ตอนที่ 12 จักรวรรดิที่พระอาทิตย์ไม่ตกดิน ค.ศ.1830-1885

ทวีปเอเชียที่ครั้งหนึ่งเคยรุ่งเรืองและเป็นและเป็นบ่อเกิดของวิทยาการมากมาย บัดนี้กำลังถูกรุกรานด้วย “เครื่องจักร” ของชาวตะวันตก

ความต้องการใช้ทรัพยากรเพื่อป้อนโรงงานในยุโรปได้ขับเคลื่อนเหล่าผู้เจริญกว่าให้เข้ามายึดครองทรัพยากรจากโลกตะวันออกด้วยการติดต่อให้ประเทศเหล่านั้นเปิดประเทศเพื่อการค้าเสรี
หากใครไม่ยอมก็ใช้กองทัพที่ทรงพลังกว่าเข้าบังคับให้เปิดประเทศหรือแม้กระทั่งยึดครองเป็นอาณานิคม

นโยบายการขยายอำนาจเช่นนี้ ถูกเรียกว่า “ลัทธิจักรวรรดินิยม”

ความรุ่งเรืองของโลกตะวันออกที่มีมานานนับพันปี
กําลังเข้าสู่ช่วงเวลาท้าทายที่สุดเท่าที่เคยพบเจอ
อังกฤษ ประเทศที่พัฒนาอุตสาหกรรมจนก้าวหน้า
สิ่งที่ต้องการในเวลานี้ คือ วัตถุดิบและตลาด
หลังจากที่สูญเสียดินแดนอาณานิคมอย่างสหรัฐอเมริกา
ทําให้อังกฤษต้องหาอาณานิคมแห่งใหม่เป้าหมายจึงถูกพุ่งเป้ามาที่ทวีปเอเชีย
เพื่อสร้าง“จักรวรรดินิยมยุคใหม่”

เหยื่อรายที่ 1 อินเดีย
อดีตจักรวรรดิที่มั่งคั่งไปด้วยอารยธรรม และอุดมสมบูรณ์ไปด้วยเครื่องเทศ แต่ข้อเสียเปรียบของอินเดียคือ ความขัดแย้งทางศาสนา ดินแดนแห่งนี้มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวฮินดู แต่ถูกปกครองด้วยราชวงศ์ของชาวมุสลิม

จุดอ่อนนี้ ทําให้บริษัทบริติช อีสต์ อินเดีย บริษัทการค้าซึ่งตอนนี้อยู่ภายใต้ การควบคุมของรัฐบาลอังกฤษ ใช้นโยบาย “แบ่งแยกแล้วปกครอง” ค่อยๆ รุกราน และครอบครองอินเดียไปเรื่อยๆ อินเดียกลายเป็นแหล่งเพาะปลูกฝ้าย วัตถุดิบที่สําคัญสําหรับโรงงานของ อังกฤษแทนที่สหรัฐอเมริกาที่เสียไป ความพยายามเฮือกสุดท้ายของทหารอินเดียกว่าแสนนาย นํามาสู่การก่อกบฏ ซีปอย (Sepoy Mutiny) เพื่อต่อต้านอังกฤษ แต่ก็พบกับความพ่ายแพ้ในที่สุด รัฐบาลอังกฤษยุบบริษัทบริติช อีสต์ อินเดีย และเข้าควบคุมอินเดียโดยตรง โดยให้ดินแดนแห่งนี้ชื่อ “บริติชราช”

บริติชราช มีข้าหลวงใหญ่ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้แทนปกครองอินเดีย และ พระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งอังกฤษทรงราชาภิเษกเป็นจักรพรรดินีแห่ง
อินเดีย

