สุดงง! ถูกสวมสิทธิ์แอบอ้างชื่อ - เลขบัตรปชช. สมัครสมาชิกพรรคการเมือง
.
.
ประชาชนโวย ถูกสวมสิทธิ์แอบอ้าง ใช้ชื่อ - เลขบัตรปชช. สมัครสมาชิกพรรคการเมือง งงถ้วนหน้า สมัครตอนไหน เตือนรีบเข้าไปตรวจสอบกับ กกต.
.
ผู้สื่ข่าวรายงานว่ามีผู้ใช้รายหนึ่งบนแพลตฟอร์มทวิตเตอร์ (X) เมื่อวันที่ 1 พ.ย. 2568 ได้โพสต์ข้อความพร้อมรูปภาพ และอ้างว่าถูกแอบอ้างนำชื่อไปสมัครสมาชิกพรรคการเมือง โดยระบุข้อความว่า " ด่วนครับ มีประชาชนไม่เคยเป็นสมาชิกพรรคการเมือง แต่เมื่อเช็คแล้วพบว่า..." พร้อมแนบรูปภาพของผู้ที่เข้าไปตรวจสอบความเป็นสมาชิกพรรคการเมืองจากทางสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ซึ่งพบว่าเป็นสมาชิกของพรรคกล้าธรรม
.
โดยภายในโพสต์ต่างมีผู้มาแสดงความเห็นจำนวนมาก และโพสต์แสดงความให้ไปในทางเดียวกัน เช่น  "เอาเลขบัตรประชาชนไปตรวจสอบแล้วไม่เคยเล่นการเมืองใด ๆ แต่โดนพรรคการเมืองพรรคมติประชาเอาชื่อไปจด พร้อมถามว่าจะทำอย่างไรดี แอบอ้างแบบนี้มันอุบาดมากนะคะ "
.
นอกจากนี้ยังมีผู้ออกมาแสดงความเห็นซึ่งพบว่า ไม่ใช่แค่พรรคกล้าธรรม แต่ยังมีพรรคประชาธิปัตย์ พลังพลังประชารัฐอีกด้วยที่ถูกกล่าวหาว่านำชื่อประชาชนและเลขประจำตัวประชาชน ไปสวมสิทธิ์แอบอ้างเป็นสมาชิกพรรคการเมืองโดยเจ้าตัวไม่ทราบมาก่อน
.
ทำให้นายศุภณัฐ มีนชัยนันท์ สส.กทม. พรรคประชาชน ออกมาโพสต์เตือนประชาชน  โดยขอให้ประชาชนเข้าไปตรวจสอบว่ามีพรรคใดแอบอ้างเอาชื่อตัวเองและครอบครัวไปยัดเป็นสมาชิกพรรคการเมือง ทั้งที่เราไม่ได้สมัครและจ่ายค่าสมาชิก
.
ทั้งนี้ประชาชนสามารถเข้าไปตรวจสอบ ความเป็นสมาชิกพรรคการเมืองได้ที่เว็บไซต์ของ กกต. 
เช็กที่นี่.
.
.
"โตโต้ ปิยรัฐ" ลั่นโดนคดีมาแล้ว จัดซื้อเสื้อเกราะเอง ขู่ "กัน จอมพลัง" ถ้ามีคนไปแจ้งความเรื่องใหญ่แน่
.
3 พ.ย. 2568 นายปิยรัฐ จงเทพ สส.กทม. รองเลขาธิการพรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ กัน จอมพลัง ออกมาท้าดำเนินคดี หากเห็นว่าการจัดซื้อเสื้อเกราะให้กองทัพผิดกฎหมาย ว่า ตนก็เพิ่งทราบว่ากองทัพออกมาปฏิเสธว่าไม่เคยอนุญาต หรือออกใบอนุญาตให้มูลนิธิเอกชนใดๆ รายใดรายหนึ่งเป็นผู้จัดซื้อยุทธภัณฑ์ให้กองทัพ พอมีข้อมูลใหม่ปรากฎแบบนี้แล้ว ตนจึงเป็นห่วงมากว่าบางคนมีเจตนาดี แต่บางครั้งไม่รู้ข้อกฎหมายที่อาจจะสุ่มเสี่ยงทำให้เกิดการตีความว่าเป็นบุคคลอื่น ที่ไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ. ควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ.2530 มาจัดหายุทธภัณฑ์ ซึ่งเสื้อเกราะถือเป็นหนึ่งในบัญชียุทธภัณฑ์
.
“เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะผมเคยโดนคดีมาแล้ว ผมก็บอกว่าผมเคยโดนมาแล้ว ทั้งที่เป็นเสื้อที่ซื้อตามคลองหลอด ช้อปปี้ แล้วเอามาเล่นบีบีกัน ใส่ป้องกันอาวุธกระสุนยาง หรือพลาสติกจากบีบีกัน เรายังโดนศาลพิพากษามาแล้วเลย ศาลอาญาพิพากษาให้ผมต้องจำคุก แต่รอลงอาญา เพราะเป็นยุทธภัณฑ์ ผมเป็นห่วงเรื่องนี้ จึงเตือนออกไปเสียงดังๆ หน่อย ว่าถ้าไม่มีการอนุญาตจากกลาโหม โดยเฉพาะรัฐมนตรีและปลัดกระทรวง จะทำให้มีปัญหานะ อาจจะเข้าข่ายฐานความผิดได้แค่นั้นเอง” นายปิยรัฐ กล่าว
.
เมื่อถามว่าการที่เขามีหนังสือขอความอนุเคราะห์จากกองทัพ จะทำให้สามารถดำเนินการได้หรือไม่ นายปิยรัฐ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ไม่ใช่เรื่องผิดสเปคหรือล็อคสเปคอะไร แต่เป็นเรื่องข้อกฎหมายตามที่ตนได้กล่าวมาข้างต้น กับเรื่องที่สอง คือถ้าหน่วยงานผู้ซึ่งมีหน้าที่ดำเนินการตามระเบียบและกฎหมายของกระทรวงเอง ยังทำผิดกฎกระทรวงและระเบียบกฎหมายเอง
“อันนี้เป็นสิ่งที่น่าห่วง เผลอๆ จะโดนด้วย เพราะคุณเองเป็นเจ้าพนักงานผู้รักษากฎหมาย และมีอำนาจในการปฏิบัติตามกฏหมาย คุณกลับไม่ทำตามระเบียบปฏิบัติ ถือว่ามีปัญหาแล้ว ดังนั้น เรื่องนี้ลามไปแน่นอน ถ้าเกิดว่ามีใครสักคนไปแจ้งความดำเนินคดี” นายปิยรัฐ กล่าว
.
นายปิยรัฐ กล่าวว่า มันเป็นเส้นบางๆ มาก การทำความดีแล้วจะทำอย่างไรก็ได้ ถือว่าเป็นปัญหา ตนจึงบอกว่า ถ้าอย่างนั้นกฎหมายก็ไม่ต้องมี ทุกคนอ้างความดีหมด เราต้องดูเจตนาของกฎหมายด้วย ทำไมถึงต้องมี พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ เพราะกังวลว่าเดี๋ยวจะไปจัดซื้อจัดหากันมาเองแล้วมันไม่ได้มาตรฐาน หรือไปทำประโยชน์ที่ไม่ถูกไม่ควรบ้าง แม้กระทั่งทำให้หน่วยงานบางหน่วยงานหากินกับเรื่องนอกกฎหมาย ถือเป็นอันตราย
.
“วันดีคืนดีเกิดสู้รบกันขึ้นมาอีก แล้วคุณกัน บอกว่าผมขอจัดซื้อขีปนาวุธอาวุธยุทธโธปกรณ์เอง โดยที่กองทัพขาดแคลน ผมทำความดีเพื่อประเทศชาติ แบบนี้ผมทำได้หรือไม่ มันก็จะเข้าข่ายแบบนี้ วัตถุประสงค์ของกฎหมายคือต้องป้องกันช่องโหว่ที่จะนำไปสู่การทำผิดได้” นายปิยรัฐ กล่าว
.
.
นันทนา ร้อง วันนอร์ ปมถูกฟันจริยธรรม ยันไม่ได้ด้อยค่าส.ว.ขายหมู หมอเปรม วอน ปธ.วุฒิ ฟัง เสียงข้างน้อยด้วย https://www.matichon.co.th/politics/news_5438742
.
