ตอนนี้ในไทยมีสนามบินที่ขาดทุนอยู่ถึง 28 แห่ง เชื่อว่าต่อให้มีการบริหารจัดการที่ดีขึ้น ก็จะมีจำนวนสนามบินที่ขาดทุนลดลง แต่ลดลงไม่มาก ยังต้องมีอีกหลายสนามบินที่ขาดทุนอยู่
ถ้าอนาคต ภาครัฐหรือเอกชนสามารถนำแท็กซี่บินไดัมาเปิดให้บริการสนามบินเหล่านี้ ก็น่าจะเป็นหนทางรอดของสนามบินที่ขาดทุนได้ ต้นทุนการเดินทางของแท็กซี่บินได้น่าจะถูกกว่าเครื่องบินเล็ก
ตอนนี้ สนามบินบางแห่งก็มีเปิดให้บริการเครื่องบินเล็กข้ามจังหวัดในภาคเดียวกันเอง เช่น หาดใหญ่-สุราษฎร์ หาดใหญ่-เบตง แต่ค่าตั๋วสำหรับการบินระยะใกล้ๆก็แพงมาก เส้นทางหาดใหญ่-สุราษฎร์ธานี ราคา 1,900 บาท แพงกว่ากรุงเทพ-สุราษฎร์อีก จากกรุงเทพถึงสุราษฎร์มีราคาอยู่ช่วง 1,200-1,300 หาดใหญ่-เบตง 3,100 บาท ของหาดใหญ่-กรุงเทพ อยู่ที่ 1,200-4,500 ซึ่งจะเลือกเดินทางเวลาดีๆช่วง 8-9 โมงเช้า ก็มีหลายสายการบินที่ราคาถูก 1,200-1,800 บาท รู้สึกการมาเที่ยวกรุงเทพ คุ้มกว่าไปเบตง
ตอนนี้ ประเทศชั้นนำก็เริ่มผลิตแท็กซี่บินได้ออกมาแล้ว ซึ่งขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ดูประหยัดต้นทุนการเดินทางกว่าเครื่องบินเล็กเยอะทีเดียว สิ่งนี้น่าจะเป็นตัวช่วยให้สนามบินที่ขาดทุนพอพลิกฟื้นกลับมามีกำไรได้บ้าง เพราะถ้าค่าโดยสารที่ถูกลง คนก็น่าจะมาใช้บริการมากขึ้น ไว้ส่งคนที่ต้องการเดินทางข้ามจังหวัดซัก 1-3 จ้งหวัดได้ เช่น นครปฐม-ราชบุรี อุดร-หนองคาย มุกดาหาร-บึงกาฬ ขอให้คิดราคาค่าโดยสารเป็นมิตรภาพ ไม่แพงเกินไป คนใช้บริการไม่น้อยแน่ๆ
ยกตัวอย่างว่า เดินทางระหว่างโคราช-ขอนแก่น
รถตู้ใช้เวลา 2 ชั่วโมง 30 นาที ราคา 154 บาท
รถไฟใช้เวลา 1 ชั่วโมง 35 นาที ราคา 254 บาท
รถไฟความเร็วสูงใช้เวลา 1 ชั่วโมง ราคา 354 บาท
แท็กซี่บินได้ใช้เวลา 45 นาที ราคา 404 บาท
หรือแท็กซี่บินได้ใช้เวลา 30 นาที ราคา 454 บาท
ในส่วนของแท็กซี่บินได้ที่แยกออกเป็น 30 กับ 45 นาที ก็ต้องไปดูว่าแท็กซี่บินได้ที่มาให้บริการนั้น สามารถบินด้วยความเร็วสูงสุดเท่าไร แต่เราก็เทียบให้ว่า ถ้าแท็กซี่บินด้วยเวลาเท่านั ก็ควรจะมีค่าโดยสารเท่านั้นเท่านี้ บินถึงเป้าหมายใน 30 นาที ก็แพงกว่าที่บินถึงเป้าหมายในเวลา 45 นาที ซัก 30-50 บาท ถึงจะดึงคนมาใช้บริการให้มากได้
ถ้าหวังให้เครื่องบินเล็กเป็นตัวเชื่อมต่อเศรษฐกิจคงยาก ค่าโดยสารแพงไป คนจะนิยมใช้บริการน้อย มีผลทางเศรษฐกิจน้อยมาก แท็กซี่บินได้จะให้ผลที่ดีต่อเศรษฐกิจมากกว่า
