะพี่ชาวต่างชาติจากเอเชียใต้ ที่สถิตอยู่ข้างกายผม ขยับตัวยุกยิกๆ ควบคู่กับขยับแบบกะทันหันแทบจะทุก 15 นาที ทำให้เก้าอี้สั่นแทบจะตลอดทาง รวมไปถึงพี่ดูท่าทางจะเจ็บไข้ได้ป่วย นั่งไอและจามตลอดทั้งทาง โอเค ถ้าพี่จะไม่อนุญาตให้ผมหลับตลอดทางแบบนี้ ผมอยู่เป็นเพื่อนพี่ก็ได้
เห็นแผ่นดินไต้หวันแล้ว ตื่นเต้นมาก ๆ
นกเหล็กยักษ์แตะแผ่นดินไต้หวัน ณ สนามบินเถาหยวน เวลาประมาณเที่ยงครึ่ง โบกมือลานกยักษ์ เดินต๊อกๆ ไปรอคิวตรวจคนเข้าเมืองอีกเกือบ 50 นาที เนื่องด้วยประชาชนหลั่งไหลมาอย่างมหาศาล ซึ่งจากที่สังเกตด้วยตาเนื้อเร็วๆ ประมาณ 70% น่าจะเป็นคนไทย ซึ่ง ตม. ที่นี่ผ่านเข้าได้ง่ายมาก ไม่ได้ถามอะไรเลย แค่ยื่นพาสปอร์ต สแกนนิ้ว ดูหน้าว่าตรงมั้ย และไม่ทำตัวเกเร เราก็ผ่านฉลุย
เดินออกมารับกระเป๋า ซื้อซิมการ์ดตรงจุดที่รับกระเป๋าเลย เป็นเครือข่ายของ Chunghwa ที่เค้าว่าเป็นเครือข่ายชื่อดังของที่นี่ เลือกแบบเน็ต unlimited 4G สนนราคา 300 NT เพราะเราไม่ได้คิดจะใช้โทรศัพท์อยู่แล้ว ถ้ามีอะไรใช้ไลน์หรือโทรไลน์เอา และแล้วเราก็พร้อมเดินทางเข้าสู่ใจกลางกรุงไทเป โดยการนั่งรถไฟฟ้า MRT มุ่งสู่ Taipei main station โดยนั่งรถสาย Express คันสีม่วง ใช้เวลาประมาณ 40 นาที ซึ่ง Taipei main station ถือเป็นชุมทางเสียงทองหลักของเครือข่ายรถไฟฟ้า รถไฟ และรถเมล์ต่าง ๆ จะมารวมกันอยู่ที่นี่
ซื้อเหรียญแบบเที่ยวเดียวก่อน เดี๋ยวจะไปหาซื้อ Easy card ลายสวย ๆ ที่เซเว่นในเมืองกัน
ถึงที่หมาย ณ Taipei main station เป็นเวลาบ่ายสามโมง ถึงเวลาเช็คอินพอดิบพอดี ที่พำนักของเราที่จองเอาไว้คือ Re - change Hotel สนนราคาคืนละ 1200 NT อยู่ไม่ไกลจาก Taipei main station มากนัก สถานที่ตั้งเป็นตึกแถวประมาณ 3 คูหา มีทั้งหมด 8 ชั้น โดยแต่ละชั้นจะมีโรงแรมต่าง ๆ มาเช่าทำเป็นที่พัก ซึ่งที่ของเราอยู่ชั้น 2 สภาพของห้องก็ตามราคา ค่อนข้างมีขนาดเล็ก แต่ส่วนตัวเราคิดว่าสภาพยังโอเคกว่าโรงแรมในไทยหลาย ๆ ที่ เราเก็บกระเป๋า ล้างหน้าล้างตา และเตรียมพร้อมออกไปเดินเล่นกัน
