ตอนที่ 10 จากฟองสบู่สู่ปฏิวัติฝรั่งเศส ค.ศ.1700-1799

"เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ”คือคำขวัญสำหรับการปฏิวัติฝรั่งเศส ที่สร้างผลกระทบในแง่การเมืองไปทั่วโลก

แต่รู้หรือไม่ สาเหตุหนึ่งของการปฏิวัติเริ่มต้นมาจากปัญหาทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะ “ฟองสบู่จากการลงทุน”

ย้อนกลับไปในช่วงต้นศตวรรษที่ 18 รัฐบาลของ 2 ประเทศมหาอำนาจในยุโรป คือ อังกฤษและฝรั่งเศสต่างประสบวิกฤติด้านการเงิน

จุดเริ่มต้นมาจากสงคราม...เมื่อกษัตริย์ของสเปนสวรรคต ฝรั่งเศสจึงขยายอำนาจมายังสเปนที่อ่อนแอ อังกฤษซึ่งกลัวว่าฝรั่งเศสจะรวมกับสเปน จึงประกาศสงครามกับฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1711

ฝ่ายรัฐบาลอังกฤษ ได้กู้เงินมากมายในรูปของพันธบัตร เพื่อมาเป็นค่าใช้จ่ายในการทําสงคราม
ผลลัพธ์ก็คือ รัฐบาลอังกฤษมีหนี้สินเป็นจำนวนมหาศาล บริษัทแห่งทะเลใต้ หรือ South Sea Company จึงถูกตั้งขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาหนี้สินของรัฐบาล และเรียกความเชื่อมั่นของรัฐบาลอังกฤษกลับคืนมา โดยมีไอเดียคือ ให้เจ้าหนี้ของรัฐบาลอังกฤษ สามารถเปลี่ยนหนี้ที่รัฐบาลค้าง
ไว้ มาเป็นหุ้นของบริษัทแทนได้

พูดง่ายๆ คือ นำพันธบัตรรัฐบาลมาแลกกับหุ้น
และเพื่อเป็นการตอบแทนที่บริษัทปลดหนี้ให้ รัฐบาลต้องมอบสัมปทานการผูกขาดการค้าทั้งหมดในแถบทะเลใต้ ซึ่งก็คือ มหาสมุทรแอตแลนติกในแถบทวีปอเมริกาใต้ให้กับบริษัท ซึ่งการค้าหลักๆ ของบริษัทนี้ก็คือ การค้าทาสและการค้าฝ้าย
อย่างไรก็ตาม การค้าขายของบริษัท South Sea ที่ได้รับสัมปทานมานั้นก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร แต่หุ้นของบริษัทกลับทะยาน จากระดับไม่กี่ 10 ปอนด์ไปจนถึงระดับ 1,000 ปอนด์ในเวลาเพียงไม่กี่ปี

ความบ้าคลั่งในการซื้อหุ้นของ บริษัท South Sea กระจายไปทั่ว ผู้ถือหุ้นมีทั้งชนชั้นสูงของอังกฤษ สมาชิกสภา ประชาชนทั้งหลาย ไม่เว้นแม้กระทั่ง
เซอร์ไอแซก นิวตัน อัจฉริยะผู้โด่งดัง

แต่เมื่อผู้บริหารของบริษัทเริ่มเห็นแล้วว่า รายได้ของบริษัทไม่ได้สมดุลกับราคาหุ้นที่บริษัทออกไป คนวงในจึงเริ่มขายหุ้นทั้งหมดออก

แต่เมื่อข่าวนี้รั่วไหลออกไปสู่คนภายนอก ก็ทำให้เกิดการแย่งกันขายหุ้น ต่อมาเมื่อมีการเปิดเผยผลขาดทุนมหาศาลที่ซ่อนอยู่ของบริษัท ในที่สุด บริษัท South Sea ก็ล้มละลายในปี ค.ศ. 1720 หรือภายใน 9 ปีเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ฟองสบู่ South Sea ก็ไม่ได้ส่งผลต่อระบบการเงินของประเทศมากเท่ากับวิกฤติการเงินที่จะเกิดขึ้นในฝรั่งเศส วิกฤติการเงินนั้นถูกเรียกว่า ฟองสบู่มิสซิสซิปปี จุดเริ่มต้นมาจากการสวรรคตของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แต่สิ่งที่ไม่จากไปพร้อมกับพระองค์ก็คือ ภาระหนี้อันมหาศาลผู้สําเร็จราชการพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 จึงตัดสินใจให้ จอห์น ลอว์ (John Law) นักเศรษฐศาสตร์ชาวสกอตแลนด์เข้ามาเป็นที่ปรึกษาการเงินให้กับทางรัฐบาล
ลอว์เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่สนับสนุนทฤษฎีการแทรกแซงของรัฐบาลในการบริหารเศรษฐกิจของประเทศ และเป็นผู้แนะนำการใช้เงินกระดาษ (Fiat
Currency) แทนการใช้โลหะที่มีค่าอย่าง เหรียญทองและเงิน ในการซื้อขาย

