Taiwan 1st time
Day 2/5
**ท่านใดยังไม่ได้อ่าน Day 1/5 สามารถตามไปอ่านในลิงก์นี้ได้เลยครับ**
>>>
https://pantip.com/topic/43891637<<<
เนื่องจากเมื่อคืนเราทั้งคู่เหนื่อยล้ากันมาก ประกอบกับเมื่อคืนกว่าจะเข้านอนก็ปาเข้าไปเกือบตี 1 รวมทั้งบนเครื่องขามา ก็หลับ ๆ ตื่น ๆ มาตลอดทาง ทำให้เช้าวันที่สอง เราลืมตาตื่นมาก็เกือบ 08.30 น. แล้ว แต่ก็ถือว่าได้ชาร์จพลังอย่างเต็มที่ แผนการเช้านี้ของเราคือ จะไปกินมื้อเช้าที่ร้านบะหมี่ Liu Shandong ที่มีคนแนะนำมาหลายรีวิวแล้วว่าเป็นบะหมี่เนื้อตุ๋นเจ้าดัง และอยู่ไม่ไกลจากที่พักของเรามากนัก เดินไปจนถึงร้าน ถึงกับตะลึงพรึงเพริด เนื่องจากประชาชนต่อแถวมาลิ้มลองรสยาวมาก จากการประเมินแล้วน่าจะไม่ต่ำกว่า 20 คน เราจึงถอดใจเดินย้อนกลับไปร้านที่เพิ่งผ่านมา ชื่อร้านอะไรไม่ทราบ เพราะทั้งร้านเป็นภาษาจีน เห็นคุณลุงคุณป้ากำลังนั่งห่อเกี๊ยวอยู่หน้าร้าน จึงไปถามว่าร้านเปิดหรือยัง แต่คุณลุงตอบมาว่า เวลานี้ยังไม่พร้อมให้บริการใด ๆ เราจึงปักหมุดร้านนี้ไว้ เพื่อตั้งใจว่าจะมาลองแน่นอน
พิกัดร้านบะหมี่ Liu Shandong ที่ผมพลาดไป :
https://maps.app.goo.gl/6GagfsnbQECkwKs76
จากนั้นเราจึงพากันเดินทอดน่อง ชมบรรยากาศกรุงไทเป และผู้คนที่เดินขวักไขว่ในเช้าวันเสาร์ จุดหมายคือ "พิพิธภัณฑ์แห่งชาติไต้หวัน" เราจึงวางแผนกันว่าไปหามื้อเช้ากินแถวนั้นก็แล้วกัน เดินไปจนเกือบถึงแล้ว ก็บังเอิญไปเจอร้านขายอาหารจานเดียวสไตล์ไต้หวัน ชื่อเสียงเรียงนามคือ
Ching Chuan Lu Ro Fun ตั้งอยู่ในโรงแรม Check inn Taipei Main Station อยู่ฝั่งถนน Huaining ฝั่งตรงข้ามกับ 228 Peace Memorial Park ซึ่งน่าจะเป็นร้านใหม่ เพราะป้ายเขียนไว้ว่า since 2025 ขนาดค้นหาใน Google map ยังไม่มีชื่อร้านเลย เราที่หิวท้องกิ่วทั้งคู่จึงเข้าไปนั่ง บรรยากาศโดยรอบยังไม่มีลูกค้ามาเลยซักคน เราสั่งข้าวหมูตุ๋นคนละชาม และซุปไก่ใส่พริกเขียวดอง ข้าวหมูตุ๋นของที่นี่น่าจะเป็นข้าวญี่ปุ่น เม็ดเล็ก ๆ สั้น ๆ ส่วนหมูก็หั่นเป็นแบบเป็นลูกเต๋าเล็ก ๆ รสชาติค่อนข้างเอนเอียงไปทางเค็ม ๆ มัน ๆ ซึ่งคนไทยที่ติดความนัวไม่สันทัดซักเท่าไรนัก แต่ทีเด็ดคือซุปไก่พริกเขียวดอง อร่อยเฉยเลย ไก่นุ่มเหมือนไก่ตามร้านข้าวมันไก่ที่เป็นไก่เลี้ยง เนื้อไม่สาก พริกเขียวดองก็มีความเผ็ดร้อน และความเปรี้ยวจากการดอง รวมทั้งเคี้ยวง่าย นิ่มแต่ไม่เละ เพิ่มความสดชื่นด้วยขิงฝานแว่น และเก๋ากี้ เพิ่มพลังในเช้านี้ได้เป็นอย่างดี
พิกัดร้านอาหารเช้ายังไม่มี เอาพิกัดโรงแรม Check inn มาให้ก่อน เพราะร้านอยู่ในโรงแรมเลยครับ :
https://maps.app.goo.gl/XmQfn7gKWSvqt1HQ8