แผนของเราในวันนี้คือ จะไปซื้อของจำเป็นของคุณผู้หญิง ไปวัดหลงซาน และมาเดินเล่นย่านซีเหมินติง และจบที่ไปหาร้านปิ้งย่างกินกัน แต่ก่อนอื่น ไปสำรวจและหาของกินรองท้องก่อน ที่ 7 - Eleven ใต้ที่พักของเรา เราได้ลองข้าวห่อของไต้หวัน หรือที่เรียกกันว่า "ฟ่านถวน" รสชาติค่อนข้างจืดๆ มันๆ รู้สึกไม่จัดจ้านเท่าพวกข้าวปั้นหรือคิมบับของเซเว่นไทย หลังจากอิ่มท้องแล้ว เราจึงเดินไปที่ร้าน POYA ที่มีรีวิวแนะนำมา ซึ่งร้านนี้เป็นฟีลคล้ายๆกับร้านวัตสัน หรือร้าน Boots ในเวอร์ชั่นที่ใหญ่โตกว่า ราคาของก็ไม่ได้ต่างจากของไทยมากนัก แต่เครื่องหนีบผมที่เราไปซื้อมา ราคาค่อนข้างถูกกว่าที่ไทย และหาไม่ได้ในแอปส้ม
บ้านเมืองของไต้หวัน ดูสะอาดตามาก ๆ
ดูสไตล์มีความเป็นญี่ปุ่นผสมกับจีน
ต่อมาปักหมุดไปที่เซเว่นอีกสาขา เป็นสาขาของ Sanrio ตั้งอยู่ใกล้ ๆ ย่าน Ximen เนื่องจากเรากำลังฟิตมากๆ และอยากเห็นบ้านเมืองในกรุงไทเป จึงใช้กำลังขาในการหอบหิ้วร่างไปเป็นระยะทางร่วมกิโลกว่าๆ และเราก็ได้จับจอง Easy card ลายน่ารัก ๆ มา ซึ่งตอนนี้ฟ้าค่อนข้างมืดแล้ว เราจึงปักหมุดต่อไปยังวัดหลงซาน วัดชื่อดังของที่นี่ โดยการเดินไปสถานี MRT Ximen ไปยังสถานี Longshan Temple
Easy card ลายการ์ตูนน่ารักมาก
วัดที่นี่มีวัฒนธรรมที่เราไม่เคยเห็น คือบริเวณหน้าทางเข้าวัด จะมีพระและแม่ชี 6-7 รูป นั่งเรียงรายกันหันหน้าเข้าฟุตบาธ และวางกล่องใส่เงินไว้อารมณ์เหมือนตู้บริจาคตามวัดบ้านเรา แต่พอมีคนมานั่งเรียงรายแบบนี้ ก็อดคิดไปในเชิงลบไม่ได้ แต่ก็เข้าใจว่าคงเป็นวัฒนธรรมของบ้านเมืองเค้า เราเดินเข้าไปสักการะพระพุทธเจ้า 3 องค์ (ซำปอฮุก) / ไหว้เทวดาฟ้าดิน / เจ้าแม่กวนอิม ด้านความสุข / เทพเจ้ากวนอู ด้านการงาน/ เจ้าแม่มาจู่ ด้านการเดินทาง และบรมครูฮั่วท้อ ด้านสุขภาพ ก่อนกลับแวะเช่าเครื่องรางที่มีให้เช่าบริเวณประตูทางออกวัด ให้แก่ตนเองและเพื่อนพ้องน้องพี่ ให้ได้รับอานิสงส์ร่วมกัน
วัดหลงซานยามค่ำคืน คนก็ยังเดินทางมาสักการะกันไม่ขาดสาย