นันทนา ร้อง วันนอร์ ปมถูกฟันจริยธรรม ยันไม่ได้ด้อยค่าส.ว.ขายหมู หมอเปรม วอน ปธ.วุฒิ ฟัง เสียงข้างน้อยด้วย หวั่น เป็นตราบาปของรัฐสภา
.
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 3 พฤศจิกายน ที่รัฐสภา น.ส.
นันทนา นันทวโรภาส ส.ว. ยื่นหนังสือถึง นาย
วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ขอให้ตรวจสอบการใช้อำนาจที่ขาดธรรมาภิบาลของวุฒิสภา โดย น.ส.
นันทนา กล่าวว่า วันนี้ได้ทำหนังสือถึงประธานรัฐสภาเรื่องการใช้อำนาจที่ขาดธรรมาภิบาลของวุฒิสภา ซึ่งจะนำไปสู่ความล้มเหลวของฝ่ายนิติบัญญัติ โดยในหนังสือร้องเรียนระบุว่าสืบเนื่องจากมีผู้ร้องมายังคณะกรรมการจริยธรรมวุฒิสภาว่า ตนทำผิดจริยธรรมด้วยการดูหมิ่นด้อยค่าคนขายหมู จากนั้นคณะกรรมการจริยธรรมได้ดำเนินการสอบสวน และนำรายงานเรื่องดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมวุฒิสภา และได้รายงานผลการตรวจสอบมาตรฐานทางจริยธรรมตามข้อบังคับ
.
น.ส.
นันทนา กล่าวต่อว่า ซึ่งคณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ จึงให้ที่ประชุมลงมติว่า ตนฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรงหรือไม่ ซึ่งที่ประชุมวุฒิสภาลงมติเสียงข้างมาก 130 เสียง เห็นว่าตนฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรง และจะส่งเรื่องนี้ไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ป.ป.ช.) ต่อไป
.
น.ส.
นันทนา กล่าวอีกว่า การกระทำดังกล่าวของวุฒิสภาถือเป็นการอคติกลั่นแกล้ง เนื่องจากที่ผ่านมา ตนได้ออกมาเปิดโปงเรื่องฮั้ว ส.ว. และเรียกร้องให้ ส.ว. ที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหาหยุดปฏิบัติหน้าที่ในการให้ความเห็นชอบผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ซึ่งการกระทำหน้าที่ดังกล่าวของตนเป็นไปยังเปิดเผยเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ แต่อาจเป็นการขัดต่อผลประโยชน์ของ ส.ว. เสียงข้างมาก เห็นได้จากการที่กลุ่ม ส.ว. เสียงข้างมากได้พยายามขัดขวางการอภิปรายในสภาของตนแทบทุกครั้ง การที่วุฒิสภามีมติให้การวิพากษ์วิจารณ์การคัดเลือกบุคคลเข้าเป็นกรรมาธิการแบบผิดฝาผิดตัวเป็นความผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง สะท้อนถึงการใช้ดุลพินิจที่ขาดความชอบธรรมในการตัดสิน
.
“
การพิจารณาโทษที่รุนแรงไม่ได้สัดส่วนกับการกระทำ ถือเป็นการทำลายล้างทางการเมือง สร้างบรรยากาศแห่งความกลัว ทำให้สว.ขาดอิสระในการแสดงความคิดเห็น มากไปกว่านั้นคณะกรรมการจริยธรรมวุฒิสภาได้รับแจ้งข้อกล่าวหาคดีฮั้ว ส.ว. เป็นกรรมการอยู่ถึง 15 คน ถือเป็นคู่ขัดแย้งโดยตรงกับผู้ถูกกล่าวหา จึงไม่ควรมีสิทธิ์เป็นกรรมการจริยธรรมพิจารณาตัดสินกรณีนี้ เพราะถือเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์อย่างรุนแรง การกระทำของคณะกรรมการจริยธรรมและที่ประชุมวุฒิสภาถือเป็นการทำลายนิติรัฐของวุฒิสภาลง” น.ส.
นันทนา กล่าว
.
น.ส.
