Taiwan 1st time
Day 4/5
**สามารถติดตาม Taiwan 1st time ใน 3 วันแรก ได้ที่นี่เลยครับ**
Day 1 :
https://pantip.com/topic/43891637
Day 2 :
https://pantip.com/topic/43892663
Day 3 :
https://pantip.com/topic/43896224
เนื่องจากเมื่อคืนเรานอนกันเร็วกว่าปกติ นั่นคือประมาณ 23.30 น. (ถือว่าเร็วแล้วสำหรบเรา) วันนี้เราจึงตื่นกันเช้าหน่อย ประมาณ 08.00 น. เป้าหมายแรกของวันนี้คือสวนสัตว์ไทเป (Taipei Zoo) แต่อากาศวันนี้ดูท่าทางจะไม่สดใสซักเท่าไหร่ มีฝนตกลงมาแบบโปรยปราย คาดว่าน่าจะเป็นผลพวงจากพายุฟงวอง ที่เตรียมจะเคลื่อนเข้าไต้หวันในอีกไม่นาน ตามพยากรณ์อากาศ แต่น้องฝนที่ไต้หวันนั้นไม่ได้ตกมาแบบหนักโหดร้ายแบบประเทศไทยนัก มาเป็นละอองฝนสลับกับลมแรง ซึ่งทำให้เราหนาวสะท้านกันไม่หยุด
ก่อนออกเดินทาง เราแวะเติมมื้อเช้าที่เซเว่นใต้โรงแรมของเรา จัดฟ่านถวนไส้เห็ดมาลิ้มลอง รสชาติออกไปในทางเค็ม มัน แต่ก็ยังเป็นอาหารโปรดของเราอยู่ดี ควบคู่มากับการเป็นเหยื่อการตลาดกาแฟกล่องสีส้ม ยี่ห้อ Cafe Plaza มาทดลองให้ตาตื่น หลังจากเห็นโฆษณาอยู่ตามสถานี MRT ต่าง ๆ เยอะมาก สงสัยจะเป็นแบรนด์ขึ้นชื่อของที่นี่ รวมทั้งความผิดหวังจากกาแฟมื้อเช้าวานนี้ แต่หลังจากดูดไปอึกแรก ไม่ค่อยรับรู้ถึงรสชาติและกลิ่นของกาแฟเลย มากไปกว่านั้น ยังรู้สึกเหมือนกลิ่นชานมเสียมากกว่า จึงผิดหวังกับกาแฟของที่นี่เป็นรอบที่สอง แต่ไม่เป็นไร ถือว่าได้มาลองอะไรใหม่ๆ อาจเป็นรสชาติที่คนที่นี่ชอบกันก็ได้
ชามะนาวและกาแฟกล่อง แบรนด์ดังของที่นี่
ทั้งนี้ จากการอ่านรีวิวมาพบว่า ที่สวนสัตว์ไทเปหาร้านอาหารยากมาก ส่วนใหญ่จะเป็นของกินเล่นและขนมขบเคี้ยว เราจึงซื้อข้าวปั้นโอนิกิริติดตัวไปเป็นมื้อเที่ยง จากนั้นจึงพร้อมออกเดินทางสู่จุดหมายแรก "สวนสัตว์ไทเป (Taipei Zoo)"
การเดินทางสู่สวนสัตว์ไทเปนั้นไม่ยากเลย โดยไปขึ้นรถที่ Taipei main station ไปทางสายสีน้ำเงิน (Bannan line) ไปสลับสายที่สถานี Zhongxiao Fuxing ไปสู่สายสีส้ม (Wenhu line) โดยลักษณะเด่นของรถไฟสายนี้ จะเป็นรถไฟฟ้าที่แบ่งเป็นตู้ โดยแต่ละตู้จะไม่เชื่อมต่อกัน ไม่สามารถเดินไปมาหาสู่กันได้ ซึ่งเราได้รับคำแนะนำจากเพื่อน ๆ ในกลุ่มท่องเที่ยวไต้หวันด้วยตนเองว่า ถ้านั่งรถสาย Wenhu แล้ว ห้ามพลาดที่จะนั่งตู้ด้านหน้าสุด เพราะเป็นตู้ที่มีกระจกด้านหน้า สามารถชื่นชม บรรยากาศสองข้างทาง ที่มุ่งหน้าสู่นอกเมือง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นภูเขา ประกอบกับวันนี้มีพระพิรุณคอยพรมน้ำปรอย ๆ มาให้ตลอดเวลา ทำให้บรรยากาศดูเหงาอย่างประหลาด และหมอกเริ่มปรากฏขึ้นตลอดทิวเขา เป็นทิวทัศน์ที่พอเหมาะพอดีกันจริง ๆ