มื้อเช้าของเรา เค็ม ๆ มัน ๆ (ไปนิด)
อิ่มท้องแล้วเราจึงข้ามถนนมุ่งสู่ 228 Peace Memorial Park สวนสาธารณะขนาดใหญ่ใจกลางกรุงไทเป สถานที่แห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์สังหารหมู่ชาวไต้หวัน ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 1947 (2/28) ของรัฐบาลก๊กมินตั๋งต่อประชาชน โดยถึงแม้ว่าวันนี้แสงแดดจะส่องสว่างให้รับวิตามินดีกันอย่างเต็มที่ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกถึงไอร้อนใด ๆ เลย มีลมเย็นเข้าปะทะหน้า ปะทะร่างกายตลอดเวลา ทำให้เราเห็นว่าจะมีคนมาทำกิจกรรมกลางแจ้งตลอดทั้งวัน มีทั้งวิ่งออกกำลังกาย พ่อแม่พาลูก ๆ มาเดินเล่น หรือกลุ่มผู้สูงอายุที่จับกลุ่มกายบริหารกัน เราเดินถ่ายรูปกัน 3 - 4 แชะ จึงได้มุ่งเข้าสู่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติไต้หวัน
จริงๆ Park นี้ใหญ่มากนะ แต่ด้วยเวลาที่จำกัด ประกอบกับที่ตื่นสาย เลยไม่มีเวลาเดินมากนัก
พิพิธภัณฑ์แห่งชาติไต้หวัน ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของสวนสาธารณะ ลักษณะภายนอกออกแบบเป็นอาคารทรงยุโรปสไตล์คลาสสิค แบบเสาขนาดใหญ่ ๆ ตัน ๆ ที่นี่สามารถใช้ Easy card จ่ายเข้าได้เลย ราคาคนละ 30 NT จ่ายราคาเดียว หรือจะไปซื้อบัตรเข้ากับพนักงานก็ได้ ไม่ได้แบ่งว่าเป็นชาวไต้หวันหรือชาวต่างชาติ ซึ่งจะได้บัตรผ่านประตูเข้าพิพิธภัณฑ์ ซึ่งเราเพิ่งมารู้ว่า สามารถใช้ผ่านเข้าพิพิธภัณฑ์
Land Bank Exhibition Hall ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามได้ด้วย เรามองจากภายนอกคิดว่าเป็นธนาคาร แต่ในวันนี้เราขอเที่ยวชมที่นี่ให้เต็มที่ก่อน ถ้ามีเวลาเหลือค่อยข้ามไปดูอีกที่กัน
ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ เป็นอาคารสไตล์ยุโรปคลาสสิค
ในวันนี้พิพิธภัณฑ์มีจัดกิจกรรมสำหรับเด็กด้วย ทำให้เราได้ยินเสียงเล็กเสียงน้อยจากเด็ก ๆ เต็มไปหมด แต่เด็กที่มาเที่ยวที่นี่ถือว่ามีวุฒิภาวะค่อนข้างดี ไม่ส่งเสียงดังหรือซนมากนัก โดยชั้น 1 เป็นโซนเน้นเรื่องของฟอสซิลไดโนเสาร์ บรรพชีวินวิทยา ที่พบในพื้นที่ของไต้หวัน และ Timeline ของโลกในยุคต่าง ๆ ฟอสซิลของที่นี่เป็นทั้งของจริงผสมกับของจำลอง แต่ก็สามารถออกแบบได้ค่อนข้างน่าสนใจ เช่น ทำแบบจำลองให้ผู้ชมสามารถลองสัมผัสว่า ผิวหนังของสัตว์โบราณต่าง ๆ น่าจะมีผิวสัมผัสอย่างไร หรือกระดูกส่วนที่ขุดพบ คือกระดูกส่วนไหนของร่างกาย โดยจำลองหุ่นไดโนเสาร์สามมิติ และนำกระดูกส่วนดังกล่าวไปทาบในแต่ละจุด ทำให้เห็นภาพชัดขึ้นกว่านำกระดูกมาเรียง ๆ กันในตู้โชว์
