ความมั่งคั่งและอาณานิคมของมหาอำนาจใน
ยุโรปเริ่มกลายเป็นปัญหา เมื่อการเจริญเติบโตของจักรวรรดิเยอรมัน สร้างความไม่พอใจแก่อดีตเจ้าอาณานิคมอย่างอังกฤษและฝรั่งเศส
ความขัดแย้งบานปลายจนท้ายที่สุดก็นำมาสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ในปีค.ศ. 1914 - ค.ศ. 1918
สงครามโลกครั้งนี้คร่าชีวิตผู้คนไป 10 ล้านคน บาดเจ็บและสูญหายอีกกว่า 30 ล้านคน และนำความล่มสลายมาสู่หลายอาณาจักร ทั้งผู้ชนะอย่างจักรวรรดิรัสเซียและผู้พ่ายแพ้อย่างจักรวรรดิเยอรมัน จักรวรรดิออตโตมัน และจักรวรรดิ
ออสเตรีย-ฮังการี
จักรวรรดิรัสเซียถูกเปลี่ยนแปลงการปกครองด้วยการปฏิวัติโดยพรรคบอลเชวิคในปี ค.ศ. 1917 กลายเป็นสหภาพโซเวียต
สงครามโลกทำให้ยุโรปทั้งทวีปหยุดชะงัก
ในขณะที่ทวีปเก่ากำลังเสื่อมถอย ความยิ่งใหญ่กลับเริ่มต้นขึ้นบนทวีปใหม่
การขุดคลองปานามาสำเร็จในปี ค.ศ. 1912 ช่วยย่นระยะเวลาการขนส่งจากสหรัฐอเมริกาไปยังทวีปเอเชียได้มหาศาล น้ำมันเริ่มเป็นทรัพยากรสำคัญที่ทำให้เกิดการขยายตัวของอุตสาหกรรมทุก
ภาคส่วนและเรื่องนี้ทำให้ Standard Oil บริษัทน้ำมันสัญชาติอเมริกันกลายเป็นผู้กลั่นน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก บริษัทนี้มีผู้ก่อตั้งคือ John D. Rockefeller ได้กลายเป็นมหาเศรษฐีที่รวย
ทีสุดในโลกในทศวรรษนั้น ถ้าเทียบเป็นค่าเงินปัจจุบันเขาจะมีทรัพย์สินมูลค่า 12.56 ล้านล้านบาท
แต่การดำเนินธุรกิจที่ผูกขาด นำมาสู่การออกกฎหมายต่อต้านการจำกัดกีดกันทางการค้าของสหรัฐอเมริกา บริษัท Standard Oil ถูกพิพากษาว่าทำผิดกฎหมาย จนต้องแยกกิจการในปี
ค.ศ. 1911 แต่ถ้าถามว่าสิ่งไหนเปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้คนไปตลอดกาลคงหนีไม่พ้นคำว่า “กระแสไฟฟ้า”
บริษัท General Electric ถูกก่อตั้งจากการควบรวมหลายบริษัทโดยนายธนาคารชื่อ J.P. Morgan
JP Morgan ได้แสดงฝีมือควบรวมบริษัทอีกครั้ง โดยทำให้บริษัทเหล็กกล้าชื่อ U.S. Steel Corporation ได้กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก
ในขณะนั้น อุตสาหกรรมเหล็กกล้าบูมสุดขีด ก็เพราะมีการสร้างตึกระฟ้ามากมายและตึกสูงที่สุดในโลกในเวลานั้นคือ อาคาร Woolworth มีความสูง 241 เมตร ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ใจกลางแมนฮัตตันในนครนิวยอร์ก
อย่างไรก็ตาม..เมืองใหญ่ที่สุดในโลกในช่วงเวลานั้น ก็ยังคงเป็นกรุงลอนดอน ด้วยจำนวนประชากร 7.5 ล้านคนในปี ค.ศ. 1919 จักรวรรดิอังกฤษยังคงเป็นจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่แม้ดินแดนหลายแห่งจะอยู่ในสถานะ “รัฐในอารักขา” คือ มีอำนาจในการปกครองตนเอง แต่ไม่มีอำนาจทางการทหาร เช่น มาลายา พม่า อียิปต์ คูเวต และอินเดีย
อำนาจทางเศรษฐกิจของดินแดนเหล่านี้ก็ยังคงตกอยู่ภายใต้การควบคุมของจักรวรรดิอังกฤษ
กรุงลอนดอนจึงเป็นเสมือนศูนย์กลางการเงินและการค้าของโลก แต่ความเจริญก้าวหน้าของโลกตะวันตกทำให้จักรวรรดิใหญ่อย่างจีนระส่ำระสาย
เมื่อระบอบการปกครองที่มีมานานนับพันปีไม่สามารถรับมือกับโลกที่เปลี่ยนแปลงไป
จนท้ายที่สุดก็ไม่อาจต้านทานกระแสแห่งการปฏิวัติซินไฮในปี ค.ศ. 1912
ส่งผลให้ราชวงศ์ชิง ต้องยุติบทบาทการปกครอง และเปลี่ยนจักรวรรดิให้อยู่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยภายใต้การนำของ ซุน ยัตเซ็น
ประเทศที่มีประชากรมากที่สุด 5 อันดับแรก ในปี ค.ศ. 1919 คือ....