วิวจากรถขบวนหน้าสุด กับฝนที่โปรยปรายมาไม่ขาดสาย
เราเดินทางมาลงสุดสาย ที่สถานี Taipei Zoo รวมระยะเวลาประมาณ 40 นาที สวนสัตว์ไทเปแห่งนี้ ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขา ด้านหลังทอดยาวไปเป็นภูเขาสูงชัน ซึ่งเราสามารถเลือกเที่ยวได้สองแผนคือ ขึ้นกระเช้าเมาคง (Maokong) ต่อไปสู่จุดชมวิวที่บริเวณยอดเขา หรือจะเข้าชมสวนสัตว์ด้านล่างเพียงอย่างเดียว
โดยความตั้งใจแรกของเราทั้งคู่คือ เราจะไปชมสวนสัตว์เพียงอย่างเดียว เพราะจากที่อ่านรีวิวมาคือด้านบนเขาจะเน้นจุดชมวิวและร้านอาหารเท่านั้น รวมไปถึงค่ากระเช้าขึ้นยอดเขาอยู่ที่คนละ 300 NTD แต่เมื่อเราเห็นบรรยากาศฝนตกปรอย ๆ และมองขึ้นยอดเขาแล้วเห็นหมอกที่ค่อย ๆ ก่อตัว เป็นบรรยากาศที่ประจวบเหมาะและหาไม่ได้อีกแล้ว เราจึงตัดสินใจมุ่งหน้าสู่ยอดเขาก่อนเป็นอันดับแรก ถึงแม้จะต้องแลกมาด้วยค่าเสียหายรวม 600 NTD ก็ตาม
กระเช้าเมาคงที่จะขึ้นสู่ยอดเขา จะมีให้เลือก 2 แบบ คือ กระเช้าปกติ มีกระจก 4 ด้าน ซ้าย ขวา หน้า หลัง นั่งได้ทั้งหมด 6 คน และกระเช้าคริสตัล เป็นกระจก 6 ด้าน โดยจะเพิ่มด้านบนและด้านล่างมาด้วย นั่งได้ทั้งหมด 4 คน ซึ่งกระเช้าคริสตัลจะต้องเพิ่มค่าเสียหายอีกคนละ 50 NTD เราจึงเลือกแบบปกติ เพราะไม่อยากท้าทายความกลัวของตัวเองเกินไป โดยเส้นทางที่จะผ่านไปสู่ยอดเขานั้น จะต้องผ่านไปอีก 3 สถานี สถานีแรกที่ไปถึงคือ Taipei zoo south station เป็นสถานีที่เชื่อมต่อกับประตูทางเข้าสวนสัตว์ แต่เป็นประตูทิศใต้ ถ้าเราเที่ยวชมวิวด้านบนแล้ว ขากลับเราสามารถมาลง station นี้เพื่อเข้าสวนสัตว์ได้ โดยไม่ต้องลงไปถึง station แรกสุด สถานีต่อไปคือ Zhinan Temple Station เป็นสถานีที่มีวัดอยู่กลางเขา เหมือนเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม และสถานีสุดท้ายคือสถานี Maokong Gondola โดยเราจะลงกันที่สถานีนี้
ระหว่างทาง หมอกหนามากกกก แต่ก็สวยมากเช่นกัน
เนื่องด้วยวันนี้เป็นวันจันทร์ ร้านค้าต่าง ๆ บนยอดเขานี้จึงค่อนข้างเงียบเหงา รวมทั้งส่วนใหญ่ก็ปิดทำการ ภูมิทัศน์ด้านบนนี้เป็นร้านค้า ปะปนกับบ้านเรือนของชาวบ้าน และด้วยความที่จุดนี้อยู่บนยอดเขา จึงทำให้ลมค่อนข้างแรงข ปะทะหน้าและร่างกายของเราจนสั่นสะท้าน ร่มที่เราพกมาด้วยแทบจะเอาไม่อยู่ แต่ต้องยอมรับคุณภาพร่มของไต้หวันจริง ๆ มีความแข็งแรงมาก ขนาดร่มคันละ 79 NTD ที่ซื้อจากเซเว่น MRT ยังเอาอยู่