ขนส่งสาธารณะที่สามารถเชื่อมต่อเศรษฐกิจได้ดีมาก ก็มีอยู่ 2 ประเภท คือ รถยนต์,รถไฟ
รถยนต์อย่างรถตู้และรถบัส มีราคาไม่แพง สามารถรับส่งคนได้ครอบคลุมทุกถนนหนทาง
รถไฟความเร็วไม่เกิน 160 km/h มีราคาไม่แพง สามารถส่งคนไปในทุกพื้นที่ที่มีสถานีรถไฟตั้งอยู่
ทั้งรถบัส,รถตู้,รถไฟความเร็วธรรมดา เป็นขนส่งสาธารณะที่คนจำนวนมากเข้าถึงราคาได้ง่าย จึงมีผลในการเชื่อมต่อเศรษฐกิจอย่างมาก ส่วนรถไฟความเร็วสูงและเครื่องบิน คนส่วนมากเข้าไม่ค่อยถึงราคา คนมีรายได้น้อยจะยอมนั่งเครื่องบินกับรถไฟความเร็วสูงเมื่อมีธุระจำเป็นเร่งด่วนจริงๆ ถ้าไม่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วน คนรายได้น้อยจะขึ้นรถบัสกับรถไฟความเร็วธรรมดาไป
ถ้าหากบ้านเราต้องการจะทำการคมนาคมเพื่อเชื่อมต่อเศรษฐกิจให้ได้ผลมากจริงๆ ก็ทำโครงข่ายรถไฟความเร็วไม่เกิน 160 km/h ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ทำรถ feeder จากสถานีให้วิ่งครอบคลุมในรัศมีอย่างน้อย 5 กิโลเมตรจากตัวสถานี จะช่วยในเรื่องการเดินทางและเชื่อมต่อทางเศรษฐกิจได้มากกว่ายานพาหนะแบบอื่นๆ
ถ้าให้เปรียบเทียบการลงทุน การลงทุนสร้างโครงข่ายรถไฟจะใช้เงินลงทุนสูงกว่าอย่างอื่น ใช้เงินลงทุนสูงกว่าแท็กซี่บินได้อย่างมาก แท็กซี่บินได้ลำนึง มีราคาถูกกว่ารถไฟ 1 ขบวน สถานที่จอดรับส่งผู้โดยสารของแท็กซี่บินได้ ก็ใช้สนามบินเดิมของแต่ละจังหวัด หรือจะใช้พื้นที่บขส.ประจำจังหวัดก็ยังได้ เพราะแท็กซี่ลำไม่ใหญ่ สามารถขึ้นลงแนวดิ่ง ไม่จำเป็นต้องใช้รันเวย์ยาวเหมือนสนามบิน จึงไม่จำเป็นต้องอาศัยพื้นที่มาก แม้บขส.ก็น่าจะเพียงพอสำหรับแท็กซี่บินได้
รอซัก 2-3 ปี ช่วงปี 2027-2028 แท็กซี่บินได้ก็น่าจะมีให้บริการกันอย่างแพร่หลายในหลายประเทศ ไทยก็คงได้เปิดบริการแท็กซี่บินได้อย่างเป็นทางการในช่วงเวลานั้นด้วย เป็นโอกาสที่ทำให้สนามบินที่ขาดทุนสามารถมีรายได้พลิกฟื้นตัวเองขึ้นได้
ส่วนเครื่องบินเล็กตอนนี้ที่กำลังจะเปิดเส้นทางใหม่สุวรรณภูมิ-หัวหิน เราไม่ค่อยเห็นด้วยที่จะเปิด เพราะค่าบริการแพงมาก คนน่าจะใช้บริการน้อย ควรจะเอาเรือไฮโดรฟอยล์ความเร็วซัก 80-90 km/h มาให้บริการมากกว่า เปิดเส้นทางบางขุนเทียน-หัวหิน บางปู-หัวหิน อย่างนี้น่าจะมีคนใช้บริการเยอะ
อนาคต ถ้ามีเครื่องบินทะเลไฮบริด สามารถประหยัดต้นทุนน้ำมันได้มาก ก็ค่อยเอามาเปิดให้บริการ บินข้ามฝั่งบางปู-หัวหิน บางขุนเทียน-หัวหิน ก็จะช่วยให้การเดินทางจากกรุงเทพถึงหัวหิน สะดวกรวดเร็วขึ้นมาก