บัตรเข้าชม 1 ใบ สามารถเข้าได้ 2 พิพิธภัณฑ์
ชั้นที่ 2 เป็นโซนประวัติศาสตร์ของไต้หวัน ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร ตั้งแต่ในอดีตถึงปัจจุบัน โดยจุดที่เรารู้สึกทึ่งมาก คือธงของไต้หวันที่ใส่กรอบกระจกโชว์ไว้ ซึ่งบริเวณที่เป็นสีแดงของธง ถูกแทนที่ด้วยรอยเลือดของกลุ่มต่อต้านคอมมิวนิสต์ ที่เห็นแล้วรู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูก รวมทั้งจุดอื่น ๆ ที่แสดงภาพโบราณ การเข้ามาปกครองโดยญี่ปุ่น และช่วงเวลาต่าง ๆ ที่มีความสำคัญ ตั้งแต่ยุคบุกเบิกที่ตะวันตกค้นพบเกาะไต้หวัน ซึ่งเราสัมผัสได้เลยว่า ชาวไต้หวันดูจะภูมิใจในคำว่า "Formosa" มาก ๆ ซึ่งเป็นชื่อดั้งเดิมที่ชาวโปรตุเกสโพ้นทะเลใช้เรียกเกาะไต้หวัน แปลว่า "เกาะแห่งความสวยงาม" ซึ่งชาวไต้หวันจะใช้ในการตั้งชื่อต่าง ๆ เช่น ชื่อบริษัท / ชื่อทัวร์ หรือชื่อสถานที่ ส่วนโซนชั้น 3 เป็นโซนจัดแสดงประวัติของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ซึ่งมีรายละเอียดทำเนียบของผู้บริหารตั้งแต่ยุคก่อตั้ง ปี 1908 จนถึงปัจจุบัน
พิกัด พิพิธภัณฑ์แห่งชาติไต้หวัน :
https://maps.app.goo.gl/XSD53GPJxfpcXmny5
ธงเปื้อนรอยเลือดของไต้หวัน
ธงชาติญี่ปุ่น มีเขียนตัวอักษรลงไปด้วย แอบน่ากลัวอยู่เหมือนกัน
ออกจากพิพิธภัณฑ์ก็เป็นเวลาเที่ยงกว่าแล้ว จะไปเดินพิพิธภัณฑ์ฝั่งตรงข้ามก็คงจะใช้เวลามากเกินไป เราจึงมุ่งสู่จุดหมายต่อไปของเราคือ ไปปั่นรถรางปลาปักเป้าชมวิวทะเล หรือที่เรียกว่า Shen'ao Rail Bike (อ่านว่า เสินอ่าว) อยู่ในเขตรุ่ยฟาง (Ruifang) อยู่ฝั่งตะวันออกของไต้หวัน เป็นเขตที่อยู่ติดทะเล ซึ่งเท่าที่อ่านรีวิวมาคือ ควรจองผ่านเว็บไซต์ไปก่อน แต่ด้วยความที่ทริปของเราเป็นทริปแบบไหลไปเรื่อย ไม่เคร่งเรื่องเวลามากนัก เราเลยตัดสินใจกันว่าไม่ต้องจองก็แล้วกัน ได้ปั่นก็ดี ไม่ได้ปั่นก็ไม่เป็นไร เราจึงเดินไปขึ้นรถไฟ TRA ที่ Taipei main station ซึ่งรถไฟ TRA นี้ เป็นสายรถไฟที่วิ่งรอบเกาะไต้หวันเลย ถ้าใครจะนั่งไปลงเมืองอื่น ๆ นอกจากไทเป ก็สามารถไปได้แบบสบายมาก ซึ่งแน่นอนว่าเราสามารถใช้ Easy card ในการสแกนเข้าสู่สถานีได้ทันที
ด้านหน้าสถานี TRA มีความคล้ายญี่ปุ่นเหมือนกันนะ
แต่สำหรับเราทั้งคู่ การนั่งรถไฟ TRA นั้น เป็นการโดยสารรถสาธารณะที่เราสับสนที่สุดแล้ว ในการดูตารางเวลาเดินรถต่าง ๆ เนื่องจากจุดนี้มีภาษาอังกฤษค่อนข้างน้อย ส่วนมากจะเป็นภาษาจีน รวมไปถึงทางลงสู่ Platform มีหลายทางมาก และเมื่อลงสู่ Platform แล้ว ยังแบ่งเป็นฝั่งซ้ายและฝั่งขวาอีก ทำให้เราต้องถามเจ้าหน้าที่ไปตลอดทาง แต่ข้อดีก็คือเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ทุกคน ประกอบกับใช้ Google Translate ในการสแกนดูตารางเวลา ก็พอจะเข้าใจเส้นทางเดินรถอยู่บ้าง ซึ่งเรารอรถไฟอยู่ประมาณ 20 นาที ตารางบอกว่ารถไฟจะมาถึงเวลา 13.33 น. ซึ่งก็มาตรงเวลาจริง ๆ ด้วย ซึ่งการตรงต่อเวลาแบบนี้อาจจะหาในหลาย ๆ ประเทศไม่ได้