ปี 1716 ลอว์ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลให้ตั้งธนาคารกลาง (Banque Generale)ขึ้น และจะรับฝากทองคำและเงินจากประชาชน เพื่อแลกกับธนบัตรที่ธนาคารจะพิมพ์ออกให้ ซึ่งจริงๆ แล้วในตอนนั้นธนบัตรที่ออกมา ยังไม่ใช่เงินตราที่ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย แต่ก็เป็นที่ยอมรับของคนฝรั่งเศส เนื่องจากสามารถนำไปแลกคืนเป็นทองและเงิน ซึ่งเป็นสกุลเงินทางการในตอนนั้นได้

ลอว์ได้เข้าซื้อบริษัทเพื่อทำการค้าในลุยเซียนา ทวีปอเมริกา ซึ่งเป็นดินแดนอาณานิคมของฝรั่งเศส
และแล้วนโยบายการปลดหนี้รัฐบาลฝรั่งเศสของลอว์ก็เริ่มต้นขึ้น

ลอว์รับซื้อหนี้รัฐบาลที่เหลืออยู่ทั้งหมดจากประชาชนด้วย “หุ้น” ของบริษัทมิสซิสซิปปี ซึ่งไม่ต่างอะไรกับอังกฤษ ที่นำพันธบัตรรัฐบาลมาแลกกับหุ้น

ต้นปี 1719 หุ้นของบริษัทถูกนำออกขายในราคา 500 livres (สกุลเงินฝรั่งเศสในสมัยนั้น) ซึ่งจะต้องซื้อด้วยธนบัตรที่พิมพ์ขึ้นจากธนาคาร Banque
Generale หรือพันธบัตรรัฐบาลเท่านั้น ราคาของหุ้นพุ่งขึ้นเป็น 10,000 tivres ต่อหุ้น หรือ 20 เท่าใน 1 ปี ส่งผลให้ ลอว์ช่วยปลดหนี้ของรัฐบาลทั้งหมด รวมถึงคนที่มาซื้อหุ้นก็รวยกันถ้วนหน้า

เหตุผลส่วนหนึ่งที่คนนิยมซื้อหุ้นบริษัทนี้ก็มาจากความเชื่อที่ว่า บริษัทจะสามารถขุดทองคำและเงินได้อย่างมหาศาลจากดินแดนลุยเซียนา อีกส่วนก็มาจาก เงินที่ธนาคารพิมพ์ออกมาอย่างไม่จำกัด เพื่อสนองความต้องการในการซื้อหุ้นของบริษัทนี้ ซึ่งภายในปีเดียว มีเงินถูกพิมพ์เพิ่มขึ้นถึง 186%

จุดที่สำคัญคือ เงินที่พิมพ์ออกมาจำนวนมากนี้ มีจำนวนมากกว่าทองคำและเงินสำรองในธนาคารถึง 4 เท่า วิกฤติเริ่มขึ้น เมื่อคนเริ่มต้องการแลกเงินธนบัตรที่ได้กำไรมาคืนเป็นทองคำ จอห์น ลอว์ แก้เกมด้วย การกำหนดจำนวนทองคำที่สามารถแลกคืนได้ และเพราะทองคำ

ไม่กี่เดือนต่อมาก็ต้องประกาศลดมูลค่าหุ้นและธนบัตรลงครึ่งหนึ่งสำรองขาดแคลน การที่ทองคำและเงินขาดแคลนไม่พอให้แลกนั้น นอกเหนือจากที่จะพิมพ์เงินกระดาษออกมาอย่างมหาศาลแล้ว ดินแดนลุยเซียนาในอเมริกา แท้จริงแล้วเป็นเพียงที่ดินลุ่มน้ำขัง ไม่ได้มีทองให้ขุดส่งมาอย่างที่เชื่อในตอนแรก

และด้วยเงินที่พิมพ์ออกมาเป็นจำนวนมาก ปี ค.ศ. 1720 อัตราเงินเฟ้อของฝรั่งเศสพุ่งสูงไปถึง 23% ต่อเดือน ในขณะที่ราคาหุ้นร่วงลงมาเหลือ 500
livres ในอีก 1 ปีต่อมา

หลังจากนั้นไม่นาน จอห์น ลอว์ ก็แอบหนีออกจากประเทศ ทิ้งให้คนฝรั่งเศสถือแต่กระดาษที่แทบไม่เหลือค่าอะไรเลย.ฟองสบู่ครั้งนี้ทำให้การเงินของฝรั่งเศสถอยหลังอย่างร้ายแรง ผู้คนหวาดกลัว
กับการใช้เงินกระดาษ และเงินเฟ้อทำลายระบบเศรษฐกิจในทุกระดับ นับว่าวิกฤติเศรษฐกิจของฝรั่งเศส หนักหนาสาหัสกว่าในอังกฤษมากและการใช้จ่ายเงินมหาศาลไปกับสงคราม 7 ปี ในทวีปอเมริกาเหนือกลับต้องสูญสลาย เพราะในที่สุดฝรั่งเศสแพ้สงคราม และต้องสูญเสียดินแดนลุยเซียนาให้กับสเปน

ค.ศ.1774 พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ขึ้นครองราชย์ในช่วงเวลาที่สถานะการคลังของฝรั่งเศส
ล้มละลาย...