หลังจากมูเตลูกันเรียบร้อย จึงจับรถ MRT กลับไปสถานี Ximen ไปเดินเล่นย่านซีเหมินติง ย่านนี้ถ้าเปรียบกับไทยก็เหมือนโซนสยามสแควร์ แต่เป็นสยามสแควร์ที่ดู local กว่า มีร้านรวงขายของเต็มไปหมด ทั้งเสื้อผ้า ของที่ระลึก ตู้คีบตุ๊กตา และรถเข็นสตรีทฟู้ด หรืออย่างวันนี้ ก็เห็นวัยรุ่นมาเต้น cover อยู่หลายกลุ่มเลย เป็นพื้นที่ของวัยรุ่น ทีเราในวัย 30 กลางๆเห็นแล้วก็สนุกดี วันนี้อากาศเย็นสบาย ประมาณ 26 - 27 องศา ใส่เสื้อแขนสั้นเดินได้ เราแวะซื้อขนมโมจิคลุกถั่วผง ๆ รสชาติหวานบางๆ ตัดกับถั่วมัน ๆ อร่อยดี
โมจิคลุกถั่วบดละเอียด อร่อยดี
ระหว่างที่เรายืนซื้อโมจิอยู่นั้น กลิ่นเหม็นประหลาดก็โชยมาเตะจมูก ซึ่งยังไม่ต้องบอกหรือยังไม่เคยได้กลิ่น เราก็เดาได้เลยว่ามันคือเต้าหู้เหม็นแน่นอน เต้าหู้เหม็น หรือ Stinky Tofu เป็นของกินอีกหนึ่งอย่างที่เราอยากลองกินมาก เราจึงจัดมาหนึ่งเซ็ต วิธีการกินคือ เขาจะนำเต้าหู้ไปทอด เมื่อสุกได้ที่จะนำมาตัดเป็นชิ้น ๆ ราดน้ำราดใส่พริก ใส่กระเทียม และโปะหน้าด้วยกะหล่ำฝอยดอง พอได้เอาเข้าปากคำแรก คือรักเลย กลิ่นเหม็นเมื่อกี้หายไปหมดแล้ว น้ำจิ้มพริกค่อนข้างเผ็ดๆ ผสมกับความเค็มหวานที่พอดีมาก ตัดกับผักดองเปรี้ยว ๆ ที่เข้ากันสุด ๆ เป็นอาหารที่ไม่คิดว่าจะชอบขนาดนี้
ร้านเต้าหู้เหม็น สไตล์รถเข็นเล็ก ๆ แต่รสชาติอร่อยเกินคาด
เราเดินไปเยี่ยมเยือนร้าน Pop mart ร้านฟิกเกอร์ชื่อดัง ที่ต้องมีทั่วโลก ตั้งอยู่ใจกลางซีเหมินติงเลย มีทั้งหมด 4 ชั้น ชั้นแรกขายฟิกเกอร์ชื่อดัง พวก Dimoo / Labubu ชั้นสองเป็นฟิกเกอร์คาแรกเตอร์ทั่ว ๆ ไป เช่น ฮีโร่ DC / ตัวละครซีรีส์ต่าง ๆ / ตัวการ์ตูน Disney และ Sanrio ชั้นสามเป็นโซนจัดแสดงคาแรกเตอร์ Molly ที่แต่งตัวเป็นชุดต่าง ๆ และชั้นสุดท้าย จัดสรรไว้เป็นโซนแสดง Exhibition โดยช่วงที่เราไปยังเป็นช่วงของวันฮาโลวีนอยู่ จึงเป็นธีมของผีขี้เหงาน่ารักๆ
ร้าน Pop mart ชั้นบนสุด เป็นธีมวันฮาโลวีน ผีขี้เหงา
ท้องเริ่มร้องแล้ว วันนี้แผนของเราจะไปกินปิ้งย่างร้าน Cha Cha เห็นว่าเป็นแบบ A la carte เลยไปกัน จะได้กินแบบสบายๆ ไม่มีคิว สามารถ walk in เข้าไปได้เลย แต่เราเพิ่งรู้ว่า ที่เป็น A la carte นั้นคือเฉพาะเนื้อต่าง ๆ ต้องสั่งอย่างน้อยคนละ 1 เซ็ต ส่วนอื่น ๆ เป็นบุฟเฟ่ต์ทั้งหมด มีทั้งโซนสลัด / ข้าวหมูตุ๋นหอมใหญ่ / ข้าวแกงกะหรี่ / ซุปมิโสะ / ของหวาน และทีเด็ดคือ แอลกอฮอลล์บุฟเฟ่ต์ด้วย มีทั้งเบียร์ไต้หวัน โซจูรสต่าง ๆ และแบบ sparkling ด้วย เรารับประทานกันอิ่มหนำสำราญแล้ว จึงเดินทางกลับที่พัก