ภายในชานชาลารอรถไฟใต้ดิน
สภาพของรถไฟภายใน ถือว่าดีในระดับนึงเลย ที่นั่งเป็นเบาะพรม ดูสะอาดสะอ้าน แถมเป็นรถแอร์อีกด้วย เราใช้เวลานั่งรถประมาณ 50 นาที ก็ถึงจุดหมายปลายทาง "สถานีรุ่ยฟาง"
พิกัดสถานี Ruifang :
https://maps.app.goo.gl/Qu6NS23Wfu6qeDDz9
สถานี Ruifang น่าจะเป็นสถานีใหญ่ มีคนลงเพียบเลย
คนลงที่สถานีรุ่ยฟางค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว เราเดินออกไปรอรถบัสสาย 177 ตามที่ google map แนะนำ ที่ป้ายรอรถซึ่งระบุว่าเป็น Ruifang Sightseeing Bus ซึ่งเราทั้งคู่รู้สึกชอบป้ายรอรถของที่นี่มาก คือสามารถจัดการข้อมูลทุกอย่างให้อยู่ในป้ายเดียว โดยใส่รายละเอียดสถานที่ที่รถจะผ่าน / ตารางเวลารถออก / เวลาที่รถจะมาถึงป้าย โดยการทำเป็นป้ายที่สามารถหมุนได้เพื่อประหยัดพื้นที่ และใส่รายละเอียดได้ครบถ้วน เป็นการออกแบบที่เป็น Universal Design อย่างแท้จริง
ป้ายรถที่ระบุรายละเอียดทุกอย่างลงในป้ายเดียว Universal Design มาก
ป้ายบอกเวลาที่ชัดเจนมาก ๆ
มุมมองนอกเมือง ดูมีความเก่าแก่อยู่บ้าง
เรายืนรอรถอยู่พักหนึ่งก็มีประชาชนบางส่วนตามมาสมทบ พร้อมขึ้นรถไปกับเรา รออยู่อึดใจใหญ่ ๆ รถบัสก็มาถึง ซึ่งออกแบบได้น่ารักมาก เป็นหน้าเจ้าคาปิบาร่า อยู่หน้ารถเลย เมื่อขึ้นมาก็แน่นอนว่า ใช้ Easy card สแกนค่าโดยสารบริเวณทางขึ้นได้ทันที เส้นทางที่ผ่านเริ่มเข้าสู่วิวทะเลของมหาสมุทรแปซิฟิก เลียบชายฝั่งไปเรื่อย ๆ จนถึงจุดหมาย Shen'ao Rail Bike เดินต๊อก ๆ เข้าไปก็ต้องตกใจ เพราะเห็นฝูงชนนับหัวคร่าว ๆ ได้ร่วม 50 - 60 ชีวิต คิดว่าน่าจะเป็นกรุ๊ปทัวร์ ยืนเกาะกลุ่มกันบริเวณรถรางที่ใช้ในการปั่น เราจึงเข้าไปสอบถามเจ้าหน้าที่เพื่อจะซื้อบัตร แต่ก็ต้องพบกับความผิดหวังเมื่อเจ้าหน้าที่ตอบเรามาว่า "No booking , No ticket" นั่นคือ ถ้าพวกเอ็งไม่ได้จองมา ก็อย่าหวังว่าจะได้ตั๋วของข้าไป
แต่คิดอีกทีก็ดีเหมือนกัน เพราะถึงเราซื้อบัตรได้ ก็คงต้องรอคิวหลังกรุ๊ปทัวร์นี้ น่าจะอย่างต่ำครึ่งชั่วโมง เราจึงเดินออกมาเก็บภาพเป็นที่ระลึกกับน้อง ๆ มาสคอตด้านหน้าแทนให้เป็นสัญลักษณ์ว่ามาถึงแล้ว
พิกัด Shen'ao Rail Bike :
https://maps.app.goo.gl/Si9itmtHDtt5C6WY9
ถนนด้านหน้า Shen'ao Rail Bike เงียบสงบมาก ๆ
อ่านต่อในคอมเม้นท์นะครับ