สาธารณรัฐจีน 466.8 ล้านคน
อินเดีย 305.3 ล้านคน
สหภาพโซเวียต 154.6 ล้านคน
สหรัฐอเมริกา 105.5 ล้านคน
สาธารณรัฐไวมาร์ (เยอรมนีปัจจุบัน) 60.8 ล้านคน
ขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุด 5 อันดับแรก ในปี ค.ศ. 1919 เมื่อเทียบเป็นมูลค่าเงินในปี ค.ศ. 2018
สหรัฐอเมริกา 36.2 ล้านล้านบาท
สาธารณรัฐจีน 14.5 ล้านล้านบาท
สหภาพโซเวียต 14.2 ล้านล้านบาท
สหราชอาณาจักร 13.9 ล้านล้านบาท
อินเดีย 12.6 ล้านล้านบาท
นับเป็นการเปิดฉากศตวรรษใหม่ในประวัติศาสตร์ ที่สหรัฐอเมริกาได้ก้าวขึ้นมาเป็นประเทศอันดับหนึ่งด้านเศรษฐกิจบริษัทระดับโลกที่เริ่มถือกำเนิดในช่วงทศวรรษนี้ ประกอบไปด้วย
Paramount Pictures ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1912
บริษัทผลิตภาพยนตร์ที่ถือกำเนิดพร้อมการเติบโตของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่เรียกว่า Hollywood
BMW ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1916
บริษัทรถยนต์สัญชาติเยอรมันที่ถือกำเนิดมาจากการเป็นผู้ผลิตเครื่องยนต์ของเครื่องบิน Boeing ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1916 บริษัทเครื่องบินสัญชาติอเมริกัน ก่อตั้งโดยอดีตประธานบริษัทค้าไม้และ
ต่อเรือ ผู้หันมาหลงใหลในโลกของการบิน
Panasonic ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1918 บริษัทอิเล็กทรอนิกส์ ที่ถือกำเนิดจากการประดิษฐ์หลอดไฟแบบใหม่ของนักประดิษฐ์ชาวญี่ปุ่น
Olympus ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1919
บริษัทอิเล็กทรอนิกส์ที่ถือกำเนิดจากความฝันที่จะผลิตกล้องจุลทรรศน์ใช้เองภายในประเทศญี่ปุ่น
จะเห็นได้ว่าประเทศญี่ปุ่นเริ่มมีเทคโนโลยีที่ก้าวทันฝั่งตะวันตกในขณะที่ฝั่งยุโรปก็กำลังฟื้นฟูตัวเองหลังสงครามโลกครั้งที่ 1
หลังจบสงคราม ฝ่ายสัมพันธมิตรผู้ชนะสงคราม นำโดยอังกฤษและฝรั่งเศส ได้ร่างสนธิสัญญา
สันติภาพมีชื่อว่า “สนธิสัญญาแวร์ซาย” ขึ้น โดยมีใจความว่า
“ให้จักรวรรดิเยอรมันผู้พ่ายแพ้ต้องยินยอมรับผิดในฐานะผู้ก่อสงครามแต่เพียงผู้เดียว”
เยอรมันถูกปลดอาวุธ ถูกจำกัดอาณาเขตดินแดน และต้องชดใช้ค่าปฏิกรรมสงครามให้แก่กลุ่มประเทศผู้ชนะเป็นจำนวนมหาศาล
อย่างไรก็ตามสนธิสัญญาแวร์ซายนี้ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ในการสร้างสันติภาพแต่อย่างใด หากเป็นการบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชัง
ซึ่งจะทำให้สงครามครั้งใหม่ปะทุอีกครั้งเมื่อเวลาที่เหมาะสมมาถึง..