แต่ก่อนอื่นเราทั่งคู่อยากจะหาร้านเครื่องดื่มร้อน ๆ เพื่อเพิ่มอุณหภูมิให้กับร่างกายซักหน่อย เหลียวซ้ายแลขวาไป เจอร้านชาอยู่ร้านหนึ่งเปิดทำการอยู่ เราจึงมุ่งหน้าไปโดยไม่รอช้า สู่ร้าน Maokong Teahouse ร้านนี้ขายชาหลายประเภท มีทั้งชาร้อน ชาเย็น และที่สะดุดตาเราที่สุดอย่างหนึ่งคือ ไอศกรีมโคน ท็อปปิ้งด้วยคุกกี้รูปแมวแสนน่ารัก ซึ่งเราทั้งคู่อดใจต่อความน่ารักไม่ไหว จึงสั่งไอศกรีมมาหนึ่งโคน ท่ามกลางความหนาวเหน็บ โดยสั่งชาอู่หลงร้อนมาแก้เขินหนึ่งถ้วย เสิร์ฟโดยอาม่าแสนใจดี ที่ถึงแม้จะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่ก็พยายามสื่อสารด้วยท่าทางยิ้มแย้มและเป็นมิตรมาก ๆ
ไอศกรีมแมว ท้าลมหนาว
พิกัดร้าน Maokong Tea House :
https://maps.app.goo.gl/7d1PFdacc7i8HJH57
หลังจากจิบชาทานขนมเรียบร้อยแล้ว เราจึงเดินท้าลมฝนไปหามุมถ่ายรูป ถึงแม้วันนี้จะมีฝนตกทำให้เราเดินเหินไม่สะดวกนัก แต่บรรยากาศแบบนี้ก็มีข้อดีคือ วิวที่สวยมหัศจรรย์มาก หมอกบนยอดขุนเขา ทางเดินเปียกชื้น และแสงแดดรำไรที่ส่องทะลุเมฆมาไม่หมด เป็นบรรยากาศที่เกินบรรยายจริง ๆ เราจึงถ่ายรูปไปหลายแชะ ทั้งในระบบดิจิทัล ระบบฟิล์ม และระบบโพลารอยด์ จนสาแก่ใจแล้ว จึงนั่งกระเช้าลงมายังสถานี Taipei zoo south station เพื่อมุ่งสู่สวนสัตว์ไทเปต่อไป
วิวบรรยากาศด้านบน สวยมาก และหนาวมากเช่นกัน
เราลงมาถึงสวนสัตว์ไทเป ก็เป็นเวลาประมาณเกือบ 11.00 น. แต่วันนี้เราคิดว่าจะใช้เวลาไปกับที่แห่งนี้ถึงประมาณ 15.00 น. เพราะอ่านรีวิวมาเห็นว่า สวนสัตว์ค่อนข้างใหญ่ จริง ๆ ถ้าจะเก็บให้หมดทุกจุดแบบไม่รีบมาก ควรให้เวลากับที่นี่หนึ่งวันเต็ม แต่เรามีเวลาค่อนข้างจำกัด จึงคุยกับคนรู้ใจว่า เราจะตั้งภารกิจที่นี่ไว้ หนึ่งอย่างคือ เราจะตามหาน้องคาปิบาร่าให้เจอให้ได้ หลังจากที่เราพลาดกับการเจอน้องโขดหินคาปิบาร่าในวันที่ 2 ที่ไปชายทะเลมาแล้ว อย่างน้อยเราต้องมาเจอตัวจริงที่นี่ เราตั้งความมั่นหมายและตบเท้าสู่สวนสัตว์ด้วยความมุ่งมั่น ชำระค่าเสียหายทางเข้าประตู คนละ 100 NTD
แผนที่ของสวนสัตว์ไทเป ค่อนข้างใหญ่ใช้ได้เลย
สวนสัตว์แห่งนี้จะมีรถรางบริการ โดยจะจอดทั้งสิ้น 3 สถานี คือบริเวณประตูทิศใต้ที่เราเข้ามา / กลางสวนสัตว์ และประตูหลัก โดยถ้าเราลงจากรถรางและจะขึ้นอีก ต้องเสียคนละ 5 NTD และเช่นเดิม สามารถใช้ Easy card ชำระได้ โดยเราเลือกลงที่กลางสวนสัตว์กัน
จุดนี้เป็นโซนของกรงนกหลากหลายชนิด แต่เนื่องด้วยสายฝนที่โปรยปรายทำให้เราอยู่โซนด้านนอกนานมากไม่ได้ จึงต้องหาทางเข้าไปภายในอาคาร เราเดินเข้าอาคารที่ใกล้ที่สุด ซึ่งเป็นอาคารแสดงสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ที่นี่มีสัตว์แปลก ๆ ที่ไม่ได้พบเห็นตามสวนสัตว์ในไทยเท่าไรนัก มีทั้งกบขนาดจิ๋วซึ่งเป็นกบมีพิษ สีน้ำเงินเข้ม รวมทั้งมีเต่ามากมายหลายชนิด มีเยอะที่สุดเมื่อเทียบกับสวนสัตว์อื่น ๆ ที่เคยไปในไทย เดินถัดไปอีกนิด เป็นส่วนของการจัดแสดงงู แต่รู้สึกได้ว่างูที่โชว์ในสวนสัตว์ของไทยมีค่อนข้างเยอะกว่า