Taiwan 1st time [Day 2/5]
Day 2/5
**ท่านใดยังไม่ได้อ่าน Day 1/5 สามารถตามไปอ่านในลิงก์นี้ได้เลยครับ**
>>> https://pantip.com/topic/43891637<<<
เนื่องจากเมื่อคืนเราทั้งคู่เหนื่อยล้ากันมาก ประกอบกับเมื่อคืนกว่าจะเข้านอนก็ปาเข้าไปเกือบตี 1 รวมทั้งบนเครื่องขามา ก็หลับ ๆ ตื่น ๆ มาตลอดทาง ทำให้เช้าวันที่สอง เราลืมตาตื่นมาก็เกือบ 08.30 น. แล้ว แต่ก็ถือว่าได้ชาร์จพลังอย่างเต็มที่ แผนการเช้านี้ของเราคือ จะไปกินมื้อเช้าที่ร้านบะหมี่ Liu Shandong ที่มีคนแนะนำมาหลายรีวิวแล้วว่าเป็นบะหมี่เนื้อตุ๋นเจ้าดัง และอยู่ไม่ไกลจากที่พักของเรามากนัก เดินไปจนถึงร้าน ถึงกับตะลึงพรึงเพริด เนื่องจากประชาชนต่อแถวมาลิ้มลองรสยาวมาก จากการประเมินแล้วน่าจะไม่ต่ำกว่า 20 คน เราจึงถอดใจเดินย้อนกลับไปร้านที่เพิ่งผ่านมา ชื่อร้านอะไรไม่ทราบ เพราะทั้งร้านเป็นภาษาจีน เห็นคุณลุงคุณป้ากำลังนั่งห่อเกี๊ยวอยู่หน้าร้าน จึงไปถามว่าร้านเปิดหรือยัง แต่คุณลุงตอบมาว่า เวลานี้ยังไม่พร้อมให้บริการใด ๆ เราจึงปักหมุดร้านนี้ไว้ เพื่อตั้งใจว่าจะมาลองแน่นอน
พิกัดร้านบะหมี่ Liu Shandong ที่ผมพลาดไป : https://maps.app.goo.gl/6GagfsnbQECkwKs76
จากนั้นเราจึงพากันเดินทอดน่อง ชมบรรยากาศกรุงไทเป และผู้คนที่เดินขวักไขว่ในเช้าวันเสาร์ จุดหมายคือ "พิพิธภัณฑ์แห่งชาติไต้หวัน" เราจึงวางแผนกันว่าไปหามื้อเช้ากินแถวนั้นก็แล้วกัน เดินไปจนเกือบถึงแล้ว ก็บังเอิญไปเจอร้านขายอาหารจานเดียวสไตล์ไต้หวัน ชื่อเสียงเรียงนามคือ Ching Chuan Lu Ro Fun ตั้งอยู่ในโรงแรม Check inn Taipei Main Station อยู่ฝั่งถนน Huaining ฝั่งตรงข้ามกับ 228 Peace Memorial Park ซึ่งน่าจะเป็นร้านใหม่ เพราะป้ายเขียนไว้ว่า since 2025 ขนาดค้นหาใน Google map ยังไม่มีชื่อร้านเลย เราที่หิวท้องกิ่วทั้งคู่จึงเข้าไปนั่ง บรรยากาศโดยรอบยังไม่มีลูกค้ามาเลยซักคน เราสั่งข้าวหมูตุ๋นคนละชาม และซุปไก่ใส่พริกเขียวดอง ข้าวหมูตุ๋นของที่นี่น่าจะเป็นข้าวญี่ปุ่น เม็ดเล็ก ๆ สั้น ๆ ส่วนหมูก็หั่นเป็นแบบเป็นลูกเต๋าเล็ก ๆ รสชาติค่อนข้างเอนเอียงไปทางเค็ม ๆ มัน ๆ ซึ่งคนไทยที่ติดความนัวไม่สันทัดซักเท่าไรนัก แต่ทีเด็ดคือซุปไก่พริกเขียวดอง อร่อยเฉยเลย ไก่นุ่มเหมือนไก่ตามร้านข้าวมันไก่ที่เป็นไก่เลี้ยง เนื้อไม่สาก พริกเขียวดองก็มีความเผ็ดร้อน และความเปรี้ยวจากการดอง รวมทั้งเคี้ยวง่าย นิ่มแต่ไม่เละ เพิ่มความสดชื่นด้วยขิงฝานแว่น และเก๋ากี้ เพิ่มพลังในเช้านี้ได้เป็นอย่างดี
พิกัดร้านอาหารเช้ายังไม่มี เอาพิกัดโรงแรม Check inn มาให้ก่อน เพราะร้านอยู่ในโรงแรมเลยครับ : https://maps.app.goo.gl/XmQfn7gKWSvqt1HQ8