เซ็ตหมู เพราะคุณผู้หญิงไม่ทานเนื้อ
โซนข้าวแกงกะหรี่ และหมูผัดซีอิ๊วหัวหอม ตักได้ไม่อั้น
โซนสลัดบาร์สไตล์ญี่ปุ่นและเกาหลี
สำหรับสายดื่ม มีให้เลือกหลากหลายแบบไม่อั้นเช่นกัน
ก่อนเข้าที่พัก บังเอิญเจอ Apple Tonic ของคุณ GIN สมาชิกจากคณะ BTS ที่คุณผู้หญิงเป็นแม่ยกอยู่ เป็น Tonic ที่เขาทำแบรนด์เอง หาซื้อที่ไทยไม่ได้ต้องพรีออเดอร์เข้ามาเท่านั้น แต่สามารถหาซื้อในเซเว่นไต้หวันได้ง่าย ๆ ส่งผลให้คุณผู้หญิงสุขใจเป็นอย่างยิ่ง
ของดีประจำสถานี MRT Ximen สนนราคาโคนละ 100 กว่า NT แต่รสชาติคืออร่อยสุด อร่อยยันโคน
ผลประกอบการ จบวันแรกไปแบบเพลียร่างมาก เพราะเราไม่ได้นอนมาเกือบ 2 คืนเต็ม ๆ หลับสบาย เติมพลังไปวันที่สองกันต่อ พรุ่งนี้เรามีแพลนจะออกไปเที่ยวนอกเมืองชายทะเลกันต่อ
To be continued...
Taiwan 1st time [Day 1/5]
หลังจากที่เราใช้เวลาในการเลือกซักพักว่าจะไปที่ไหนดี เราจึงตกลงปลงใจว่าเราจะไป “ไต้หวัน” กัน เนื่องจากการอ่านรีวิวจากหลาย ๆ ที่ พบว่าไต้หวันเป็นสถานที่ที่เที่ยวง่าย โดยเฉพาะที่กรุงไทเป แค่นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสามารถเดินทางได้ทั่วแล้ว แถมค่าเงิน และสภาพอากาศก็ไม่แตกต่างจากไทยเท่าไรนัก เพราะคุณผู้หญิงของผมค่อนข้างจะขี้หนาว เหมาะกับนักทองเที่ยวมือใหม่ เราจึงปักหมุดหมายว่า จะไปไต้หวันกัน
เราเริ่มจากการจองตั๋วเครื่องบิน จองที่พัก วางแพลนเที่ยวกันก่อนเดินทางประมาณ 2 เดือน แบบหลวมๆ โดยได้เลือกช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน ปลายฝนต้นหนาว โดยเราตั้งใจกันไว้ว่าทริปนี้จะเป็นทริป "ตะลุยแด๊กซ์" เน้นของกินเป็นหลัก เราจึงเลือกจองที่พักแบบราคาย่อมเยา เอาไว้เก็บของและนอนเท่านั้น เราทั้งคู่ใจจดใจจ่อเป็นอย่างมาก จนวันเดินทางก็มาถึง