กบพิษสีสันสวยงาม
ซึ่งจากที่เราสำรวจด้วยตาเนื้อ และจากประสบการณ์การเที่ยวสวนสัตว์ที่มีไม่มากเท่าไรนัก แต่ก็พอจะเปรียบเทียบได้คือ โซนที่ต้องมีฉากกระจกกั้นระหว่างผู้ชมและสัตว์ของที่นี่ ค่อนข้างสะอาดมาก โดยเฉพาะพื้นที่กระจกที่ดูแลยากอย่างโซนที่มีระบบนิเวศจำลองเป็นน้ำ ซึ่งโดยทั่วไปมักเห็นเป็นคราบตะไคร่สีเขียวปนดำ หรือกระจกเป็นฝ้า แต่กระจกของที่นี่นั้น ใสแทบทุกบาน มีน้อยมากที่จะเห็นคราบน้ำหรือคราบเปื้อน ถือเป็นสิ่งที่ค่อนข้างน่าประหลาดใจและน่าชื่นชมการดูแล
จุดแรกที่เราต้องการไปดูคือ คุณแพนด้าแดง ซึ่งตามแผนที่ระบุว่าคุณเค้าอยู่พื้นที่บริเวณด้านนอกอาคาร เราจึงเปิดโหมดกางร่มเดินออกมาเตรียมพร้อม แต่ท้องดันร้องกิ่วเสียก่อน เพราะเวลาก็ล่วงเลยมาเป็นเวลาเที่ยงแล้ว จึงพักกองที่จุดขายเครื่องดื่มและขนมทานเล่น หยิบข้าวปั้นโอนิกิริของเราสองคนออกมา ของคุณผู้หญิงเป็นไส้หมูย่างใส่ต้นหอม ของเกล้ากระผมเป็นไส้ไก่ทอดเกาหลี รสชาติก็พอได้อยู่ ออกจากเค็ม ๆ ตามสไตล์อาหารสำเร็จรูป
มื้อเที่ยงของเรา
อิ่มท้องแล้วก็ไปตามหาคุณแพนด้าแดงกันต่อ เราเดินดุ่ม ๆ ตามแผนที่ไปท่ามกลางฝนโปรยปราย ลัดเลาะตามทางซ้ายขวา จนเจอจุดแสดงแพนด้าแดงน้อย มีรูปปั้นน่ารักตั้งอยู่เป็นจุดสังเกตว่ามาถึงแล้ว แต่เหตุไฉนเรากลับหาแพนด้าแดงตัวจริงไม่เจอ ยืนงงกับคุณพี่ชาวต่างชาติ 2 คน เราคิดกันเองว่า สงสัยแพนด้าแดงตัวน้อยคงหาที่กำบังสายฝนที่โปรยปรายมาตอนนี้ก็ได้ เพราะขนน้องค่อนข้างหนานุ่ม ถ้าขนเปียกอาจตะเป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนไหว ที่จำเป็นต้องอยู่บนที่สูงก็ได้ ภารกิจรองของเราจึงล้มเหลว และจึงเบนเข็มสู่เป้าหมายหลัก นั่นคือน้องคาปิบาร่าของเรา
เจอแต่รูปปั้นน้องแพนด้าแดงมาต้อนรับ
ระหว่างทางไปหาน้องคาปิบาร่า เราได้เดินลัดเลาะเยี่ยมชมพี่น้องร่วมสวนสัตว์มากมาย มีทั้งคุณหมีตัวใหญ่ที่นอนเอาเท้าก่ายกระจกสบายใจเฉิบ / คุณพี่ฮิปโปยักษ์ ที่นอนให้น้ำไหลกระแทกบนตัว / คุณลุงจระเข้เขี้ยวแหลม ถึงกระนั้นเราก็ยังตามหาบ่อคุณคาปิบาร่าไม่เจอ ช่างหายากหาเย็นจริง ๆ
คุณหมีนอนสบายใจ
ฮิปโปนอนให้น้ำรดตัวเล่น
จระเข้ที่จ้องจะงาบคุณ
จนสุดท้ายก็ไปเจอบ่อคาปิบาร่าจนได้ แต่มีอยู่แค่ตัวเดียว ที่เหลือคงหลบเข้าร่วมกันหมด โผล่ออกมาตัวเดียวท่ามกลางบ่อน้ำอันกว้างใหญ่ ทำหน้าง่วงซึมตามแบบฉบับดั้งเดิมท่ามกลางพงหญ้าใต้ร่มไม้ เราทั้งคู่ดีใจมากที่ทริปนี้ได้เจอน้องเสียที แชะภาพไปหลายแชะจนหนำใจ จึงโบกมือลาเจ้าคาปิบาร่าน้อย
คาปิบาร่าน่ารัก แต่มาแค่ตัวเดียว
**อ่านต่อในคอมเมนท์จ้า**
Taiwan 1st time [Day 4/5]