มื้อเช้าของเรา เค็ม ๆ มัน ๆ (ไปนิด)
อิ่มท้องแล้วเราจึงข้ามถนนมุ่งสู่ 228 Peace Memorial Park สวนสาธารณะขนาดใหญ่ใจกลางกรุงไทเป สถานที่แห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์สังหารหมู่ชาวไต้หวัน ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 1947 (2/28) ของรัฐบาลก๊กมินตั๋งต่อประชาชน โดยถึงแม้ว่าวันนี้แสงแดดจะส่องสว่างให้รับวิตามินดีกันอย่างเต็มที่ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกถึงไอร้อนใด ๆ เลย มีลมเย็นเข้าปะทะหน้า ปะทะร่างกายตลอดเวลา ทำให้เราเห็นว่าจะมีคนมาทำกิจกรรมกลางแจ้งตลอดทั้งวัน มีทั้งวิ่งออกกำลังกาย พ่อแม่พาลูก ๆ มาเดินเล่น หรือกลุ่มผู้สูงอายุที่จับกลุ่มกายบริหารกัน เราเดินถ่ายรูปกัน 3 - 4 แชะ จึงได้มุ่งเข้าสู่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติไต้หวัน
จริงๆ Park นี้ใหญ่มากนะ แต่ด้วยเวลาที่จำกัด ประกอบกับที่ตื่นสาย เลยไม่มีเวลาเดินมากนัก
พิพิธภัณฑ์แห่งชาติไต้หวัน ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของสวนสาธารณะ ลักษณะภายนอกออกแบบเป็นอาคารทรงยุโรปสไตล์คลาสสิค แบบเสาขนาดใหญ่ ๆ ตัน ๆ ที่นี่สามารถใช้ Easy card จ่ายเข้าได้เลย ราคาคนละ 30 NT จ่ายราคาเดียว หรือจะไปซื้อบัตรเข้ากับพนักงานก็ได้ ไม่ได้แบ่งว่าเป็นชาวไต้หวันหรือชาวต่างชาติ ซึ่งจะได้บัตรผ่านประตูเข้าพิพิธภัณฑ์ ซึ่งเราเพิ่งมารู้ว่า สามารถใช้ผ่านเข้าพิพิธภัณฑ์ Land Bank Exhibition Hall ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามได้ด้วย เรามองจากภายนอกคิดว่าเป็นธนาคาร แต่ในวันนี้เราขอเที่ยวชมที่นี่ให้เต็มที่ก่อน ถ้ามีเวลาเหลือค่อยข้ามไปดูอีกที่กัน
ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ เป็นอาคารสไตล์ยุโรปคลาสสิค
ในวันนี้พิพิธภัณฑ์มีจัดกิจกรรมสำหรับเด็กด้วย ทำให้เราได้ยินเสียงเล็กเสียงน้อยจากเด็ก ๆ เต็มไปหมด แต่เด็กที่มาเที่ยวที่นี่ถือว่ามีวุฒิภาวะค่อนข้างดี ไม่ส่งเสียงดังหรือซนมากนัก โดยชั้น 1 เป็นโซนเน้นเรื่องของฟอสซิลไดโนเสาร์ บรรพชีวินวิทยา ที่พบในพื้นที่ของไต้หวัน และ Timeline ของโลกในยุคต่าง ๆ ฟอสซิลของที่นี่เป็นทั้งของจริงผสมกับของจำลอง แต่ก็สามารถออกแบบได้ค่อนข้างน่าสนใจ เช่น ทำแบบจำลองให้ผู้ชมสามารถลองสัมผัสว่า ผิวหนังของสัตว์โบราณต่าง ๆ น่าจะมีผิวสัมผัสอย่างไร หรือกระดูกส่วนที่ขุดพบ คือกระดูกส่วนไหนของร่างกาย โดยจำลองหุ่นไดโนเสาร์สามมิติ และนำกระดูกส่วนดังกล่าวไปทาบในแต่ละจุด ทำให้เห็นภาพชัดขึ้นกว่านำกระดูกมาเรียง ๆ กันในตู้โชว์