เราทั้งคู่เดินทางมาถึงสนามบินดอนเมืองเวลา ตี 4 แต่มาถึงเร็วก็ยังโหลดกระเป๋าไม่ได้อยู่ดี เนื่องจากสายการบินของเรานั้นออกเวลา 07.45 น. ต้องรอถึงเวลา 05.45 น. หรือก่อนเครื่องออก 2 ชั่วโมง จึงจะโหลดกระเป๋าได้
กระเป๋าเดินทางของเรา จัดที่หุ้มเป็นลายชินจังสุดแสนน่ารัก เวลาอยู่บนสายพานจะได้สะดุดตา และไม่มีใครหยิบผิดแน่นอน
ถึงเวลาโหลดกระเป๋าผ่านฉลุย ไม่มีสิ่งแปลกปลอมและสิ่งผิดกฎหมาย นั่งรอเครื่องขึ้น เวลา 7.45 น. แต่เมื่อขึ้นเครื่องไปแล้ว กัปตันประกาศเสียงตามสายว่า วันนี้การจราจรทางอากาศค่อนข้างติดขัด จึงขออนุญาตออกช้านิดหน่อย เครื่องดีเลย์ถึงประมาณ 08.00 น. กัปตันจึงเริ่มทะยานนกยักษ์ขึ้นสู่น่านฟ้า จุดหมายปลายทางคือสาธารณรัฐจีน หรือที่ทุกคนรู้จักกันในนาม "ไต้หวัน"
ใจตัวเราคิดว่า อยากจะนอนหลับยาว 4 ชั่วโมงรวด เพราะเมื่อคืนเราไม่ได้นอนหลับมาเลย ให้คุณผู้หญิงนอน และเราเข้าเวรยามให้ เนื่องจากเกรงจะตื่นสายและตกเครื่อง แต่เพียงหลับตาไปชั่วครู่ยามเท่านั้น เพราะพี่ชาวต่างชาติจากเอเชียใต้ ที่สถิตอยู่ข้างกายผม ขยับตัวยุกยิกๆ ควบคู่กับขยับแบบกะทันหันแทบจะทุก 15 นาที ทำให้เก้าอี้สั่นแทบจะตลอดทาง รวมไปถึงพี่ดูท่าทางจะเจ็บไข้ได้ป่วย นั่งไอและจามตลอดทั้งทาง โอเค ถ้าพี่จะไม่อนุญาตให้ผมหลับตลอดทางแบบนี้ ผมอยู่เป็นเพื่อนพี่ก็ได้
เห็นแผ่นดินไต้หวันแล้ว ตื่นเต้นมาก ๆ
นกเหล็กยักษ์แตะแผ่นดินไต้หวัน ณ สนามบินเถาหยวน เวลาประมาณเที่ยงครึ่ง โบกมือลานกยักษ์ เดินต๊อกๆ ไปรอคิวตรวจคนเข้าเมืองอีกเกือบ 50 นาที เนื่องด้วยประชาชนหลั่งไหลมาอย่างมหาศาล ซึ่งจากที่สังเกตด้วยตาเนื้อเร็วๆ ประมาณ 70% น่าจะเป็นคนไทย ซึ่ง ตม. ที่นี่ผ่านเข้าได้ง่ายมาก ไม่ได้ถามอะไรเลย แค่ยื่นพาสปอร์ต สแกนนิ้ว ดูหน้าว่าตรงมั้ย และไม่ทำตัวเกเร เราก็ผ่านฉลุย
เดินออกมารับกระเป๋า ซื้อซิมการ์ดตรงจุดที่รับกระเป๋าเลย เป็นเครือข่ายของ Chunghwa ที่เค้าว่าเป็นเครือข่ายชื่อดังของที่นี่ เลือกแบบเน็ต unlimited 4G สนนราคา 300 NT เพราะเราไม่ได้คิดจะใช้โทรศัพท์อยู่แล้ว ถ้ามีอะไรใช้ไลน์หรือโทรไลน์เอา และแล้วเราก็พร้อมเดินทางเข้าสู่ใจกลางกรุงไทเป โดยการนั่งรถไฟฟ้า MRT มุ่งสู่ Taipei main station โดยนั่งรถสาย Express คันสีม่วง ใช้เวลาประมาณ 40 นาที ซึ่ง Taipei main station ถือเป็นชุมทางเสียงทองหลักของเครือข่ายรถไฟฟ้า รถไฟ และรถเมล์ต่าง ๆ จะมารวมกันอยู่ที่นี่