เหยื่อรายที่ 2 จีน
จักรวรรดิยิ่งใหญ่ที่ประชากรส่วนใหญ่มีเชื้อสายเดียวกัน ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิเต้ากวงแห่งราชวงศ์ชิง แม้การค้าขายระหว่างอังกฤษกับจีนจะเจริญก้าวหน้า แต่สิ่งที่ชาวอังกฤษนํา เข้ามาค้าขาย แล้วทําให้คนจีนเกือบ 12 ล้านคนต้องติดงอมแงมก็คือ “ปิ่น” ปี ค.ศ. 1830 จีนนําเข้าฝิ่นจากอังกฤษสูงถึง 1,400 ตัน

การที่ชาวจีนติดฝิ่น ส่งผลให้เกิดอาชญากรรมพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ จน จักรพรรดิเต้ากวงต้องสั่งให้ยุติการค้าฝิ่นกับอังกฤษ และยึดฝุ่นทั้งหมดจาก โกดังในเมืองกวางตุ้งไปทิ้งลงทะเล

อังกฤษจึงยกทัพเรือมาถึงกวางตุ้ง เกิดเป็นสงครามระหว่างอังกฤษกับจีนในปี ค.ศ. 1840 ที่ถูกเรียกว่า “สงครามฝิ่น”

จากดินแดนที่ชาวจีนเคยดูถูกว่า ป่าเถื่อน และไม่รู้จักธรรมเนียม บัดนี้ เครื่องจักรของอังกฤษทําให้จีนต้องประสบกับความพ่ายแพ้ ผลของสงครามฝิ่นทําให้จีนทําสนธิสัญญานานกิง ยกเกาะฮ่องกงให้แก่อังกฤษในปี ค.ศ. 1842

ผู้แทนอังกฤษประจําฮ่องกงมีชื่อว่า “เซอร์จอห์น เบาว์ริง”ซึ่งเป็นคนเดียวกับผู้ที่เข้ามามีบทบาทกับราชสํานักสยาม ในสนธิสัญญาเบาว์ริงในปี ค.ศ. 1855

สนธิสัญญาเบาว์ริงทำให้สยามต้องยอมรับความไม่เป็นธรรมในด้านสิทธิสภาพนอกอาณาเขตและภาษีศุลกากร

เหยื่อรายที่ 3 พม่า
จุดเริ่มต้นมาจากกษัตริย์พม่าพยายามขยายดินแดนจนไปชนกับอินเดียของอังกฤษนำมาสู่สงครามระหว่างอังกฤษกับพม่าถึง 3 ครั้ง

สงครามทำให้อังกฤษยึดดินแดนของพม่าเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนท้ายที่สุด พม่าก็ตกเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิอังกฤษอย่างสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1885
พระเจ้าสีป่อ (รีบอ) กษัตริย์องค์สุดท้ายของพม่าต้องถูกเนรเทศไปอยู่อินเดียและ บาฮาดูร์ ซาห์ที่ 2 จักรพรรดิองค์สุดท้ายของอินเดียต้องถูกเนรเทศไปอยู่พม่า

เหยื่อรายที่ 4 มาลายา
แต่เดิมบริเวณนี้เป็นอาณานิคมของเนเธอร์แลนด์
แต่ภายหลังอังกฤษพยายามเข้ายึดครอง จนท้ายที่สุด นำมาสู่สนธิสัญญาแองโกล - ดัตช์ ในปี ค.ศ. 1824

อังกฤษได้ครอบครองปีนังและสิงคโปร์ จนค่อยๆ ขยายจนครอบครองทั้งมาลายาในปี ค.ศ. 1867
บัดนี้ จักรวรรดิอังกฤษได้ครองพื้นที่ไปทั่วทุกทวีป
ตั้งแต่แคนาดาในทวีปอเมริกาเหนือ กายอานาในทวีปอเมริกาใต้ ไอร์แลนด์และมอลตา ในยุโรป
โกลด์โคสต์และอาณานิคมเคปในแอฟริกา
อินเดีย ฮ่องกง พม่า และมาลายา ในทวีปเอเชีย
ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก

เมื่อพระอาทิตย์ตกในดินแดนหนึ่ง จะต้องมีแสงอาทิตย์สาดส่องอยู่ที่ดินแดนหนึ่งเสมอ จักรวรรดิอังกฤษจึงได้ชื่อว่า “จักรวรรดิที่พระอาทิตย์ไม่ตกดิน”จนถึงตอนนี้ ดินแดนทั้งหมดในจักรวรรดิอังกฤษได้ถูกเชื่อมกันด้วยสิ่งประดิษฐ์ที่เรียกว่า โทรเลข (Telegraph) สายเคเบิลที่ฝังอยู่ใต้มหาสมุทร โยงใยไปทั่วโลก กำลังปฏิวัติการสื่อสารข้ามทวีป ในขณะที่การขนส่งถูกเชื่อมด้วย คลองสุเอซ ที่ขุดเสร็จในปี ค.ศ. 1869

ในระยะเวลาการเดินทางระหว่างทวีปยุโรปกับเอเชียได้อย่างมหาศาล อุตสาหกรรมที่เติบโตทำให้มีการตั้งโรงงานมากมาย ประชาชนอพยพจากชนบทเข้ามาเป็นแรงงานในเมือง เกิดชนชั้นแรงงานที่มีความเป็นอยู่ยากจนและย่ำแย่ กรุงลอนดอนกลายเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในปี ค.ศ. 1881 ด้วยจำนวนประชากร 4.5 ล้านคน การขยายตัวของอุตสาหกรรมทำให้มีการขยายกิจการผ่านระบบร่วมทุนในตลาดหุ้น

การออกกฎหมายการร่วมหุ้นในบริษัท (Joint Stock Companies Act) ในปีค.ศ. 1856 ผู้ร่วมลงทุนในหุ้น มีส่วนรับผิดชอบในกิจการของบริษัท เท่ากับจำนวนหุ้นที่ตนถืออยู่ ทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นเริ่มได้รับความนิยม และผลักดันให้
กรุงลอนดอนกลายเป็นศูนย์กลางการเงินของโลก
ความมั่งคั่งของอังกฤษ ทำให้ประเทศต่างๆ ในยุโรป ต่างดำเนินรอยตามด้วยการปฏิวัติอุตสาหกรรม

ผลของมันก็ทำให้ประเทศเหล่านี้ต้องแสวงหาแหล่งวัตถุดิบ และตลาดแหล่งใหม่ และพยายามก่อตั้ง “จักรวรรดินิยมยุคใหม่” เช่นเดียวกันกับอังกฤษ

ประเทศที่ 1 ฝรั่งเศส
หลังจากความวุ่นวายจากสมัยจักรพรรดินโปเลียน โบนาปาร์ต ฝรั่งเศสก็เข้าสู่การปกครองระบอบกษัตริย์อีกครั้ง การปฏิวัติอุตสาหกรรมของฝรั่งเศส
เริ่มก้าวหน้าในสมัยจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 (ค.ศ. 1852 - ค.ศ. 1870) ผู้ซึ่งเป็นหลานลุงของนโปเลียน โบนาปาร์ต ฝรั่งเศสจึงเริ่มก่อตั้งจักรวรรดิของตัวเองในทวีปเอเชีย โดยการยึด โคชินไชน่า
หรือดินแดนทางตอนใต้ของเวียดนามเป็นอาณานิคม แล้วตั้งศูนย์กลางอยู่ที่เมืองไซ่ง่อน

ประเทศที่ 2 จักรวรรดิเยอรมัน
การรวมกันอย่างหลวมๆ ของรัฐในดินแดนเยอรมันครั้งแรกในปี ค.ศ. 1816 นั้นไม่เป็นผลสำเร็จ
แต่ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 1 ทำให้จักรวรรดิเยอรมันรวมกันเป็นผลสำเร็จในปี ค.ศ. 1871 พัฒนาอุตสาหกรรมทั้งถ่านหินและ
เหล็กกล้า และขยายทางรถไฟไปทั่วประเทศ
ทำให้จักรวรรดิเยอรมันที่เพิ่งเกิดใหม่ ค่อยๆ ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำอุตสาหกรรมแห่งยุโรป