บัตรเข้าชม 1 ใบ สามารถเข้าได้ 2 พิพิธภัณฑ์
ชั้นที่ 2 เป็นโซนประวัติศาสตร์ของไต้หวัน ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร ตั้งแต่ในอดีตถึงปัจจุบัน โดยจุดที่เรารู้สึกทึ่งมาก คือธงของไต้หวันที่ใส่กรอบกระจกโชว์ไว้ ซึ่งบริเวณที่เป็นสีแดงของธง ถูกแทนที่ด้วยรอยเลือดของกลุ่มต่อต้านคอมมิวนิสต์ ที่เห็นแล้วรู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูก รวมทั้งจุดอื่น ๆ ที่แสดงภาพโบราณ การเข้ามาปกครองโดยญี่ปุ่น และช่วงเวลาต่าง ๆ ที่มีความสำคัญ ตั้งแต่ยุคบุกเบิกที่ตะวันตกค้นพบเกาะไต้หวัน ซึ่งเราสัมผัสได้เลยว่า ชาวไต้หวันดูจะภูมิใจในคำว่า "Formosa" มาก ๆ ซึ่งเป็นชื่อดั้งเดิมที่ชาวโปรตุเกสโพ้นทะเลใช้เรียกเกาะไต้หวัน แปลว่า "เกาะแห่งความสวยงาม" ซึ่งชาวไต้หวันจะใช้ในการตั้งชื่อต่าง ๆ เช่น ชื่อบริษัท / ชื่อทัวร์ หรือชื่อสถานที่ ส่วนโซนชั้น 3 เป็นโซนจัดแสดงประวัติของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ซึ่งมีรายละเอียดทำเนียบของผู้บริหารตั้งแต่ยุคก่อตั้ง ปี 1908 จนถึงปัจจุบัน
พิกัด พิพิธภัณฑ์แห่งชาติไต้หวัน : https://maps.app.goo.gl/XSD53GPJxfpcXmny5
ธงเปื้อนรอยเลือดของไต้หวัน
ธงชาติญี่ปุ่น มีเขียนตัวอักษรลงไปด้วย แอบน่ากลัวอยู่เหมือนกัน
ออกจากพิพิธภัณฑ์ก็เป็นเวลาเที่ยงกว่าแล้ว จะไปเดินพิพิธภัณฑ์ฝั่งตรงข้ามก็คงจะใช้เวลามากเกินไป เราจึงมุ่งสู่จุดหมายต่อไปของเราคือ ไปปั่นรถรางปลาปักเป้าชมวิวทะเล หรือที่เรียกว่า Shen'ao Rail Bike (อ่านว่า เสินอ่าว) อยู่ในเขตรุ่ยฟาง (Ruifang) อยู่ฝั่งตะวันออกของไต้หวัน เป็นเขตที่อยู่ติดทะเล ซึ่งเท่าที่อ่านรีวิวมาคือ ควรจองผ่านเว็บไซต์ไปก่อน แต่ด้วยความที่ทริปของเราเป็นทริปแบบไหลไปเรื่อย ไม่เคร่งเรื่องเวลามากนัก เราเลยตัดสินใจกันว่าไม่ต้องจองก็แล้วกัน ได้ปั่นก็ดี ไม่ได้ปั่นก็ไม่เป็นไร เราจึงเดินไปขึ้นรถไฟ TRA ที่ Taipei main station ซึ่งรถไฟ TRA นี้ เป็นสายรถไฟที่วิ่งรอบเกาะไต้หวันเลย ถ้าใครจะนั่งไปลงเมืองอื่น ๆ นอกจากไทเป ก็สามารถไปได้แบบสบายมาก ซึ่งแน่นอนว่าเราสามารถใช้ Easy card ในการสแกนเข้าสู่สถานีได้ทันที
ด้านหน้าสถานี TRA มีความคล้ายญี่ปุ่นเหมือนกันนะ
แต่สำหรับเราทั้งคู่ การนั่งรถไฟ TRA นั้น เป็นการโดยสารรถสาธารณะที่เราสับสนที่สุดแล้ว ในการดูตารางเวลาเดินรถต่าง ๆ เนื่องจากจุดนี้มีภาษาอังกฤษค่อนข้างน้อย ส่วนมากจะเป็นภาษาจีน รวมไปถึงทางลงสู่ Platform มีหลายทางมาก และเมื่อลงสู่ Platform แล้ว ยังแบ่งเป็นฝั่งซ้ายและฝั่งขวาอีก ทำให้เราต้องถามเจ้าหน้าที่ไปตลอดทาง แต่ข้อดีก็คือเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ทุกคน ประกอบกับใช้ Google Translate ในการสแกนดูตารางเวลา ก็พอจะเข้าใจเส้นทางเดินรถอยู่บ้าง ซึ่งเรารอรถไฟอยู่ประมาณ 20 นาที ตารางบอกว่ารถไฟจะมาถึงเวลา 13.33 น. ซึ่งก็มาตรงเวลาจริง ๆ ด้วย ซึ่งการตรงต่อเวลาแบบนี้อาจจะหาในหลาย ๆ ประเทศไม่ได้
