สวัสดีครับ Silver Gaze ครับ
ทุกท่านเคยคิดกันไหมครับ ว่าถ้าเราสามารถทำงานวิจัยอิสระแบบการบ้านช่วงปิดเทอมของเด็กญี่ปุ่นได้เนี่ย ทุกท่านจะทำงานวิจัยเรื่องอะไรกัน ? งานวิจัยที่ไม่ต้องสร้างผลกระทบมากมาย งานวิจัยที่เป็นเพียงการศึกษาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในทุกๆ วัน แต่ก็ยังมีความสนุกกว่าการพยายามปลูกถั่วงอกที่ปลูกเท่าไหร่ก็ตายทุกที
ถ้าต้องเลือกทำงานวิจัยเช่นนั้นในตอนนี้ ทุกท่านจะทำเรื่องอะไรกันครับ ?
สำหรับผม ถ้าไม่นับเรื่องเทคนิคการจีบสาวทอมบอย ผมสั้น น่ารัก คูลๆ แต่ก็มีด้านที่น่ารัก ผมอยากทำเรื่องเกี่ยวกับการพักผ่อนในยุคปัจจุบันมากๆ เลย
เพราะโดยส่วนตัวแล้ว ผมมองว่าการพักผ่อนในปัจจุบันเนี่ย มันอาจจะส่งผลตรงกันข้ามก็ได้นะ
ยกตัวอย่างที่ผมรู้สึกแบบชัดมากๆ เลยก็คือการดูวีดีโอผ่านโทรศัพท์มือถือครับ คือถ้าเทียบกับการดูโทรทัศน์ในสมัยก่อนเนี้ย ผมมองว่าการมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือ มันน่าจะสร้างความเครียดให้กับดวงตาของเรามากกว่าการจ้องโทรทัศน์มากหลายเท่า ยิ่งโดยเฉพาะการจ้องตัวหนังสือคำบรรยาย หรือที่เราเรียกกันว่า ‘ซับ’ นี่แหละครับ แถมถ้าเราเป็นคนที่ใช้สายตาอย่างหนักระหว่างการทำงานอยู่แล้ว ผลที่ได้ออกมายิ่งแย่เข้าไปใหญ่
แต่ที่แย่กว่าในความคิดของผม ก็คือความสามารถในการเข้าถึงสื่อต่างๆ ของเรานี่แหละครับ เพราะถ้าเทียบกันระหว่างเทปที่ต้องเอาดินสอมาม้วนๆ ก่อนดู กับ Reel ในสมัยนี้ แม้ความน่าเบื่อของสื่อต่างๆ จะยังคงอยู่เหมือนเดิม แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือความสามารถในการทนอยู่กับความน่าเบื่อของเราที่ลดลงอย่างมาก จนบางครั้งช่วงเวลาเงียบๆ ระหว่างอาบน้ำ หรือช่วงเวลาเงียบๆ ก่อนนอน ก็กลายเป็นเรื่องน่าเบื่อที่ต้องหาอะไรมาคั่นเสียไปแล้ว
คือสมัยก่อน ถ้าสื่อมันมีแค่นี้ มันก็มีแค่นี้แหละครับ ถ้าไม่เสพสื่อเท่าที่มีในมือซ้ำๆ สิ่งที่ทำได้ก็คือการอยู่กับความเบื่อ หรือไม่ก็พาตัวเองออกไปเจอกับประสบการณ์อื่นๆ ในขณะที่ในสมัยนี้สื่อต่างๆ มีจำนวนเยอะมาก แถมมันยังถูกสร้างขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ของเราแทบทุกข้อ เราเลยเสียเวลากับสื่อเหล่านี้มาก จนการพาตัวเองไปเจอกับสิ่งใหม่ๆ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องเสียเวลาไปคำนึงถึงด้วยซ้ำ เพราะเราแทบจะไม่มีเวลาให้กับตัวเองเสียด้วยซ้ำ ในขณะที่สื่อที่เราไม่ชอบ หรือบางครั้งเราก็แค่รู้สึกไม่ถูกชะตาหลังจากที่มองผ่านวินาทีเดียวเฉยๆ เราก็แค่ดีดมันออก โดยไม่จำเป็นต้องเสียเวลาทำความเข้าใจด้วยซ้ำว่าเพราะอะไรเราถึงไม่ชอบสิ่งเหล่านั้น ซึ่งก็เป็นเรื่องที่มีทั้งข้อดีและข้อเสียในเวลาเดียวกัน