ถ้านำแท็กซี่บินได้มาเปิดบริการในสนามบินที่ขาดทุน จะ work มั้ย ตั๋วเครื่องบินเล็กแพงมาก น่าจะไม่รอด
ถ้าอนาคต ภาครัฐหรือเอกชนสามารถนำแท็กซี่บินไดัมาเปิดให้บริการสนามบินเหล่านี้ ก็น่าจะเป็นหนทางรอดของสนามบินที่ขาดทุนได้ ต้นทุนการเดินทางของแท็กซี่บินได้น่าจะถูกกว่าเครื่องบินเล็ก
ตอนนี้ สนามบินบางแห่งก็มีเปิดให้บริการเครื่องบินเล็กข้ามจังหวัดในภาคเดียวกันเอง เช่น หาดใหญ่-สุราษฎร์ หาดใหญ่-เบตง แต่ค่าตั๋วสำหรับการบินระยะใกล้ๆก็แพงมาก เส้นทางหาดใหญ่-สุราษฎร์ธานี ราคา 1,900 บาท แพงกว่ากรุงเทพ-สุราษฎร์อีก จากกรุงเทพถึงสุราษฎร์มีราคาอยู่ช่วง 1,200-1,300 หาดใหญ่-เบตง 3,100 บาท ของหาดใหญ่-กรุงเทพ อยู่ที่ 1,200-4,500 ซึ่งจะเลือกเดินทางเวลาดีๆช่วง 8-9 โมงเช้า ก็มีหลายสายการบินที่ราคาถูก 1,200-1,800 บาท รู้สึกการมาเที่ยวกรุงเทพ คุ้มกว่าไปเบตง
ตอนนี้ ประเทศชั้นนำก็เริ่มผลิตแท็กซี่บินได้ออกมาแล้ว ซึ่งขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ดูประหยัดต้นทุนการเดินทางกว่าเครื่องบินเล็กเยอะทีเดียว สิ่งนี้น่าจะเป็นตัวช่วยให้สนามบินที่ขาดทุนพอพลิกฟื้นกลับมามีกำไรได้บ้าง เพราะถ้าค่าโดยสารที่ถูกลง คนก็น่าจะมาใช้บริการมากขึ้น ไว้ส่งคนที่ต้องการเดินทางข้ามจังหวัดซัก 1-3 จ้งหวัดได้ เช่น นครปฐม-ราชบุรี อุดร-หนองคาย มุกดาหาร-บึงกาฬ ขอให้คิดราคาค่าโดยสารเป็นมิตรภาพ ไม่แพงเกินไป คนใช้บริการไม่น้อยแน่ๆ
ยกตัวอย่างว่า เดินทางระหว่างโคราช-ขอนแก่น
รถตู้ใช้เวลา 2 ชั่วโมง 30 นาที ราคา 154 บาท
รถไฟใช้เวลา 1 ชั่วโมง 35 นาที ราคา 254 บาท
รถไฟความเร็วสูงใช้เวลา 1 ชั่วโมง ราคา 354 บาท
แท็กซี่บินได้ใช้เวลา 45 นาที ราคา 404 บาท
หรือแท็กซี่บินได้ใช้เวลา 30 นาที ราคา 454 บาท
ในส่วนของแท็กซี่บินได้ที่แยกออกเป็น 30 กับ 45 นาที ก็ต้องไปดูว่าแท็กซี่บินได้ที่มาให้บริการนั้น สามารถบินด้วยความเร็วสูงสุดเท่าไร แต่เราก็เทียบให้ว่า ถ้าแท็กซี่บินด้วยเวลาเท่านั ก็ควรจะมีค่าโดยสารเท่านั้นเท่านี้ บินถึงเป้าหมายใน 30 นาที ก็แพงกว่าที่บินถึงเป้าหมายในเวลา 45 นาที ซัก 30-50 บาท ถึงจะดึงคนมาใช้บริการให้มากได้
ถ้าหวังให้เครื่องบินเล็กเป็นตัวเชื่อมต่อเศรษฐกิจคงยาก ค่าโดยสารแพงไป คนจะนิยมใช้บริการน้อย มีผลทางเศรษฐกิจน้อยมาก แท็กซี่บินได้จะให้ผลที่ดีต่อเศรษฐกิจมากกว่า
ขนส่งสาธารณะที่สามารถเชื่อมต่อเศรษฐกิจได้ดีมาก ก็มีอยู่ 2 ประเภท คือ รถยนต์,รถไฟ