ภายในชานชาลารอรถไฟใต้ดิน
สภาพของรถไฟภายใน ถือว่าดีในระดับนึงเลย ที่นั่งเป็นเบาะพรม ดูสะอาดสะอ้าน แถมเป็นรถแอร์อีกด้วย เราใช้เวลานั่งรถประมาณ 50 นาที ก็ถึงจุดหมายปลายทาง "สถานีรุ่ยฟาง"
พิกัดสถานี Ruifang : https://maps.app.goo.gl/Qu6NS23Wfu6qeDDz9
สถานี Ruifang น่าจะเป็นสถานีใหญ่ มีคนลงเพียบเลย
คนลงที่สถานีรุ่ยฟางค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว เราเดินออกไปรอรถบัสสาย 177 ตามที่ google map แนะนำ ที่ป้ายรอรถซึ่งระบุว่าเป็น Ruifang Sightseeing Bus ซึ่งเราทั้งคู่รู้สึกชอบป้ายรอรถของที่นี่มาก คือสามารถจัดการข้อมูลทุกอย่างให้อยู่ในป้ายเดียว โดยใส่รายละเอียดสถานที่ที่รถจะผ่าน / ตารางเวลารถออก / เวลาที่รถจะมาถึงป้าย โดยการทำเป็นป้ายที่สามารถหมุนได้เพื่อประหยัดพื้นที่ และใส่รายละเอียดได้ครบถ้วน เป็นการออกแบบที่เป็น Universal Design อย่างแท้จริง
ป้ายรถที่ระบุรายละเอียดทุกอย่างลงในป้ายเดียว Universal Design มาก
ป้ายบอกเวลาที่ชัดเจนมาก ๆ
มุมมองนอกเมือง ดูมีความเก่าแก่อยู่บ้าง
เรายืนรอรถอยู่พักหนึ่งก็มีประชาชนบางส่วนตามมาสมทบ พร้อมขึ้นรถไปกับเรา รออยู่อึดใจใหญ่ ๆ รถบัสก็มาถึง ซึ่งออกแบบได้น่ารักมาก เป็นหน้าเจ้าคาปิบาร่า อยู่หน้ารถเลย เมื่อขึ้นมาก็แน่นอนว่า ใช้ Easy card สแกนค่าโดยสารบริเวณทางขึ้นได้ทันที เส้นทางที่ผ่านเริ่มเข้าสู่วิวทะเลของมหาสมุทรแปซิฟิก เลียบชายฝั่งไปเรื่อย ๆ จนถึงจุดหมาย Shen'ao Rail Bike เดินต๊อก ๆ เข้าไปก็ต้องตกใจ เพราะเห็นฝูงชนนับหัวคร่าว ๆ ได้ร่วม 50 - 60 ชีวิต คิดว่าน่าจะเป็นกรุ๊ปทัวร์ ยืนเกาะกลุ่มกันบริเวณรถรางที่ใช้ในการปั่น เราจึงเข้าไปสอบถามเจ้าหน้าที่เพื่อจะซื้อบัตร แต่ก็ต้องพบกับความผิดหวังเมื่อเจ้าหน้าที่ตอบเรามาว่า "No booking , No ticket" นั่นคือ ถ้าพวกเอ็งไม่ได้จองมา ก็อย่าหวังว่าจะได้ตั๋วของข้าไป
แต่คิดอีกทีก็ดีเหมือนกัน เพราะถึงเราซื้อบัตรได้ ก็คงต้องรอคิวหลังกรุ๊ปทัวร์นี้ น่าจะอย่างต่ำครึ่งชั่วโมง เราจึงเดินออกมาเก็บภาพเป็นที่ระลึกกับน้อง ๆ มาสคอตด้านหน้าแทนให้เป็นสัญลักษณ์ว่ามาถึงแล้ว
พิกัด Shen'ao Rail Bike : https://maps.app.goo.gl/Si9itmtHDtt5C6WY9
ถนนด้านหน้า Shen'ao Rail Bike เงียบสงบมาก ๆ
อ่านต่อในคอมเม้นท์นะครับ