อีกเรื่องที่น่าสนใจก็คือเรื่องเฉดสีต่างๆ รวมไปถึงภาพความทรงจำต่างๆ ที่อยู่ดีๆ ก็เพิ่มจำนวนขึ้นมากเกินความจำเป็น ซึ่งก็มาจากความสามารถในการที่เราเข้าถึงสื่อต่างๆ ได้มากเกินไปนั่นแหละครับ คือทุกท่านลองมองไปรอบๆ ห้องที่ตัวเองอยู่ แล้วตีเส้นขึ้นมาเป็นตารางย่อยๆ ดูก็ได้ครับ ท่านน่าจะเห็นใช่ไหมครับ ว่าสภาพแวดล้อมที่เราอยู่เฉดสีมันจะคล้ายๆ กัน จนบางทีถ้ามีสักตารางหนึ่งที่สมองเราเนียนๆ สร้างภาพคล้ายตารางที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมา เราก็จะไม่รู้สึกแปลกอะไรนัก เพราะสิ่งที่อยู่ในตาเราตอนนี้มีมันคล้ายๆ กัน ซึ่งไอความที่ร่างกายมันดูจะอู้ได้นี่แหละครับ ที่ทำให้ผมรู้สึกว่าคำว่า ‘พักผ่อน’ มันควรจะเป็นอะไรประมาณนี้
ซึ่งมันอยู่ตรงข้ามกับการพักผ่อนในสมัยนี้แบบสุดๆ
เฉดสีที่เปลี่ยนและแตกต่างกันแทบทุกวินาที ระดับเสียงที่บางทีก็ดังบางทีก็เบา ภาพจำนวนมากที่ไม่ประติดประต่อกัน เรื่องราวจำนวนมากที่ถูกฉีดเข้าไปในความทรงจำ แสงวิบวับที่มาจากไหนก็ไม่รู้ รวมไปถึงจังหวะที่ช้าเร็วเร็วช้ามั่วไปหมด ทั้งหมดนี้มันช่างห่างไกลกับคำว่า ‘ชิวๆ’ หรือไม่ก็ ‘พักผ่อน’ แต่กลับใกล้เคียงกับคำว่า ‘งานอื่นๆ ที่ได้รับมอบหมาย’ อย่างน่าประหลาด ผมที่เป็นคนซึ่งไม่ได้รักในการทำงานสักเท่าไหร่ จึงมองว่าการพักผ่อนในยุคใหม่นี่มันช่างน่าเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน หากผมต้องกลายเป็นเซลล์ๆ หนึ่งที่ต้องไปทำหน้าที่เหล่านั้น
คิดภาพว่าในทุกวัน การทำงานปกติของคุณคือการถือแผ่นป้าย 12 แผ่น เพื่อระบุเฉดสี ในขณะที่ช่วงพักผ่อนคุณดันต้องไปถือแผ่นป้าย 48 แผ่น เพื่อระบุเฉดสีดูสิครับ แค่จินตนาการดู ผมก็อยากจะเดินไปบีบคอหัวหน้า แล้วถามว่า ‘มันใกล้เคียงกับคำว่า ''พักผ่อน' ตรงไหนวะ ไอผมน้อย’ แบบสุดๆ
ทั้งหมดนั้นคือสาเหตุที่ผมมองว่าบางทีเราก็ควรบริหารให้ดี ว่าสิ่งที่เราอยู่ในยุคสมัยนี้มันคุ้มแล้วหรือเปล่าที่จะเรียกมันว่าการพักผ่อน เพราะเรื่องพวกนี้มันหลีกเลี่ยงไม่ได้หรอกครับ เนื่องจากชีวิตประจำวันของเรามันเครียด และความเครียดก็ควรจะไปถูกปลดปล่อยออกไป ไม่งั้นร่างกายเราก็อาจจะดีขึ้นหน่อย แต่สมองเราจะเหลวจนต้องโทรไปปรึกษากรมสุขภาพจิตแทน แถมการพักผ่อนที่ดีที่สุดอย่างการนอน ก็ใช่ว่าจะเพียงพอต่อการต่อสู้กับความเครียดในยุคปัจจุบันแต่อย่างใด ดังนั้นการบริหารและกำหนดขอบเขตให้ดีว่าเราจะเสียเวลาและร่างกายของเรามากเท่าไหร่เพื่อฟื้นความสดชื่นให้สมองจึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากๆ ในยุคปัจจุบันที่ทุกอย่างพร้อมจะแย่งความสำคัญในชีวิตจนมั่วซั่วไปหมดว่าสิ่งใดสำคัญ สิ่งใดที่เราคิดไปเองว่ามีความสำคัญ
หวังว่าจะได้เจอกันอีก
Silver Gaze
งานวิจัยอิสระ : การพักผ่อนในยุคปัจจุบัน มันได้พักผ่อนจริงไหมหน๋อ ?
