เคยสงสัยไหมว่า ทำไมบางวันเราตื่นขึ้นมาพร้อมความรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า พร้อมลุยกับวันใหม่ แต่ในบางวัน แม้จะนอนครบ 8 ชั่วโมง เสียงนาฬิกาปลุกกลับเหมือนค้อนที่ทุบหัวให้เราตื่นมาในสภาพที่งัวเงีย สะลึมสะลือ กว่าจะ "เครื่องติด" ก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยง ปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่แค่ความรู้สึกไปเองนะ
แต่มันมีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ซ่อนอยู่ และล่าสุดมีงานวิจัยที่น่าทึ่งชิ้นหนึ่งได้ถอดรหัสกระบวนการตื่นนอนของสมองเราออกมาเป็นฉากๆ เลยทีเดียว
วันนี้จะพาทุกท่านไปสำรวจเบื้องหลังความสดชื่นและความงัวเงียยามเช้า ผ่านบทความวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารระดับโลกอย่าง Current Biology
เรามักจะคิดว่าการนอนและการตื่นเป็นเหมือนการเปิด-ปิดสวิตช์ไฟ คือหลับตาแล้วก็ดับ ตื่นมาก็สว่างพรึ่บ แต่ในความเป็นจริงแล้ว สมองของเราซับซ้อนกว่านั้นมากครับ การเปลี่ยนผ่านจากภาวะหลับสู่ภาวะตื่นนั้นเป็นกระบวนการที่ค่อยเป็นค่อยไป และเกิดขึ้นไม่พร้อมกันทุกส่วนของสมอง เปรียบเสมือนวงออร์เคสตราขนาดใหญ่ที่นักดนตรีแต่ละคนเริ่มบรรเลงเครื่องดนตรีของตัวเองในจังหวะและเวลาที่ต่างกัน ก่อนจะผสานรวมกันเป็นเพลงที่สมบูรณ์
งานวิจัยล่าสุดโดยทีมของ Stephan และคณะ ได้ใช้เทคโนโลยีคลื่นไฟฟ้าสมองความละเอียดสูง (high-density EEG) เพื่อติดตาม บทเพลงแห่งการตื่นนอนนี้อย่างละเอียด พวกเขาทำการวิเคราะห์การตื่นนอนกว่า 1,000 ครั้ง ทั้งที่ตื่นเองตามธรรมชาติและตื่นเพราะเสียงนาฬิกาปลุก สิ่งที่ค้นพบนั้นน่าทึ่งมากครับ มันคือ ลายเซ็นหรือรูปแบบการทำงานของสมองที่เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอทุกครั้งที่เราตื่น ซึ่งลายเซ็นนี้เองที่เป็นตัวกำหนดว่าเราจะตื่นมาแบบสดใสหรือซอมบี้
เมื่อเราหลับ สมองของเราจะสร้างคลื่นไฟฟ้าที่มีความถี่แตกต่างกันไป นักวิจัยพบว่าเมื่อเราเริ่มเข้าสู่กระบวนการตื่นนอน (ในช่วงหลับลึก หรือ NREM sleep) สมองไม่ได้กระโดดไปสร้างคลื่นความถี่สูง (Fast waves) ที่เป็นลักษณะของคนตื่นในทันที แต่กลับเริ่มต้นด้วยการระเบิดพลังของคลื่นความถี่ต่ำ (Slow waves) เช่น คลื่นเดลต้า (Delta) และคลื่นธีต้า (Theta) อย่างรวดเร็วเป็นเวลาสั้นๆ
ปรากฏการณ์นี้เปรียบได้กับการที่มือกลองและมือเบสเริ่มให้จังหวะทุ้มๆ หนักๆ ก่อนที่เครื่องดนตรีชิ้นอื่นจะตามมา หลังจากจังหวะของคลื่นช้าผ่านไปไม่กี่วินาที "ซิมโฟนี" แห่งการตื่นนอนจึงดำเนินต่อไปด้วย "คลื่นความถี่สูง" (Fast waves) เช่น คลื่นอัลฟ่า (Alpha) และเบต้า (Beta) ซึ่งเป็นสัญญาณว่าสมองส่วนต่างๆ เริ่มกลับมาทำงานและพร้อมรับรู้โลกภายนอกแล้ว