Day 4/5
**สามารถติดตาม Taiwan 1st time ใน 3 วันแรก ได้ที่นี่เลยครับ**
Day 1 : https://pantip.com/topic/43891637
Day 2 : https://pantip.com/topic/43892663
Day 3 : https://pantip.com/topic/43896224
เนื่องจากเมื่อคืนเรานอนกันเร็วกว่าปกติ นั่นคือประมาณ 23.30 น. (ถือว่าเร็วแล้วสำหรบเรา) วันนี้เราจึงตื่นกันเช้าหน่อย ประมาณ 08.00 น. เป้าหมายแรกของวันนี้คือสวนสัตว์ไทเป (Taipei Zoo) แต่อากาศวันนี้ดูท่าทางจะไม่สดใสซักเท่าไหร่ มีฝนตกลงมาแบบโปรยปราย คาดว่าน่าจะเป็นผลพวงจากพายุฟงวอง ที่เตรียมจะเคลื่อนเข้าไต้หวันในอีกไม่นาน ตามพยากรณ์อากาศ แต่น้องฝนที่ไต้หวันนั้นไม่ได้ตกมาแบบหนักโหดร้ายแบบประเทศไทยนัก มาเป็นละอองฝนสลับกับลมแรง ซึ่งทำให้เราหนาวสะท้านกันไม่หยุด
ก่อนออกเดินทาง เราแวะเติมมื้อเช้าที่เซเว่นใต้โรงแรมของเรา จัดฟ่านถวนไส้เห็ดมาลิ้มลอง รสชาติออกไปในทางเค็ม มัน แต่ก็ยังเป็นอาหารโปรดของเราอยู่ดี ควบคู่มากับการเป็นเหยื่อการตลาดกาแฟกล่องสีส้ม ยี่ห้อ Cafe Plaza มาทดลองให้ตาตื่น หลังจากเห็นโฆษณาอยู่ตามสถานี MRT ต่าง ๆ เยอะมาก สงสัยจะเป็นแบรนด์ขึ้นชื่อของที่นี่ รวมทั้งความผิดหวังจากกาแฟมื้อเช้าวานนี้ แต่หลังจากดูดไปอึกแรก ไม่ค่อยรับรู้ถึงรสชาติและกลิ่นของกาแฟเลย มากไปกว่านั้น ยังรู้สึกเหมือนกลิ่นชานมเสียมากกว่า จึงผิดหวังกับกาแฟของที่นี่เป็นรอบที่สอง แต่ไม่เป็นไร ถือว่าได้มาลองอะไรใหม่ๆ อาจเป็นรสชาติที่คนที่นี่ชอบกันก็ได้
ชามะนาวและกาแฟกล่อง แบรนด์ดังของที่นี่
ทั้งนี้ จากการอ่านรีวิวมาพบว่า ที่สวนสัตว์ไทเปหาร้านอาหารยากมาก ส่วนใหญ่จะเป็นของกินเล่นและขนมขบเคี้ยว เราจึงซื้อข้าวปั้นโอนิกิริติดตัวไปเป็นมื้อเที่ยง จากนั้นจึงพร้อมออกเดินทางสู่จุดหมายแรก "สวนสัตว์ไทเป (Taipei Zoo)"
การเดินทางสู่สวนสัตว์ไทเปนั้นไม่ยากเลย โดยไปขึ้นรถที่ Taipei main station ไปทางสายสีน้ำเงิน (Bannan line) ไปสลับสายที่สถานี Zhongxiao Fuxing ไปสู่สายสีส้ม (Wenhu line) โดยลักษณะเด่นของรถไฟสายนี้ จะเป็นรถไฟฟ้าที่แบ่งเป็นตู้ โดยแต่ละตู้จะไม่เชื่อมต่อกัน ไม่สามารถเดินไปมาหาสู่กันได้ ซึ่งเราได้รับคำแนะนำจากเพื่อน ๆ ในกลุ่มท่องเที่ยวไต้หวันด้วยตนเองว่า ถ้านั่งรถสาย Wenhu แล้ว ห้ามพลาดที่จะนั่งตู้ด้านหน้าสุด เพราะเป็นตู้ที่มีกระจกด้านหน้า สามารถชื่นชม บรรยากาศสองข้างทาง ที่มุ่งหน้าสู่นอกเมือง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นภูเขา ประกอบกับวันนี้มีพระพิรุณคอยพรมน้ำปรอย ๆ มาให้ตลอดเวลา ทำให้บรรยากาศดูเหงาอย่างประหลาด และหมอกเริ่มปรากฏขึ้นตลอดทิวเขา เป็นทิวทัศน์ที่พอเหมาะพอดีกันจริง ๆ