นันทนา กล่าวอีกว่า การที่วุฒิสภาใช้เสียงข้างมากกำจัดฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ถือเป็นอันตรายต่อระบบรัฐสภาประชาธิปไตยและหลักนิติธรรม ในฐานะที่ประธานรัฐสภาเป็นประมุขฝ่ายนิติบัญญัติย่อมต้องพิทักษ์รักษาให้รัฐสภาแห่งนี้ปฏิบัติหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติอย่างมีธรรมาภิบาลโปร่งใส ซื่อสัตย์เป็นกลาง จึงขอให้ประธานรัฐสภาตั้งกรรมการขึ้นมาตรวจสอบการใช้อำนาจที่ขาดธรรมาภิบาลของวุฒิสภาอย่างเร่งด่วน เพื่อไม่ให้ภาพลักษณ์ของวุฒิสภาถดถอย กลายเป็นสภาของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ที่ใช้อำนาจล้นเกินทำลายผู้เห็นต่างอย่างชอบธรรมที่จะนำไปสู่ความล้มเหลวของฝ่ายนิติบัญญัติ
.
ด้าน นพ.
เปรมศักดิ์ เพียยุระ ส.ว. กล่าวว่า ในช่วงปิดสมัยประชุมตนได้ลงพื้นที่เพื่อไปสอบถามความคิดเห็นของประชาชนซึ่งระบุได้เลยว่า 99.99 เปอร์เซ็นต์ ไม่เห็นด้วยกับมติดังกล่าว ตนจึงขอถามไปยังผู้ที่ลงมติทั้ง 130 ท่าน ท่านยังคงสบายใจได้อยู่อีกหรือ ที่ประชาชนไม่เห็นด้วย ซึ่งหากองค์กรใดมีท่าทีหรือมติที่สวนทางกับประชาชน องค์กรนั้นจะอยู่อย่างสง่างามได้อย่างไร ฉะนั้น วันนี้เมื่อไม่มีที่พึ่งน.ส.นันทนาจึงหวังพึ่งประธานรัฐสภา
.
นพ.
เปรมศักดิ์ กล่าวต่อว่า ตนมองว่าประธานรัฐสภาในเวลานี้จะเป็นผู้ที่สามารถให้หลักการและเป็นที่พึ่ง และการตรวจสอบที่โปร่งใสได้ จะเห็นได้ว่าขนาดสส.แม้มีเพียงเสียงเดียวก็ยังมีที่ยืนในกรรมาธิการ ยังสามารถทำงานได้ แต่สว.เสียงข้างน้อยไม่อาจจะสะท้อนใดๆ เลย ถูกปิดปากเช่นนี้ สิ่งที่อยู่ภายใต้คำว่าสภาสูงนั้น สูงจริงหรือไม่ และตามหลักที่ท่านเป็นประมุขของฝ่ายนิติบัญญัติ ขอให้ท่านกลับมาปัดกวาดบ้านหลังนี้ รวมถึงให้ความเป็นธรรมด้วย
.
“
ผมมองว่าเรื่องนี้เป็นตราบาปของรัฐสภา หากประธานรัฐสภาไม่ปัดกวาด ตราบาปแบบนี้จะยังคงอยู่ตลอดไป และขอฝากถึงประธานวุฒิสภา อย่าฟังแต่เสียงคนนั้นคนนี้ ขอให้ฟังด้วยความเป็นธรรม รวมถึงฟังเสียงสมาชิกวุฒิสภาข้างน้อยด้วย ที่อาจจะมีมุมมองไม่เหมือนสมาชิกวุฒิสภาเสียงข้างมาก แต่ก็ทำโดยความเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน วันนี้ยิ่งมีข่าวว่า 17 ส.ว. ถูกขึ้นบัญชีดำ และจะถูกเช็คบิลเป็นราย ๆ ไป อยากให้สังคมและประชาชนช่วยปกป้องเสียงข้างน้อยในสภาด้วย ให้มีที่ยืนเพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์ให้ประชาชน” นพ.
เปรมศักดิ์ กล่าว
.
นพ.