รถยนต์อย่างรถตู้และรถบัส มีราคาไม่แพง สามารถรับส่งคนได้ครอบคลุมทุกถนนหนทาง
รถไฟความเร็วไม่เกิน 160 km/h มีราคาไม่แพง สามารถส่งคนไปในทุกพื้นที่ที่มีสถานีรถไฟตั้งอยู่
ทั้งรถบัส,รถตู้,รถไฟความเร็วธรรมดา เป็นขนส่งสาธารณะที่คนจำนวนมากเข้าถึงราคาได้ง่าย จึงมีผลในการเชื่อมต่อเศรษฐกิจอย่างมาก ส่วนรถไฟความเร็วสูงและเครื่องบิน คนส่วนมากเข้าไม่ค่อยถึงราคา คนมีรายได้น้อยจะยอมนั่งเครื่องบินกับรถไฟความเร็วสูงเมื่อมีธุระจำเป็นเร่งด่วนจริงๆ ถ้าไม่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วน คนรายได้น้อยจะขึ้นรถบัสกับรถไฟความเร็วธรรมดาไป
ถ้าหากบ้านเราต้องการจะทำการคมนาคมเพื่อเชื่อมต่อเศรษฐกิจให้ได้ผลมากจริงๆ ก็ทำโครงข่ายรถไฟความเร็วไม่เกิน 160 km/h ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ทำรถ feeder จากสถานีให้วิ่งครอบคลุมในรัศมีอย่างน้อย 5 กิโลเมตรจากตัวสถานี จะช่วยในเรื่องการเดินทางและเชื่อมต่อทางเศรษฐกิจได้มากกว่ายานพาหนะแบบอื่นๆ
ถ้าให้เปรียบเทียบการลงทุน การลงทุนสร้างโครงข่ายรถไฟจะใช้เงินลงทุนสูงกว่าอย่างอื่น ใช้เงินลงทุนสูงกว่าแท็กซี่บินได้อย่างมาก แท็กซี่บินได้ลำนึง มีราคาถูกกว่ารถไฟ 1 ขบวน สถานที่จอดรับส่งผู้โดยสารของแท็กซี่บินได้ ก็ใช้สนามบินเดิมของแต่ละจังหวัด หรือจะใช้พื้นที่บขส.ประจำจังหวัดก็ยังได้ เพราะแท็กซี่ลำไม่ใหญ่ สามารถขึ้นลงแนวดิ่ง ไม่จำเป็นต้องใช้รันเวย์ยาวเหมือนสนามบิน จึงไม่จำเป็นต้องอาศัยพื้นที่มาก แม้บขส.ก็น่าจะเพียงพอสำหรับแท็กซี่บินได้
รอซัก 2-3 ปี ช่วงปี 2027-2028 แท็กซี่บินได้ก็น่าจะมีให้บริการกันอย่างแพร่หลายในหลายประเทศ ไทยก็คงได้เปิดบริการแท็กซี่บินได้อย่างเป็นทางการในช่วงเวลานั้นด้วย เป็นโอกาสที่ทำให้สนามบินที่ขาดทุนสามารถมีรายได้พลิกฟื้นตัวเองขึ้นได้
ส่วนเครื่องบินเล็กตอนนี้ที่กำลังจะเปิดเส้นทางใหม่สุวรรณภูมิ-หัวหิน เราไม่ค่อยเห็นด้วยที่จะเปิด เพราะค่าบริการแพงมาก คนน่าจะใช้บริการน้อย ควรจะเอาเรือไฮโดรฟอยล์ความเร็วซัก 80-90 km/h มาให้บริการมากกว่า เปิดเส้นทางบางขุนเทียน-หัวหิน บางปู-หัวหิน อย่างนี้น่าจะมีคนใช้บริการเยอะ
อนาคต ถ้ามีเครื่องบินทะเลไฮบริด สามารถประหยัดต้นทุนน้ำมันได้มาก ก็ค่อยเอามาเปิดให้บริการ บินข้ามฝั่งบางปู-หัวหิน บางขุนเทียน-หัวหิน ก็จะช่วยให้การเดินทางจากกรุงเทพถึงหัวหิน สะดวกรวดเร็วขึ้นมาก