วิวจากรถขบวนหน้าสุด กับฝนที่โปรยปรายมาไม่ขาดสาย
เราเดินทางมาลงสุดสาย ที่สถานี Taipei Zoo รวมระยะเวลาประมาณ 40 นาที สวนสัตว์ไทเปแห่งนี้ ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขา ด้านหลังทอดยาวไปเป็นภูเขาสูงชัน ซึ่งเราสามารถเลือกเที่ยวได้สองแผนคือ ขึ้นกระเช้าเมาคง (Maokong) ต่อไปสู่จุดชมวิวที่บริเวณยอดเขา หรือจะเข้าชมสวนสัตว์ด้านล่างเพียงอย่างเดียว
โดยความตั้งใจแรกของเราทั้งคู่คือ เราจะไปชมสวนสัตว์เพียงอย่างเดียว เพราะจากที่อ่านรีวิวมาคือด้านบนเขาจะเน้นจุดชมวิวและร้านอาหารเท่านั้น รวมไปถึงค่ากระเช้าขึ้นยอดเขาอยู่ที่คนละ 300 NTD แต่เมื่อเราเห็นบรรยากาศฝนตกปรอย ๆ และมองขึ้นยอดเขาแล้วเห็นหมอกที่ค่อย ๆ ก่อตัว เป็นบรรยากาศที่ประจวบเหมาะและหาไม่ได้อีกแล้ว เราจึงตัดสินใจมุ่งหน้าสู่ยอดเขาก่อนเป็นอันดับแรก ถึงแม้จะต้องแลกมาด้วยค่าเสียหายรวม 600 NTD ก็ตาม
กระเช้าเมาคงที่จะขึ้นสู่ยอดเขา จะมีให้เลือก 2 แบบ คือ กระเช้าปกติ มีกระจก 4 ด้าน ซ้าย ขวา หน้า หลัง นั่งได้ทั้งหมด 6 คน และกระเช้าคริสตัล เป็นกระจก 6 ด้าน โดยจะเพิ่มด้านบนและด้านล่างมาด้วย นั่งได้ทั้งหมด 4 คน ซึ่งกระเช้าคริสตัลจะต้องเพิ่มค่าเสียหายอีกคนละ 50 NTD เราจึงเลือกแบบปกติ เพราะไม่อยากท้าทายความกลัวของตัวเองเกินไป โดยเส้นทางที่จะผ่านไปสู่ยอดเขานั้น จะต้องผ่านไปอีก 3 สถานี สถานีแรกที่ไปถึงคือ Taipei zoo south station เป็นสถานีที่เชื่อมต่อกับประตูทางเข้าสวนสัตว์ แต่เป็นประตูทิศใต้ ถ้าเราเที่ยวชมวิวด้านบนแล้ว ขากลับเราสามารถมาลง station นี้เพื่อเข้าสวนสัตว์ได้ โดยไม่ต้องลงไปถึง station แรกสุด สถานีต่อไปคือ Zhinan Temple Station เป็นสถานีที่มีวัดอยู่กลางเขา เหมือนเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม และสถานีสุดท้ายคือสถานี Maokong Gondola โดยเราจะลงกันที่สถานีนี้
ระหว่างทาง หมอกหนามากกกก แต่ก็สวยมากเช่นกัน
เนื่องด้วยวันนี้เป็นวันจันทร์ ร้านค้าต่าง ๆ บนยอดเขานี้จึงค่อนข้างเงียบเหงา รวมทั้งส่วนใหญ่ก็ปิดทำการ ภูมิทัศน์ด้านบนนี้เป็นร้านค้า ปะปนกับบ้านเรือนของชาวบ้าน และด้วยความที่จุดนี้อยู่บนยอดเขา จึงทำให้ลมค่อนข้างแรงข ปะทะหน้าและร่างกายของเราจนสั่นสะท้าน ร่มที่เราพกมาด้วยแทบจะเอาไม่อยู่ แต่ต้องยอมรับคุณภาพร่มของไต้หวันจริง ๆ มีความแข็งแรงมาก ขนาดร่มคันละ 79 NTD ที่ซื้อจากเซเว่น MRT ยังเอาอยู่