ทุกท่านเคยคิดกันไหมครับ ว่าถ้าเราสามารถทำงานวิจัยอิสระแบบการบ้านช่วงปิดเทอมของเด็กญี่ปุ่นได้เนี่ย ทุกท่านจะทำงานวิจัยเรื่องอะไรกัน ? งานวิจัยที่ไม่ต้องสร้างผลกระทบมากมาย งานวิจัยที่เป็นเพียงการศึกษาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในทุกๆ วัน แต่ก็ยังมีความสนุกกว่าการพยายามปลูกถั่วงอกที่ปลูกเท่าไหร่ก็ตายทุกที
ถ้าต้องเลือกทำงานวิจัยเช่นนั้นในตอนนี้ ทุกท่านจะทำเรื่องอะไรกันครับ ?
สำหรับผม ถ้าไม่นับเรื่องเทคนิคการจีบสาวทอมบอย ผมสั้น น่ารัก คูลๆ แต่ก็มีด้านที่น่ารัก ผมอยากทำเรื่องเกี่ยวกับการพักผ่อนในยุคปัจจุบันมากๆ เลย
เพราะโดยส่วนตัวแล้ว ผมมองว่าการพักผ่อนในปัจจุบันเนี่ย มันอาจจะส่งผลตรงกันข้ามก็ได้นะ
ยกตัวอย่างที่ผมรู้สึกแบบชัดมากๆ เลยก็คือการดูวีดีโอผ่านโทรศัพท์มือถือครับ คือถ้าเทียบกับการดูโทรทัศน์ในสมัยก่อนเนี้ย ผมมองว่าการมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือ มันน่าจะสร้างความเครียดให้กับดวงตาของเรามากกว่าการจ้องโทรทัศน์มากหลายเท่า ยิ่งโดยเฉพาะการจ้องตัวหนังสือคำบรรยาย หรือที่เราเรียกกันว่า ‘ซับ’ นี่แหละครับ แถมถ้าเราเป็นคนที่ใช้สายตาอย่างหนักระหว่างการทำงานอยู่แล้ว ผลที่ได้ออกมายิ่งแย่เข้าไปใหญ่
แต่ที่แย่กว่าในความคิดของผม ก็คือความสามารถในการเข้าถึงสื่อต่างๆ ของเรานี่แหละครับ เพราะถ้าเทียบกันระหว่างเทปที่ต้องเอาดินสอมาม้วนๆ ก่อนดู กับ Reel ในสมัยนี้ แม้ความน่าเบื่อของสื่อต่างๆ จะยังคงอยู่เหมือนเดิม แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือความสามารถในการทนอยู่กับความน่าเบื่อของเราที่ลดลงอย่างมาก จนบางครั้งช่วงเวลาเงียบๆ ระหว่างอาบน้ำ หรือช่วงเวลาเงียบๆ ก่อนนอน ก็กลายเป็นเรื่องน่าเบื่อที่ต้องหาอะไรมาคั่นเสียไปแล้ว
คือสมัยก่อน ถ้าสื่อมันมีแค่นี้ มันก็มีแค่นี้แหละครับ ถ้าไม่เสพสื่อเท่าที่มีในมือซ้ำๆ สิ่งที่ทำได้ก็คือการอยู่กับความเบื่อ หรือไม่ก็พาตัวเองออกไปเจอกับประสบการณ์อื่นๆ ในขณะที่ในสมัยนี้สื่อต่างๆ มีจำนวนเยอะมาก แถมมันยังถูกสร้างขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ของเราแทบทุกข้อ เราเลยเสียเวลากับสื่อเหล่านี้มาก จนการพาตัวเองไปเจอกับสิ่งใหม่ๆ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องเสียเวลาไปคำนึงถึงด้วยซ้ำ เพราะเราแทบจะไม่มีเวลาให้กับตัวเองเสียด้วยซ้ำ ในขณะที่สื่อที่เราไม่ชอบ หรือบางครั้งเราก็แค่รู้สึกไม่ถูกชะตาหลังจากที่มองผ่านวินาทีเดียวเฉยๆ เราก็แค่ดีดมันออก โดยไม่จำเป็นต้องเสียเวลาทำความเข้าใจด้วยซ้ำว่าเพราะอะไรเราถึงไม่ชอบสิ่งเหล่านั้น ซึ่งก็เป็นเรื่องที่มีทั้งข้อดีและข้อเสียในเวลาเดียวกัน
