สวัสดีครับเพื่อน ๆ ชาวพันทิป 🙏
วันนี้อยากมาแชร์ประสบการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตผมไปตลอดกาล จากคนที่ไม่เคยคิดจะวิ่งเลยสักนิด จนสุดท้ายสามารถวิ่งมาราธอนระยะทาง 42.195 กม. ได้สำเร็จภายในเวลาแค่ 1 ปี
จุดเริ่มต้น: จาก 0 กิโลเมตร
- ก่อนหน้านี้ผมเป็นคนไม่ออกกำลังกายเลย น้ำหนักเกิน หายใจเหนื่อยง่าย
- วันหนึ่งไปตรวจสุขภาพ หมอบอกว่า “ถ้าไม่เริ่มดูแลตัวเอง อนาคตเสี่ยงโรคความดันและเบาหวาน”
- คำพูดนั้นเหมือนระฆังปลุกให้ผมต้องลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลง
3 เดือนแรก: แค่เดินก็เหนื่อย
- เริ่มจากการ เดินเร็ววันละ 20–30 นาที
- พอเริ่มชินก็ลองวิ่งสลับเดิน (Run-Walk) ประมาณ 2–3 กม.
- ตอนนั้นเหนื่อยมาก แต่บอกตัวเองว่า “ไม่ต้องรีบ แค่ทำให้สม่ำเสมอ”
6 เดือน: เริ่มเห็นผล
- น้ำหนักลดลงเกือบ 8 กิโล
- สามารถวิ่งต่อเนื่องได้ 5–10 กม. โดยไม่หยุด
- เริ่มเข้าร่วม งานวิ่งมินิมาราธอน 10 กม. ครั้งแรก บรรยากาศงานทำให้มีกำลังใจมาก
9 เดือน: ก้าวสู่ฮาล์ฟมาราธอน
- ฝึกซ้อมตามตารางวิ่งจริงจังมากขึ้น สัปดาห์ละ 3–4 วัน
- เพิ่มระยะทางยาวสุดสัปดาห์ (Long Run) ทีละน้อย จนถึง 21 กม.
- งานวิ่งฮาล์ฟมาราธอนแรก ผมเข้าเส้นชัยด้วยน้ำตา เพราะไม่คิดว่าจะทำได้
12 เดือน: วันแห่งมาราธอน
- หลังจากซ้อมต่อเนื่องครบ 1 ปี ผมตัดสินใจสมัคร มาราธอน 42.195 กม.
- วันแข่งจริงเหนื่อยสุด ๆ แต่ทุกก้าวคือความภูมิใจ
- ตอนข้ามเส้นชัย ผมรู้เลยว่า “นี่คือรางวัลของความพยายาม”
สิ่งที่ได้เรียนรู้
1. เริ่มจากก้าวเล็ก ๆ ไม่ต้องวิ่งไกลตั้งแต่แรก
2. ความสม่ำเสมอสำคัญกว่าความเร็ว
3. ร่างกายเปลี่ยนได้ แต่ใจต้องแข็งแรงกว่า
4. สังคมของนักวิ่ง ช่วยให้เรามีกำลังใจเสมอ
สรุป
จากคนที่ไม่เคยวิ่งเลยในชีวิต ภายใน 1 ปี ผมสามารถพิชิตมาราธอน 42 กม. ได้สำเร็จ 🎉
อยากบอกทุกคนว่า ถ้าผมทำได้ คุณก็ทำได้ แค่เริ่มต้นและไม่ยอมแพ้
👉 เพื่อน ๆ คนไหนเคยมีประสบการณ์เปลี่ยนแปลงตัวเองด้วยการออกกำลังกายบ้าง มาแชร์กันหน่อยครับ เผื่อจะเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่น ๆ เช่นกัน
จากคนไม่เคยวิ่ง สู่การวิ่งมาราธอน 42 กม. ภายใน 1 ปี
สวัสดีครับเพื่อน ๆ ชาวพันทิป 🙏
วันนี้อยากมาแชร์ประสบการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตผมไปตลอดกาล จากคนที่ไม่เคยคิดจะวิ่งเลยสักนิด จนสุดท้ายสามารถวิ่งมาราธอนระยะทาง 42.195 กม. ได้สำเร็จภายในเวลาแค่ 1 ปี
จุดเริ่มต้น: จาก 0 กิโลเมตร
- ก่อนหน้านี้ผมเป็นคนไม่ออกกำลังกายเลย น้ำหนักเกิน หายใจเหนื่อยง่าย
- วันหนึ่งไปตรวจสุขภาพ หมอบอกว่า “ถ้าไม่เริ่มดูแลตัวเอง อนาคตเสี่ยงโรคความดันและเบาหวาน”
- คำพูดนั้นเหมือนระฆังปลุกให้ผมต้องลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลง
3 เดือนแรก: แค่เดินก็เหนื่อย
- เริ่มจากการ เดินเร็ววันละ 20–30 นาที
- พอเริ่มชินก็ลองวิ่งสลับเดิน (Run-Walk) ประมาณ 2–3 กม.
- ตอนนั้นเหนื่อยมาก แต่บอกตัวเองว่า “ไม่ต้องรีบ แค่ทำให้สม่ำเสมอ”
6 เดือน: เริ่มเห็นผล
- น้ำหนักลดลงเกือบ 8 กิโล
- สามารถวิ่งต่อเนื่องได้ 5–10 กม. โดยไม่หยุด
- เริ่มเข้าร่วม งานวิ่งมินิมาราธอน 10 กม. ครั้งแรก บรรยากาศงานทำให้มีกำลังใจมาก
9 เดือน: ก้าวสู่ฮาล์ฟมาราธอน
- ฝึกซ้อมตามตารางวิ่งจริงจังมากขึ้น สัปดาห์ละ 3–4 วัน
- เพิ่มระยะทางยาวสุดสัปดาห์ (Long Run) ทีละน้อย จนถึง 21 กม.
- งานวิ่งฮาล์ฟมาราธอนแรก ผมเข้าเส้นชัยด้วยน้ำตา เพราะไม่คิดว่าจะทำได้
12 เดือน: วันแห่งมาราธอน
- หลังจากซ้อมต่อเนื่องครบ 1 ปี ผมตัดสินใจสมัคร มาราธอน 42.195 กม.
- วันแข่งจริงเหนื่อยสุด ๆ แต่ทุกก้าวคือความภูมิใจ
- ตอนข้ามเส้นชัย ผมรู้เลยว่า “นี่คือรางวัลของความพยายาม”
สิ่งที่ได้เรียนรู้
1. เริ่มจากก้าวเล็ก ๆ ไม่ต้องวิ่งไกลตั้งแต่แรก
2. ความสม่ำเสมอสำคัญกว่าความเร็ว
3. ร่างกายเปลี่ยนได้ แต่ใจต้องแข็งแรงกว่า
4. สังคมของนักวิ่ง ช่วยให้เรามีกำลังใจเสมอ
สรุป
จากคนที่ไม่เคยวิ่งเลยในชีวิต ภายใน 1 ปี ผมสามารถพิชิตมาราธอน 42 กม. ได้สำเร็จ 🎉
อยากบอกทุกคนว่า ถ้าผมทำได้ คุณก็ทำได้ แค่เริ่มต้นและไม่ยอมแพ้
👉 เพื่อน ๆ คนไหนเคยมีประสบการณ์เปลี่ยนแปลงตัวเองด้วยการออกกำลังกายบ้าง มาแชร์กันหน่อยครับ เผื่อจะเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่น ๆ เช่นกัน