ซื้อเหรียญแบบเที่ยวเดียวก่อน เดี๋ยวจะไปหาซื้อ Easy card ลายสวย ๆ ที่เซเว่นในเมืองกัน
ถึงที่หมาย ณ Taipei main station เป็นเวลาบ่ายสามโมง ถึงเวลาเช็คอินพอดิบพอดี ที่พำนักของเราที่จองเอาไว้คือ Re - change Hotel สนนราคาคืนละ 1200 NT อยู่ไม่ไกลจาก Taipei main station มากนัก สถานที่ตั้งเป็นตึกแถวประมาณ 3 คูหา มีทั้งหมด 8 ชั้น โดยแต่ละชั้นจะมีโรงแรมต่าง ๆ มาเช่าทำเป็นที่พัก ซึ่งที่ของเราอยู่ชั้น 2 สภาพของห้องก็ตามราคา ค่อนข้างมีขนาดเล็ก แต่ส่วนตัวเราคิดว่าสภาพยังโอเคกว่าโรงแรมในไทยหลาย ๆ ที่ เราเก็บกระเป๋า ล้างหน้าล้างตา และเตรียมพร้อมออกไปเดินเล่นกัน
แผนของเราในวันนี้คือ จะไปซื้อของจำเป็นของคุณผู้หญิง ไปวัดหลงซาน และมาเดินเล่นย่านซีเหมินติง และจบที่ไปหาร้านปิ้งย่างกินกัน แต่ก่อนอื่น ไปสำรวจและหาของกินรองท้องก่อน ที่ 7 - Eleven ใต้ที่พักของเรา เราได้ลองข้าวห่อของไต้หวัน หรือที่เรียกกันว่า "ฟ่านถวน" รสชาติค่อนข้างจืดๆ มันๆ รู้สึกไม่จัดจ้านเท่าพวกข้าวปั้นหรือคิมบับของเซเว่นไทย หลังจากอิ่มท้องแล้ว เราจึงเดินไปที่ร้าน POYA ที่มีรีวิวแนะนำมา ซึ่งร้านนี้เป็นฟีลคล้ายๆกับร้านวัตสัน หรือร้าน Boots ในเวอร์ชั่นที่ใหญ่โตกว่า ราคาของก็ไม่ได้ต่างจากของไทยมากนัก แต่เครื่องหนีบผมที่เราไปซื้อมา ราคาค่อนข้างถูกกว่าที่ไทย และหาไม่ได้ในแอปส้ม
บ้านเมืองของไต้หวัน ดูสะอาดตามาก ๆ
ดูสไตล์มีความเป็นญี่ปุ่นผสมกับจีน
ต่อมาปักหมุดไปที่เซเว่นอีกสาขา เป็นสาขาของ Sanrio ตั้งอยู่ใกล้ ๆ ย่าน Ximen เนื่องจากเรากำลังฟิตมากๆ และอยากเห็นบ้านเมืองในกรุงไทเป จึงใช้กำลังขาในการหอบหิ้วร่างไปเป็นระยะทางร่วมกิโลกว่าๆ และเราก็ได้จับจอง Easy card ลายน่ารัก ๆ มา ซึ่งตอนนี้ฟ้าค่อนข้างมืดแล้ว เราจึงปักหมุดต่อไปยังวัดหลงซาน วัดชื่อดังของที่นี่ โดยการเดินไปสถานี MRT Ximen ไปยังสถานี Longshan Temple