แต่ก่อนอื่นเราทั่งคู่อยากจะหาร้านเครื่องดื่มร้อน ๆ เพื่อเพิ่มอุณหภูมิให้กับร่างกายซักหน่อย เหลียวซ้ายแลขวาไป เจอร้านชาอยู่ร้านหนึ่งเปิดทำการอยู่ เราจึงมุ่งหน้าไปโดยไม่รอช้า สู่ร้าน Maokong Teahouse ร้านนี้ขายชาหลายประเภท มีทั้งชาร้อน ชาเย็น และที่สะดุดตาเราที่สุดอย่างหนึ่งคือ ไอศกรีมโคน ท็อปปิ้งด้วยคุกกี้รูปแมวแสนน่ารัก ซึ่งเราทั้งคู่อดใจต่อความน่ารักไม่ไหว จึงสั่งไอศกรีมมาหนึ่งโคน ท่ามกลางความหนาวเหน็บ โดยสั่งชาอู่หลงร้อนมาแก้เขินหนึ่งถ้วย เสิร์ฟโดยอาม่าแสนใจดี ที่ถึงแม้จะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่ก็พยายามสื่อสารด้วยท่าทางยิ้มแย้มและเป็นมิตรมาก ๆ
ไอศกรีมแมว ท้าลมหนาว
พิกัดร้าน Maokong Tea House : https://maps.app.goo.gl/7d1PFdacc7i8HJH57
หลังจากจิบชาทานขนมเรียบร้อยแล้ว เราจึงเดินท้าลมฝนไปหามุมถ่ายรูป ถึงแม้วันนี้จะมีฝนตกทำให้เราเดินเหินไม่สะดวกนัก แต่บรรยากาศแบบนี้ก็มีข้อดีคือ วิวที่สวยมหัศจรรย์มาก หมอกบนยอดขุนเขา ทางเดินเปียกชื้น และแสงแดดรำไรที่ส่องทะลุเมฆมาไม่หมด เป็นบรรยากาศที่เกินบรรยายจริง ๆ เราจึงถ่ายรูปไปหลายแชะ ทั้งในระบบดิจิทัล ระบบฟิล์ม และระบบโพลารอยด์ จนสาแก่ใจแล้ว จึงนั่งกระเช้าลงมายังสถานี Taipei zoo south station เพื่อมุ่งสู่สวนสัตว์ไทเปต่อไป
วิวบรรยากาศด้านบน สวยมาก และหนาวมากเช่นกัน
เราลงมาถึงสวนสัตว์ไทเป ก็เป็นเวลาประมาณเกือบ 11.00 น. แต่วันนี้เราคิดว่าจะใช้เวลาไปกับที่แห่งนี้ถึงประมาณ 15.00 น. เพราะอ่านรีวิวมาเห็นว่า สวนสัตว์ค่อนข้างใหญ่ จริง ๆ ถ้าจะเก็บให้หมดทุกจุดแบบไม่รีบมาก ควรให้เวลากับที่นี่หนึ่งวันเต็ม แต่เรามีเวลาค่อนข้างจำกัด จึงคุยกับคนรู้ใจว่า เราจะตั้งภารกิจที่นี่ไว้ หนึ่งอย่างคือ เราจะตามหาน้องคาปิบาร่าให้เจอให้ได้ หลังจากที่เราพลาดกับการเจอน้องโขดหินคาปิบาร่าในวันที่ 2 ที่ไปชายทะเลมาแล้ว อย่างน้อยเราต้องมาเจอตัวจริงที่นี่ เราตั้งความมั่นหมายและตบเท้าสู่สวนสัตว์ด้วยความมุ่งมั่น ชำระค่าเสียหายทางเข้าประตู คนละ 100 NTD
แผนที่ของสวนสัตว์ไทเป ค่อนข้างใหญ่ใช้ได้เลย
สวนสัตว์แห่งนี้จะมีรถรางบริการ โดยจะจอดทั้งสิ้น 3 สถานี คือบริเวณประตูทิศใต้ที่เราเข้ามา / กลางสวนสัตว์ และประตูหลัก โดยถ้าเราลงจากรถรางและจะขึ้นอีก ต้องเสียคนละ 5 NTD และเช่นเดิม สามารถใช้ Easy card ชำระได้ โดยเราเลือกลงที่กลางสวนสัตว์กัน
จุดนี้เป็นโซนของกรงนกหลากหลายชนิด แต่เนื่องด้วยสายฝนที่โปรยปรายทำให้เราอยู่โซนด้านนอกนานมากไม่ได้ จึงต้องหาทางเข้าไปภายในอาคาร เราเดินเข้าอาคารที่ใกล้ที่สุด ซึ่งเป็นอาคารแสดงสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ที่นี่มีสัตว์แปลก ๆ ที่ไม่ได้พบเห็นตามสวนสัตว์ในไทยเท่าไรนัก มีทั้งกบขนาดจิ๋วซึ่งเป็นกบมีพิษ สีน้ำเงินเข้ม รวมทั้งมีเต่ามากมายหลายชนิด มีเยอะที่สุดเมื่อเทียบกับสวนสัตว์อื่น ๆ ที่เคยไปในไทย เดินถัดไปอีกนิด เป็นส่วนของการจัดแสดงงู แต่รู้สึกได้ว่างูที่โชว์ในสวนสัตว์ของไทยมีค่อนข้างเยอะกว่า