ตอนที่ 15 ทวีปใหม่รุ่งโรจน์ ทวีปเก่าเสื่อมถอย ค.ศ.1910-1919
ยุโรปเริ่มกลายเป็นปัญหา เมื่อการเจริญเติบโตของจักรวรรดิเยอรมัน สร้างความไม่พอใจแก่อดีตเจ้าอาณานิคมอย่างอังกฤษและฝรั่งเศส
ความขัดแย้งบานปลายจนท้ายที่สุดก็นำมาสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ในปีค.ศ. 1914 - ค.ศ. 1918
สงครามโลกครั้งนี้คร่าชีวิตผู้คนไป 10 ล้านคน บาดเจ็บและสูญหายอีกกว่า 30 ล้านคน และนำความล่มสลายมาสู่หลายอาณาจักร ทั้งผู้ชนะอย่างจักรวรรดิรัสเซียและผู้พ่ายแพ้อย่างจักรวรรดิเยอรมัน จักรวรรดิออตโตมัน และจักรวรรดิ
ออสเตรีย-ฮังการี
จักรวรรดิรัสเซียถูกเปลี่ยนแปลงการปกครองด้วยการปฏิวัติโดยพรรคบอลเชวิคในปี ค.ศ. 1917 กลายเป็นสหภาพโซเวียต
สงครามโลกทำให้ยุโรปทั้งทวีปหยุดชะงัก
ในขณะที่ทวีปเก่ากำลังเสื่อมถอย ความยิ่งใหญ่กลับเริ่มต้นขึ้นบนทวีปใหม่
การขุดคลองปานามาสำเร็จในปี ค.ศ. 1912 ช่วยย่นระยะเวลาการขนส่งจากสหรัฐอเมริกาไปยังทวีปเอเชียได้มหาศาล น้ำมันเริ่มเป็นทรัพยากรสำคัญที่ทำให้เกิดการขยายตัวของอุตสาหกรรมทุก
ภาคส่วนและเรื่องนี้ทำให้ Standard Oil บริษัทน้ำมันสัญชาติอเมริกันกลายเป็นผู้กลั่นน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก บริษัทนี้มีผู้ก่อตั้งคือ John D. Rockefeller ได้กลายเป็นมหาเศรษฐีที่รวย
ทีสุดในโลกในทศวรรษนั้น ถ้าเทียบเป็นค่าเงินปัจจุบันเขาจะมีทรัพย์สินมูลค่า 12.56 ล้านล้านบาท
แต่การดำเนินธุรกิจที่ผูกขาด นำมาสู่การออกกฎหมายต่อต้านการจำกัดกีดกันทางการค้าของสหรัฐอเมริกา บริษัท Standard Oil ถูกพิพากษาว่าทำผิดกฎหมาย จนต้องแยกกิจการในปี
ค.ศ. 1911 แต่ถ้าถามว่าสิ่งไหนเปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้คนไปตลอดกาลคงหนีไม่พ้นคำว่า “กระแสไฟฟ้า”
บริษัท General Electric ถูกก่อตั้งจากการควบรวมหลายบริษัทโดยนายธนาคารชื่อ J.P. Morgan
JP Morgan ได้แสดงฝีมือควบรวมบริษัทอีกครั้ง โดยทำให้บริษัทเหล็กกล้าชื่อ U.S. Steel Corporation ได้กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก
ในขณะนั้น อุตสาหกรรมเหล็กกล้าบูมสุดขีด ก็เพราะมีการสร้างตึกระฟ้ามากมายและตึกสูงที่สุดในโลกในเวลานั้นคือ อาคาร Woolworth มีความสูง 241 เมตร ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ใจกลางแมนฮัตตันในนครนิวยอร์ก
อย่างไรก็ตาม..เมืองใหญ่ที่สุดในโลกในช่วงเวลานั้น ก็ยังคงเป็นกรุงลอนดอน ด้วยจำนวนประชากร 7.5 ล้านคนในปี ค.ศ. 1919 จักรวรรดิอังกฤษยังคงเป็นจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่แม้ดินแดนหลายแห่งจะอยู่ในสถานะ “รัฐในอารักขา” คือ มีอำนาจในการปกครองตนเอง แต่ไม่มีอำนาจทางการทหาร เช่น มาลายา พม่า อียิปต์ คูเวต และอินเดีย
อำนาจทางเศรษฐกิจของดินแดนเหล่านี้ก็ยังคงตกอยู่ภายใต้การควบคุมของจักรวรรดิอังกฤษ
กรุงลอนดอนจึงเป็นเสมือนศูนย์กลางการเงินและการค้าของโลก แต่ความเจริญก้าวหน้าของโลกตะวันตกทำให้จักรวรรดิใหญ่อย่างจีนระส่ำระสาย
เมื่อระบอบการปกครองที่มีมานานนับพันปีไม่สามารถรับมือกับโลกที่เปลี่ยนแปลงไป
จนท้ายที่สุดก็ไม่อาจต้านทานกระแสแห่งการปฏิวัติซินไฮในปี ค.ศ. 1912
ส่งผลให้ราชวงศ์ชิง ต้องยุติบทบาทการปกครอง และเปลี่ยนจักรวรรดิให้อยู่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยภายใต้การนำของ ซุน ยัตเซ็น
ประเทศที่มีประชากรมากที่สุด 5 อันดับแรก ในปี ค.ศ. 1919 คือ....