Easy card ลายการ์ตูนน่ารักมาก
วัดที่นี่มีวัฒนธรรมที่เราไม่เคยเห็น คือบริเวณหน้าทางเข้าวัด จะมีพระและแม่ชี 6-7 รูป นั่งเรียงรายกันหันหน้าเข้าฟุตบาธ และวางกล่องใส่เงินไว้อารมณ์เหมือนตู้บริจาคตามวัดบ้านเรา แต่พอมีคนมานั่งเรียงรายแบบนี้ ก็อดคิดไปในเชิงลบไม่ได้ แต่ก็เข้าใจว่าคงเป็นวัฒนธรรมของบ้านเมืองเค้า เราเดินเข้าไปสักการะพระพุทธเจ้า 3 องค์ (ซำปอฮุก) / ไหว้เทวดาฟ้าดิน / เจ้าแม่กวนอิม ด้านความสุข / เทพเจ้ากวนอู ด้านการงาน/ เจ้าแม่มาจู่ ด้านการเดินทาง และบรมครูฮั่วท้อ ด้านสุขภาพ ก่อนกลับแวะเช่าเครื่องรางที่มีให้เช่าบริเวณประตูทางออกวัด ให้แก่ตนเองและเพื่อนพ้องน้องพี่ ให้ได้รับอานิสงส์ร่วมกัน
วัดหลงซานยามค่ำคืน คนก็ยังเดินทางมาสักการะกันไม่ขาดสาย
หลังจากมูเตลูกันเรียบร้อย จึงจับรถ MRT กลับไปสถานี Ximen ไปเดินเล่นย่านซีเหมินติง ย่านนี้ถ้าเปรียบกับไทยก็เหมือนโซนสยามสแควร์ แต่เป็นสยามสแควร์ที่ดู local กว่า มีร้านรวงขายของเต็มไปหมด ทั้งเสื้อผ้า ของที่ระลึก ตู้คีบตุ๊กตา และรถเข็นสตรีทฟู้ด หรืออย่างวันนี้ ก็เห็นวัยรุ่นมาเต้น cover อยู่หลายกลุ่มเลย เป็นพื้นที่ของวัยรุ่น ทีเราในวัย 30 กลางๆเห็นแล้วก็สนุกดี วันนี้อากาศเย็นสบาย ประมาณ 26 - 27 องศา ใส่เสื้อแขนสั้นเดินได้ เราแวะซื้อขนมโมจิคลุกถั่วผง ๆ รสชาติหวานบางๆ ตัดกับถั่วมัน ๆ อร่อยดี
โมจิคลุกถั่วบดละเอียด อร่อยดี
ระหว่างที่เรายืนซื้อโมจิอยู่นั้น กลิ่นเหม็นประหลาดก็โชยมาเตะจมูก ซึ่งยังไม่ต้องบอกหรือยังไม่เคยได้กลิ่น เราก็เดาได้เลยว่ามันคือเต้าหู้เหม็นแน่นอน เต้าหู้เหม็น หรือ Stinky Tofu เป็นของกินอีกหนึ่งอย่างที่เราอยากลองกินมาก เราจึงจัดมาหนึ่งเซ็ต วิธีการกินคือ เขาจะนำเต้าหู้ไปทอด เมื่อสุกได้ที่จะนำมาตัดเป็นชิ้น ๆ ราดน้ำราดใส่พริก ใส่กระเทียม และโปะหน้าด้วยกะหล่ำฝอยดอง พอได้เอาเข้าปากคำแรก คือรักเลย กลิ่นเหม็นเมื่อกี้หายไปหมดแล้ว น้ำจิ้มพริกค่อนข้างเผ็ดๆ ผสมกับความเค็มหวานที่พอดีมาก ตัดกับผักดองเปรี้ยว ๆ ที่เข้ากันสุด ๆ เป็นอาหารที่ไม่คิดว่าจะชอบขนาดนี้