เปรมศักดิ์ กล่าวต่อว่า ฉะนั้น หากประธานรัฐสภาปล่อยให้เรื่องที่เกิดขึ้นในวุฒิสภาเป็นแบบนี้ไม่มีผู้ใหญ่ลงมาซักถาม องค์กรนี้ก็จะเป็นสนิมเหล็กเกิดแต่เนื้อ ในตน เมื่อวันหนึ่งสนิมกัดกินเหล็ก เหล็กก็อยู่ไม่ได้ นั่นก็คือรัฐสภาไม่สามารถเป็นที่พึ่งหวังของประชาชนได้อีกต่อไป
.
เมื่อถามว่า มีคนออกมาเรียกร้องให้น.ส.
นันทนา ออกมาแสดงความรับผิดชอบที่ดูหมิ่นว่า ส.ว.อาชีพขายหมู น.ส.
นันทนา กล่าวว่า ตนยืนยันมาตั้งแต่ต้นว่าไม่ได้เป็นการดูหมิ่นหรือด้อยค่า แต่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ระบบในการคัดเลือก ส.ว. ที่เข้าสู่กรรมาธิการให้ถูกฝาถูกตัว ใช้คนให้เหมาะสมกับงาน เพื่อให้กรรมาธิการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ใช้ความรู้ความสามารถให้ตรง เพื่อยกตัวอย่างให้เห็นว่า ถ้าคนที่มีความรู้ด้านหนึ่งแล้วไปเข้ากรรมาธิการที่ไม่ตรงกับความรู้ความสามารถประชาชนเสียประโยชน์แน่นอนจึงได้ยกตัวอย่างเรื่องคนขายหมูขึ้นมาหากไปอยู่กรรมาธิการพาณิชย์หรือการเกษตรจะตรงกับความรู้ความสามารถและผลักดัน ปัญหาของประชาชนได้มากกว่านี้หรือไม่ ตนจึงประท้วงระบบ และเป็นการเรียกตามกลุ่มอาชีพไม่ได้มีเจตนาด้อยค่า																															
 
						
JJNY : สุดงง! ถูกสวมสิทธิ์แอบอ้างชื่อ│"โตโต้"ลั่นโดนคดีมาแล้ว│นันทนาร้องวันนอร์│บก.ลายจุดมองอภิสิทธิ์ เชื่อแผลเก่าถูกขุด
.
.
.
.
.
นันทนา ร้อง วันนอร์ ปมถูกฟันจริยธรรม ยันไม่ได้ด้อยค่าส.ว.ขายหมู หมอเปรม วอน ปธ.วุฒิ ฟัง เสียงข้างน้อยด้วย https://www.matichon.co.th/politics/news_5438742
.
นันทนา ร้อง วันนอร์ ปมถูกฟันจริยธรรม ยันไม่ได้ด้อยค่าส.ว.ขายหมู หมอเปรม วอน ปธ.วุฒิ ฟัง เสียงข้างน้อยด้วย หวั่น เป็นตราบาปของรัฐสภา
.
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 3 พฤศจิกายน ที่รัฐสภา น.ส.นันทนา นันทวโรภาส ส.ว. ยื่นหนังสือถึง นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ขอให้ตรวจสอบการใช้อำนาจที่ขาดธรรมาภิบาลของวุฒิสภา โดย น.ส.นันทนา กล่าวว่า วันนี้ได้ทำหนังสือถึงประธานรัฐสภาเรื่องการใช้อำนาจที่ขาดธรรมาภิบาลของวุฒิสภา ซึ่งจะนำไปสู่ความล้มเหลวของฝ่ายนิติบัญญัติ โดยในหนังสือร้องเรียนระบุว่าสืบเนื่องจากมีผู้ร้องมายังคณะกรรมการจริยธรรมวุฒิสภาว่า ตนทำผิดจริยธรรมด้วยการดูหมิ่นด้อยค่าคนขายหมู จากนั้นคณะกรรมการจริยธรรมได้ดำเนินการสอบสวน และนำรายงานเรื่องดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมวุฒิสภา และได้รายงานผลการตรวจสอบมาตรฐานทางจริยธรรมตามข้อบังคับ
.
น.ส.นันทนา กล่าวต่อว่า ซึ่งคณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ จึงให้ที่ประชุมลงมติว่า ตนฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรงหรือไม่ ซึ่งที่ประชุมวุฒิสภาลงมติเสียงข้างมาก 130 เสียง เห็นว่าตนฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรง และจะส่งเรื่องนี้ไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ป.ป.ช.) ต่อไป
.