กบพิษสีสันสวยงาม
ซึ่งจากที่เราสำรวจด้วยตาเนื้อ และจากประสบการณ์การเที่ยวสวนสัตว์ที่มีไม่มากเท่าไรนัก แต่ก็พอจะเปรียบเทียบได้คือ โซนที่ต้องมีฉากกระจกกั้นระหว่างผู้ชมและสัตว์ของที่นี่ ค่อนข้างสะอาดมาก โดยเฉพาะพื้นที่กระจกที่ดูแลยากอย่างโซนที่มีระบบนิเวศจำลองเป็นน้ำ ซึ่งโดยทั่วไปมักเห็นเป็นคราบตะไคร่สีเขียวปนดำ หรือกระจกเป็นฝ้า แต่กระจกของที่นี่นั้น ใสแทบทุกบาน มีน้อยมากที่จะเห็นคราบน้ำหรือคราบเปื้อน ถือเป็นสิ่งที่ค่อนข้างน่าประหลาดใจและน่าชื่นชมการดูแล
จุดแรกที่เราต้องการไปดูคือ คุณแพนด้าแดง ซึ่งตามแผนที่ระบุว่าคุณเค้าอยู่พื้นที่บริเวณด้านนอกอาคาร เราจึงเปิดโหมดกางร่มเดินออกมาเตรียมพร้อม แต่ท้องดันร้องกิ่วเสียก่อน เพราะเวลาก็ล่วงเลยมาเป็นเวลาเที่ยงแล้ว จึงพักกองที่จุดขายเครื่องดื่มและขนมทานเล่น หยิบข้าวปั้นโอนิกิริของเราสองคนออกมา ของคุณผู้หญิงเป็นไส้หมูย่างใส่ต้นหอม ของเกล้ากระผมเป็นไส้ไก่ทอดเกาหลี รสชาติก็พอได้อยู่ ออกจากเค็ม ๆ ตามสไตล์อาหารสำเร็จรูป
มื้อเที่ยงของเรา
อิ่มท้องแล้วก็ไปตามหาคุณแพนด้าแดงกันต่อ เราเดินดุ่ม ๆ ตามแผนที่ไปท่ามกลางฝนโปรยปราย ลัดเลาะตามทางซ้ายขวา จนเจอจุดแสดงแพนด้าแดงน้อย มีรูปปั้นน่ารักตั้งอยู่เป็นจุดสังเกตว่ามาถึงแล้ว แต่เหตุไฉนเรากลับหาแพนด้าแดงตัวจริงไม่เจอ ยืนงงกับคุณพี่ชาวต่างชาติ 2 คน เราคิดกันเองว่า สงสัยแพนด้าแดงตัวน้อยคงหาที่กำบังสายฝนที่โปรยปรายมาตอนนี้ก็ได้ เพราะขนน้องค่อนข้างหนานุ่ม ถ้าขนเปียกอาจตะเป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนไหว ที่จำเป็นต้องอยู่บนที่สูงก็ได้ ภารกิจรองของเราจึงล้มเหลว และจึงเบนเข็มสู่เป้าหมายหลัก นั่นคือน้องคาปิบาร่าของเรา
เจอแต่รูปปั้นน้องแพนด้าแดงมาต้อนรับ
ระหว่างทางไปหาน้องคาปิบาร่า เราได้เดินลัดเลาะเยี่ยมชมพี่น้องร่วมสวนสัตว์มากมาย มีทั้งคุณหมีตัวใหญ่ที่นอนเอาเท้าก่ายกระจกสบายใจเฉิบ / คุณพี่ฮิปโปยักษ์ ที่นอนให้น้ำไหลกระแทกบนตัว / คุณลุงจระเข้เขี้ยวแหลม ถึงกระนั้นเราก็ยังตามหาบ่อคุณคาปิบาร่าไม่เจอ ช่างหายากหาเย็นจริง ๆ
คุณหมีนอนสบายใจ
ฮิปโปนอนให้น้ำรดตัวเล่น
จระเข้ที่จ้องจะงาบคุณ
จนสุดท้ายก็ไปเจอบ่อคาปิบาร่าจนได้ แต่มีอยู่แค่ตัวเดียว ที่เหลือคงหลบเข้าร่วมกันหมด โผล่ออกมาตัวเดียวท่ามกลางบ่อน้ำอันกว้างใหญ่ ทำหน้าง่วงซึมตามแบบฉบับดั้งเดิมท่ามกลางพงหญ้าใต้ร่มไม้ เราทั้งคู่ดีใจมากที่ทริปนี้ได้เจอน้องเสียที แชะภาพไปหลายแชะจนหนำใจ จึงโบกมือลาเจ้าคาปิบาร่าน้อย
คาปิบาร่าน่ารัก แต่มาแค่ตัวเดียว
**อ่านต่อในคอมเมนท์จ้า**