ร้านเต้าหู้เหม็น สไตล์รถเข็นเล็ก ๆ แต่รสชาติอร่อยเกินคาด
เราเดินไปเยี่ยมเยือนร้าน Pop mart ร้านฟิกเกอร์ชื่อดัง ที่ต้องมีทั่วโลก ตั้งอยู่ใจกลางซีเหมินติงเลย มีทั้งหมด 4 ชั้น ชั้นแรกขายฟิกเกอร์ชื่อดัง พวก Dimoo / Labubu ชั้นสองเป็นฟิกเกอร์คาแรกเตอร์ทั่ว ๆ ไป เช่น ฮีโร่ DC / ตัวละครซีรีส์ต่าง ๆ / ตัวการ์ตูน Disney และ Sanrio ชั้นสามเป็นโซนจัดแสดงคาแรกเตอร์ Molly ที่แต่งตัวเป็นชุดต่าง ๆ และชั้นสุดท้าย จัดสรรไว้เป็นโซนแสดง Exhibition โดยช่วงที่เราไปยังเป็นช่วงของวันฮาโลวีนอยู่ จึงเป็นธีมของผีขี้เหงาน่ารักๆ
ร้าน Pop mart ชั้นบนสุด เป็นธีมวันฮาโลวีน ผีขี้เหงา
ท้องเริ่มร้องแล้ว วันนี้แผนของเราจะไปกินปิ้งย่างร้าน Cha Cha เห็นว่าเป็นแบบ A la carte เลยไปกัน จะได้กินแบบสบายๆ ไม่มีคิว สามารถ walk in เข้าไปได้เลย แต่เราเพิ่งรู้ว่า ที่เป็น A la carte นั้นคือเฉพาะเนื้อต่าง ๆ ต้องสั่งอย่างน้อยคนละ 1 เซ็ต ส่วนอื่น ๆ เป็นบุฟเฟ่ต์ทั้งหมด มีทั้งโซนสลัด / ข้าวหมูตุ๋นหอมใหญ่ / ข้าวแกงกะหรี่ / ซุปมิโสะ / ของหวาน และทีเด็ดคือ แอลกอฮอลล์บุฟเฟ่ต์ด้วย มีทั้งเบียร์ไต้หวัน โซจูรสต่าง ๆ และแบบ sparkling ด้วย เรารับประทานกันอิ่มหนำสำราญแล้ว จึงเดินทางกลับที่พัก
เซ็ตหมู เพราะคุณผู้หญิงไม่ทานเนื้อ
โซนข้าวแกงกะหรี่ และหมูผัดซีอิ๊วหัวหอม ตักได้ไม่อั้น
โซนสลัดบาร์สไตล์ญี่ปุ่นและเกาหลี
สำหรับสายดื่ม มีให้เลือกหลากหลายแบบไม่อั้นเช่นกัน
ก่อนเข้าที่พัก บังเอิญเจอ Apple Tonic ของคุณ GIN สมาชิกจากคณะ BTS ที่คุณผู้หญิงเป็นแม่ยกอยู่ เป็น Tonic ที่เขาทำแบรนด์เอง หาซื้อที่ไทยไม่ได้ต้องพรีออเดอร์เข้ามาเท่านั้น แต่สามารถหาซื้อในเซเว่นไต้หวันได้ง่าย ๆ ส่งผลให้คุณผู้หญิงสุขใจเป็นอย่างยิ่ง
ของดีประจำสถานี MRT Ximen สนนราคาโคนละ 100 กว่า NT แต่รสชาติคืออร่อยสุด อร่อยยันโคน
ผลประกอบการ จบวันแรกไปแบบเพลียร่างมาก เพราะเราไม่ได้นอนมาเกือบ 2 คืนเต็ม ๆ หลับสบาย เติมพลังไปวันที่สองกันต่อ พรุ่งนี้เรามีแพลนจะออกไปเที่ยวนอกเมืองชายทะเลกันต่อ
To be continued...