อีกเรื่องที่น่าสนใจก็คือเรื่องเฉดสีต่างๆ รวมไปถึงภาพความทรงจำต่างๆ ที่อยู่ดีๆ ก็เพิ่มจำนวนขึ้นมากเกินความจำเป็น ซึ่งก็มาจากความสามารถในการที่เราเข้าถึงสื่อต่างๆ ได้มากเกินไปนั่นแหละครับ คือทุกท่านลองมองไปรอบๆ ห้องที่ตัวเองอยู่ แล้วตีเส้นขึ้นมาเป็นตารางย่อยๆ ดูก็ได้ครับ ท่านน่าจะเห็นใช่ไหมครับ ว่าสภาพแวดล้อมที่เราอยู่เฉดสีมันจะคล้ายๆ กัน จนบางทีถ้ามีสักตารางหนึ่งที่สมองเราเนียนๆ สร้างภาพคล้ายตารางที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมา เราก็จะไม่รู้สึกแปลกอะไรนัก เพราะสิ่งที่อยู่ในตาเราตอนนี้มีมันคล้ายๆ กัน ซึ่งไอความที่ร่างกายมันดูจะอู้ได้นี่แหละครับ ที่ทำให้ผมรู้สึกว่าคำว่า ‘พักผ่อน’ มันควรจะเป็นอะไรประมาณนี้
ซึ่งมันอยู่ตรงข้ามกับการพักผ่อนในสมัยนี้แบบสุดๆ
เฉดสีที่เปลี่ยนและแตกต่างกันแทบทุกวินาที ระดับเสียงที่บางทีก็ดังบางทีก็เบา ภาพจำนวนมากที่ไม่ประติดประต่อกัน เรื่องราวจำนวนมากที่ถูกฉีดเข้าไปในความทรงจำ แสงวิบวับที่มาจากไหนก็ไม่รู้ รวมไปถึงจังหวะที่ช้าเร็วเร็วช้ามั่วไปหมด ทั้งหมดนี้มันช่างห่างไกลกับคำว่า ‘ชิวๆ’ หรือไม่ก็ ‘พักผ่อน’ แต่กลับใกล้เคียงกับคำว่า ‘งานอื่นๆ ที่ได้รับมอบหมาย’ อย่างน่าประหลาด ผมที่เป็นคนซึ่งไม่ได้รักในการทำงานสักเท่าไหร่ จึงมองว่าการพักผ่อนในยุคใหม่นี่มันช่างน่าเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน หากผมต้องกลายเป็นเซลล์ๆ หนึ่งที่ต้องไปทำหน้าที่เหล่านั้น
คิดภาพว่าในทุกวัน การทำงานปกติของคุณคือการถือแผ่นป้าย 12 แผ่น เพื่อระบุเฉดสี ในขณะที่ช่วงพักผ่อนคุณดันต้องไปถือแผ่นป้าย 48 แผ่น เพื่อระบุเฉดสีดูสิครับ แค่จินตนาการดู ผมก็อยากจะเดินไปบีบคอหัวหน้า แล้วถามว่า ‘มันใกล้เคียงกับคำว่า ''พักผ่อน' ตรงไหนวะ ไอผมน้อย’ แบบสุดๆ
ทั้งหมดนั้นคือสาเหตุที่ผมมองว่าบางทีเราก็ควรบริหารให้ดี ว่าสิ่งที่เราอยู่ในยุคสมัยนี้มันคุ้มแล้วหรือเปล่าที่จะเรียกมันว่าการพักผ่อน เพราะเรื่องพวกนี้มันหลีกเลี่ยงไม่ได้หรอกครับ เนื่องจากชีวิตประจำวันของเรามันเครียด และความเครียดก็ควรจะไปถูกปลดปล่อยออกไป ไม่งั้นร่างกายเราก็อาจจะดีขึ้นหน่อย แต่สมองเราจะเหลวจนต้องโทรไปปรึกษากรมสุขภาพจิตแทน แถมการพักผ่อนที่ดีที่สุดอย่างการนอน ก็ใช่ว่าจะเพียงพอต่อการต่อสู้กับความเครียดในยุคปัจจุบันแต่อย่างใด ดังนั้นการบริหารและกำหนดขอบเขตให้ดีว่าเราจะเสียเวลาและร่างกายของเรามากเท่าไหร่เพื่อฟื้นความสดชื่นให้สมองจึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากๆ ในยุคปัจจุบันที่ทุกอย่างพร้อมจะแย่งความสำคัญในชีวิตจนมั่วซั่วไปหมดว่าสิ่งใดสำคัญ สิ่งใดที่เราคิดไปเองว่ามีความสำคัญ
หวังว่าจะได้เจอกันอีก
Silver Gaze