น.ส.นันทนา กล่าวอีกว่า การกระทำดังกล่าวของวุฒิสภาถือเป็นการอคติกลั่นแกล้ง เนื่องจากที่ผ่านมา ตนได้ออกมาเปิดโปงเรื่องฮั้ว ส.ว. และเรียกร้องให้ ส.ว. ที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหาหยุดปฏิบัติหน้าที่ในการให้ความเห็นชอบผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ซึ่งการกระทำหน้าที่ดังกล่าวของตนเป็นไปยังเปิดเผยเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ แต่อาจเป็นการขัดต่อผลประโยชน์ของ ส.ว. เสียงข้างมาก เห็นได้จากการที่กลุ่ม ส.ว. เสียงข้างมากได้พยายามขัดขวางการอภิปรายในสภาของตนแทบทุกครั้ง การที่วุฒิสภามีมติให้การวิพากษ์วิจารณ์การคัดเลือกบุคคลเข้าเป็นกรรมาธิการแบบผิดฝาผิดตัวเป็นความผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง สะท้อนถึงการใช้ดุลพินิจที่ขาดความชอบธรรมในการตัดสิน
.
“การพิจารณาโทษที่รุนแรงไม่ได้สัดส่วนกับการกระทำ ถือเป็นการทำลายล้างทางการเมือง สร้างบรรยากาศแห่งความกลัว ทำให้สว.ขาดอิสระในการแสดงความคิดเห็น มากไปกว่านั้นคณะกรรมการจริยธรรมวุฒิสภาได้รับแจ้งข้อกล่าวหาคดีฮั้ว ส.ว. เป็นกรรมการอยู่ถึง 15 คน ถือเป็นคู่ขัดแย้งโดยตรงกับผู้ถูกกล่าวหา จึงไม่ควรมีสิทธิ์เป็นกรรมการจริยธรรมพิจารณาตัดสินกรณีนี้ เพราะถือเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์อย่างรุนแรง การกระทำของคณะกรรมการจริยธรรมและที่ประชุมวุฒิสภาถือเป็นการทำลายนิติรัฐของวุฒิสภาลง” น.ส.นันทนา กล่าว
.
น.ส.นันทนา กล่าวอีกว่า การที่วุฒิสภาใช้เสียงข้างมากกำจัดฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ถือเป็นอันตรายต่อระบบรัฐสภาประชาธิปไตยและหลักนิติธรรม ในฐานะที่ประธานรัฐสภาเป็นประมุขฝ่ายนิติบัญญัติย่อมต้องพิทักษ์รักษาให้รัฐสภาแห่งนี้ปฏิบัติหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติอย่างมีธรรมาภิบาลโปร่งใส ซื่อสัตย์เป็นกลาง จึงขอให้ประธานรัฐสภาตั้งกรรมการขึ้นมาตรวจสอบการใช้อำนาจที่ขาดธรรมาภิบาลของวุฒิสภาอย่างเร่งด่วน เพื่อไม่ให้ภาพลักษณ์ของวุฒิสภาถดถอย กลายเป็นสภาของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ที่ใช้อำนาจล้นเกินทำลายผู้เห็นต่างอย่างชอบธรรมที่จะนำไปสู่ความล้มเหลวของฝ่ายนิติบัญญัติ
.
ด้าน นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ ส.ว. กล่าวว่า ในช่วงปิดสมัยประชุมตนได้ลงพื้นที่เพื่อไปสอบถามความคิดเห็นของประชาชนซึ่งระบุได้เลยว่า 99.99 เปอร์เซ็นต์ ไม่เห็นด้วยกับมติดังกล่าว ตนจึงขอถามไปยังผู้ที่ลงมติทั้ง 130 ท่าน ท่านยังคงสบายใจได้อยู่อีกหรือ ที่ประชาชนไม่เห็นด้วย ซึ่งหากองค์กรใดมีท่าทีหรือมติที่สวนทางกับประชาชน องค์กรนั้นจะอยู่อย่างสง่างามได้อย่างไร ฉะนั้น วันนี้เมื่อไม่มีที่พึ่งน.ส.นันทนาจึงหวังพึ่งประธานรัฐสภา
.