สาธารณรัฐจีน 466.8 ล้านคน
อินเดีย 305.3 ล้านคน
สหภาพโซเวียต 154.6 ล้านคน
สหรัฐอเมริกา 105.5 ล้านคน
สาธารณรัฐไวมาร์ (เยอรมนีปัจจุบัน) 60.8 ล้านคน
ขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุด 5 อันดับแรก ในปี ค.ศ. 1919 เมื่อเทียบเป็นมูลค่าเงินในปี ค.ศ. 2018
สหรัฐอเมริกา 36.2 ล้านล้านบาท
สาธารณรัฐจีน 14.5 ล้านล้านบาท
สหภาพโซเวียต 14.2 ล้านล้านบาท
สหราชอาณาจักร 13.9 ล้านล้านบาท
อินเดีย 12.6 ล้านล้านบาท
นับเป็นการเปิดฉากศตวรรษใหม่ในประวัติศาสตร์ ที่สหรัฐอเมริกาได้ก้าวขึ้นมาเป็นประเทศอันดับหนึ่งด้านเศรษฐกิจบริษัทระดับโลกที่เริ่มถือกำเนิดในช่วงทศวรรษนี้ ประกอบไปด้วย
Paramount Pictures ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1912
บริษัทผลิตภาพยนตร์ที่ถือกำเนิดพร้อมการเติบโตของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่เรียกว่า Hollywood
BMW ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1916
บริษัทรถยนต์สัญชาติเยอรมันที่ถือกำเนิดมาจากการเป็นผู้ผลิตเครื่องยนต์ของเครื่องบิน Boeing ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1916 บริษัทเครื่องบินสัญชาติอเมริกัน ก่อตั้งโดยอดีตประธานบริษัทค้าไม้และ
ต่อเรือ ผู้หันมาหลงใหลในโลกของการบิน
Panasonic ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1918 บริษัทอิเล็กทรอนิกส์ ที่ถือกำเนิดจากการประดิษฐ์หลอดไฟแบบใหม่ของนักประดิษฐ์ชาวญี่ปุ่น
Olympus ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1919
บริษัทอิเล็กทรอนิกส์ที่ถือกำเนิดจากความฝันที่จะผลิตกล้องจุลทรรศน์ใช้เองภายในประเทศญี่ปุ่น
จะเห็นได้ว่าประเทศญี่ปุ่นเริ่มมีเทคโนโลยีที่ก้าวทันฝั่งตะวันตกในขณะที่ฝั่งยุโรปก็กำลังฟื้นฟูตัวเองหลังสงครามโลกครั้งที่ 1
หลังจบสงคราม ฝ่ายสัมพันธมิตรผู้ชนะสงคราม นำโดยอังกฤษและฝรั่งเศส ได้ร่างสนธิสัญญา
สันติภาพมีชื่อว่า “สนธิสัญญาแวร์ซาย” ขึ้น โดยมีใจความว่า
“ให้จักรวรรดิเยอรมันผู้พ่ายแพ้ต้องยินยอมรับผิดในฐานะผู้ก่อสงครามแต่เพียงผู้เดียว”
เยอรมันถูกปลดอาวุธ ถูกจำกัดอาณาเขตดินแดน และต้องชดใช้ค่าปฏิกรรมสงครามให้แก่กลุ่มประเทศผู้ชนะเป็นจำนวนมหาศาล
อย่างไรก็ตามสนธิสัญญาแวร์ซายนี้ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ในการสร้างสันติภาพแต่อย่างใด หากเป็นการบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชัง
ซึ่งจะทำให้สงครามครั้งใหม่ปะทุอีกครั้งเมื่อเวลาที่เหมาะสมมาถึง..