ประเทศที่ 3 สหรัฐอเมริกา
การปฏิวัติอุตสาหกรรมข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกมายังสหรัฐอเมริกา แต่โรงงานอุตสาหกรรมยังคงจำกัดอยู่บริเวณรัฐทางเหนือ สงครามกับเม็กซิโกทำให้สหรัฐอเมริกาได้พื้นที่รัฐเทกซัส และขยายดินแดนไปจรดมหาสมุทรแปซิฟิก

การค้นพบทองคำในแคลิฟอร์เนีย ทำให้ผู้คนมากมายอพยพไปตั้งถิ่นฐานยังรัฐทางฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก ในช่วงปี ค.ศ. 1848 - ค.ศ. 1855 หรือเรียกว่ายุคตื่นทอง

ในขณะที่รัฐทางใต้ส่วนใหญ่ยังเป็นเขตเพาะปลูกอ้อยและฝ้าย ซึ่งต้องอาศัยแรงงานทาสเชื้อสายแอฟริกัน การพยายามประกาศเลิกทาส นำมาสู่สงครามระหว่างรัฐทางเหนือกับรัฐทาง
ใต้ หรือ สงครามกลางเมือง (Civil War) ในช่วงปี ค.ศ. 1861 - ค.ศ. 1865 ผลของสงครามจบลงด้วยการยอมจำนนของรัฐทางใต้ เป็นผลให้มีการประกาศเลิกทาสทั่วประเทศ

อุตสาหกรรมของสหรัฐอเมริกาเริ่มขยายตัว ทำให้มีการประกาศรับแรงงาน ผู้อพยพเพิ่มมากขึ้น ผู้คนในยุโรปจำนวนมากจึงเริ่มอพยพไปตั้งถิ่นฐาน
ในสหรัฐอเมริกามากขึ้นเรื่อยๆ

ประเทศที่ 4 ญี่ปุ่น
ประเทศแรกในทวีปเอเชียที่มีการปฏิวัติอุตสาหกรรมก็คือญี่ปุ่น หลังจากที่ปิดประเทศมาเป็นเวลากว่า 200 ปี ในปี ค.ศ. 1853 กองเรือรบของสหรัฐอเมริกาชื่อ East India Squadron หรือที่รู้จักกันในชื่อ เรือดำ ก็บังคับให้ญี่ปุ่นทำการ
เปิดประเทศญี่ปุ่นต่างจากประเทศอื่นๆ ในโลกตะวันออก แทนที่จะต่อต้าน พวกเขาเลือก
ที่จะปฏิรูปครั้งใหญ่ที่รู้จักในชื่อ “การปฏิรูปเมจิ”
ด้วยการเปิดรับวิทยาการใหม่ๆ จากตะวันตก ทั้งอุตสาหกรรม การจัดการกองทัพ และปฏิรูปสังคมใหม่ให้ก้าวรับกับกระแสการเปลี่ยนแปลง
ประเทศเกาะเล็กๆ ที่ไม่มีทรัพยากร เจริญรุดหน้าอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นมหาอำนาจแห่งเอเชีย
และกำลังวางแผนการเพื่อขยายจักรวรรดิของตนเอง

การปฏิวัติอุตสาหกรรมในระยะที่ 2 เกิดขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1861 โดยมีปัจจัยหลัก คือการเปลี่ยนพลังงานจากถ่านหิน มาเป็นน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่จะนำมาสู่การพัฒนาสิ่งประดิษฐ์มากมาย และจะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของมนุษยชาติอีกครั้งหนึ่ง ทั้งยานพาหนะที่สะดวก คล่องตัว ไม่จําเป็นต้องวิ่งบนรางอีกต่อไป

และแสงสว่าง ที่จะเปลี่ยนความมืดมิดของโลกยามราตรีไปตลอดกาล“ยุคแห่งนักประดิษฐ์” ได้เปิดฉากขึ้นแล้ว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่