นพ.เปรมศักดิ์ กล่าวต่อว่า ตนมองว่าประธานรัฐสภาในเวลานี้จะเป็นผู้ที่สามารถให้หลักการและเป็นที่พึ่ง และการตรวจสอบที่โปร่งใสได้ จะเห็นได้ว่าขนาดสส.แม้มีเพียงเสียงเดียวก็ยังมีที่ยืนในกรรมาธิการ ยังสามารถทำงานได้ แต่สว.เสียงข้างน้อยไม่อาจจะสะท้อนใดๆ เลย ถูกปิดปากเช่นนี้ สิ่งที่อยู่ภายใต้คำว่าสภาสูงนั้น สูงจริงหรือไม่ และตามหลักที่ท่านเป็นประมุขของฝ่ายนิติบัญญัติ ขอให้ท่านกลับมาปัดกวาดบ้านหลังนี้ รวมถึงให้ความเป็นธรรมด้วย
.
“ผมมองว่าเรื่องนี้เป็นตราบาปของรัฐสภา หากประธานรัฐสภาไม่ปัดกวาด ตราบาปแบบนี้จะยังคงอยู่ตลอดไป และขอฝากถึงประธานวุฒิสภา อย่าฟังแต่เสียงคนนั้นคนนี้ ขอให้ฟังด้วยความเป็นธรรม รวมถึงฟังเสียงสมาชิกวุฒิสภาข้างน้อยด้วย ที่อาจจะมีมุมมองไม่เหมือนสมาชิกวุฒิสภาเสียงข้างมาก แต่ก็ทำโดยความเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน วันนี้ยิ่งมีข่าวว่า 17 ส.ว. ถูกขึ้นบัญชีดำ และจะถูกเช็คบิลเป็นราย ๆ ไป อยากให้สังคมและประชาชนช่วยปกป้องเสียงข้างน้อยในสภาด้วย ให้มีที่ยืนเพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์ให้ประชาชน” นพ.เปรมศักดิ์ กล่าว
.
นพ.เปรมศักดิ์ กล่าวต่อว่า ฉะนั้น หากประธานรัฐสภาปล่อยให้เรื่องที่เกิดขึ้นในวุฒิสภาเป็นแบบนี้ไม่มีผู้ใหญ่ลงมาซักถาม องค์กรนี้ก็จะเป็นสนิมเหล็กเกิดแต่เนื้อ ในตน เมื่อวันหนึ่งสนิมกัดกินเหล็ก เหล็กก็อยู่ไม่ได้ นั่นก็คือรัฐสภาไม่สามารถเป็นที่พึ่งหวังของประชาชนได้อีกต่อไป
.
เมื่อถามว่า มีคนออกมาเรียกร้องให้น.ส.นันทนา ออกมาแสดงความรับผิดชอบที่ดูหมิ่นว่า ส.ว.อาชีพขายหมู น.ส.นันทนา กล่าวว่า ตนยืนยันมาตั้งแต่ต้นว่าไม่ได้เป็นการดูหมิ่นหรือด้อยค่า แต่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ระบบในการคัดเลือก ส.ว. ที่เข้าสู่กรรมาธิการให้ถูกฝาถูกตัว ใช้คนให้เหมาะสมกับงาน เพื่อให้กรรมาธิการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ใช้ความรู้ความสามารถให้ตรง เพื่อยกตัวอย่างให้เห็นว่า ถ้าคนที่มีความรู้ด้านหนึ่งแล้วไปเข้ากรรมาธิการที่ไม่ตรงกับความรู้ความสามารถประชาชนเสียประโยชน์แน่นอนจึงได้ยกตัวอย่างเรื่องคนขายหมูขึ้นมาหากไปอยู่กรรมาธิการพาณิชย์หรือการเกษตรจะตรงกับความรู้ความสามารถและผลักดัน ปัญหาของประชาชนได้มากกว่านี้หรือไม่ ตนจึงประท้วงระบบ และเป็นการเรียกตามกลุ่มอาชีพไม่ได้มีเจตนาด้อยค่า