รัฐบาลไม่เหลือหนทางที่จะหาเงินอีกแล้ว นอกจากการ “ขึ้นภาษี”

ซึ่งผู้เสียภาษีของฝรั่งเศสก็คือ ชนชั้นที่ 3
ฝรั่งเศสในช่วงเวลานั้น แบ่งประชาชนออกเป็น 3 ชนชั้น
ชนชั้นที่ 1 คือ นักบวช
ชนชั้นที่ 2 คือ ขุนนาง
ชนชั้นที่ 3 คือ สามัญชนทั่วไป ซึ่งรวมถึง พ่อค้า คหบดี นักกฎหมาย หมอ นายธนาคาร เกษตรกร

ชนชั้นที่ 1 และ 2 มีสัดส่วนเป็น 1% ของประชากรฝรั่งเศสราว 28 ล้านคน แต่ถือครองที่ดินกว่า 40% ของฝรั่งเศส และทั้ง 2 ชนชั้นนี้ยังมีอภิสิทธิ์
คือ ไม่ต้องเสียภาษี

ค.ศ. 1776 รัฐบาลได้นำเงินไปช่วยสหรัฐอเมริกาในสงครามประกาศอิสรภาพจากอังกฤษ ในขณะที่ชนชั้นสูง ยังคงใช้ชีวิตหรูหราในพระราชวังแวร์ซายพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 พยายามที่จะเก็บภาษีจากชนชั้นขุนนาง แต่สุดท้ายถูกเหล่าขุนนางประท้วง ภาระอันหนักอึ้งจึงถูกผลักมาที่ประชาชน ชนชั้นที่ 3

เมื่อรวมกับภาวะผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ ทำให้สินค้าที่ราคาสูงอยู่แล้วได้พุ่งขึ้นไปอีกหลายเท่าตัวจนท้ายที่สุด ประชาชนก็หมดความอดทน..
วันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 1789 ประชาชนในกรุงปารีสบุกยึดคุกบาสตีล ซึ่งเป็นคุกขังนักโทษการเมืองและเป็นสัญลักษณ์ของกษัตริย์ฝรั่งเศส
การปฏิวัติฝรั่งเศส ถือกำเนิดขึ้นแล้ว
ความวุ่นวายเกิดขึ้นไปทั่วประเทศเป็นระยะเวลากว่า 2 ปี
ชนชั้นที่ 3 ซึ่งได้รวมกันเป็น สมัชชาแห่งชาติ (National Assembly) ได้ปรับปรุงกฎหมายหลายอย่าง
1. ประกาศสิทธิมนุษยชน ได้แก่ เสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ
2. ประกาศยกเลิกอภิสิทธิ์ของชนชั้นนักบวชและขุนนาง
3. ประกาศรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1791 ให้กษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ

ต่อมา กษัตริย์พยายามหลบหนีกลุ่มพรรคการเมืองหัวรุนแรงจึงตัดสินประหารชีวิตพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระราชินีมารี อ็องตัวแน็ต ด้วยกิโยตีน ในปี ค.ศ. 1793 นอกจากนี้ยังมีชนชั้นสูง และขุนนางอีกหลายพันคน ที่ถูกประหารด้วยกิโยตีนจนเกิดความวุ่นวายไปทั่วประเทศ

ในขณะที่อาณาจักรเพื่อนบ้าน ทั้งออสเตรียและปรัสเซีย ก็เกรงว่าการปฏิวัตินี้จะแพร่ไปยังอาณาจักรของตัวเองที่ยังปกครองด้วยระบอบกษัตริย์อยู่ประเทศเหล่านี้จึงได้ประกาศสงครามกับฝรั่งเศส ท่ามกลางความวุ่นวายทั้งภายในและภายนอก นายทหารคนหนึ่งได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในการรบกับอาณาจักรเพื่อนบ้าน ผลจากชัยชนะจะทำให้ผู้คนยกย่องเขาในฐานะวีรบุรุษ
นายทหารผู้นั้นมีชื่อว่า “นโปเลียน โบนาปาร์ต”

ระหว่างที่ฝรั่งเศสกำลังเต็มไปด้วยความวุ่นวาย
แต่ประเทศอังกฤษ ได้เปรียบจากความสงบทางการเมือง และพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ที่แข็งแกร่ง
ทั้งหมดนี้ได้ผลักดันให้อังกฤษก้าวล้ำไปอีกขั้น ด้วยการคิดค้นสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของมนุษย์ไปตลอดกาล

เผ่าพันธุ์มนุษย์ที่กำเนิดมา 200,000 ปีบนโลก กำลังจะมีความก้าวหน้าสูงสุดจากสิ่งนี้..

สิ่งที่เรียกว่า “การปฏิวัติอุตสาหกรรม”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่