ลำดับขั้นตอนนี้ (ช้าไปเร็ว) เป็นรูปแบบที่เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอในการตื่นจากช่วงหลับลึก (NREM) และเป็นกุญแจสำคัญดอกแรกในการไขปริศนาความงัวเงีย
สมองตื่นจาก "หน้าไปหลัง" แผนที่การเดินทางสู่ความตื่นตัว
นอกจากลำดับของคลื่นสมองแล้ว นักวิจัยยังพบรูปแบบเชิงพื้นที่ที่น่าสนใจอีกด้วย นั่นคือสมองของเราไม่ได้ตื่นขึ้นมาพร้อมกันทั้งก้อน แต่มีลำดับการเปิดทำการที่ชัดเจน
จากการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า คลื่นความถี่สูงที่บ่งบอกถึงความตื่นตัวนั้นจะเริ่มปรากฏที่ "สมองส่วนหน้า" (Anterior regions) ก่อนเป็นอันดับแรก สมองส่วนหน้านี้เปรียบเสมือน CEO ของร่างกาย มีหน้าที่ในการคิด วางแผน ตัดสินใจ และควบคุมส่วนอื่นๆ จากนั้นสัญญาณการตื่นตัวนี้จะค่อยๆ เดินทางไปยัง "สมองส่วนหลัง" (Posterior regions) ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการรับรู้ประสาทสัมผัสและการมองเห็น
ภาพที่เกิดขึ้นคือ CEO (สมองส่วนหน้า) ตื่นขึ้นมาเตรียมพร้อมสั่งการก่อน จากนั้นพนักงานในส่วนปฏิบัติการ (สมองส่วนหลัง) จึงค่อยๆ ทยอยตื่นขึ้นมาทำงานตามลำดับ นี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมในช่วงแรกๆ ของการตื่น เราอาจจะยังรู้สึกมึนๆ งงๆ การรับรู้ภาพและเสียงยังไม่ชัดเจนเต็มที่ เพราะสมองส่วนหลังยัง "วอร์มอัพ" ไม่เสร็จนั่นเอง
มาถึงจุดที่น่าสนใจที่สุดของงานวิจัยชิ้นนี้ครับ โดยปกติแล้วเรามักจะเข้าใจว่า "คลื่นช้า" (Slow waves) คือสัญลักษณ์ของการนอนหลับ ยิ่งมีมากก็ยิ่งหลับลึก แล้วทำไมมันถึงมาปรากฏตัวในช่วงเริ่มต้นของการตื่นนอนล่ะ? มันควรจะเป็นตัวการที่ทำให้เรางัวเงียไม่ใช่หรือ?
คำตอบคือ "ไม่ใช่คลื่นช้าทุกแบบจะเหมือนกัน"
งานวิจัยนี้ช่วยให้เราเข้าใจความแตกต่างของคลื่นช้า 2 ชนิดที่มีผลต่อความรู้สึกตื่นตัวของเราตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
1️⃣ คลื่นช้าชนิดที่ 1 (Type I slow waves หรือ K-complexes) ผมขอเรียกมันว่า "คลื่นปลุกพลัง" ครับ คลื่นชนิดนี้มีลักษณะเป็นคลื่นขนาดใหญ่และแหลมคมที่เกิดขึ้น ก่อนที่เราจะตื่นนอนไม่นาน มันทำหน้าที่เหมือนเป็นสัญญาณ เตะปลั๊กหรือ "Kick-start" ให้สมองเริ่มกระบวนการตื่นอย่างมีประสิทธิภาพ ที่น่าทึ่งคือ ยิ่งสมองสร้างคลื่นชนิดนี้ได้มากเท่าไหร่ก่อนที่เราจะถูกปลุก เราจะยิ่งรู้สึกงัวเงียน้อยลงและสดชื่นมากขึ้นเท่านั้น
1️⃣ คลื่นช้าชนิดที่ 1 (Type I slow waves หรือ K-complexes) ผมขอเรียกมันว่า "คลื่นปลุกพลัง" ครับ คลื่นชนิดนี้มีลักษณะเป็นคลื่นขนาดใหญ่และแหลมคมที่เกิดขึ้น ก่อนที่เราจะตื่นนอนไม่นาน มันทำหน้าที่เหมือนเป็นสัญญาณ เตะปลั๊กหรือ "Kick-start" ให้สมองเริ่มกระบวนการตื่นอย่างมีประสิทธิภาพ ที่น่าทึ่งคือ ยิ่งสมองสร้างคลื่นชนิดนี้ได้มากเท่าไหร่ก่อนที่เราจะถูกปลุก เราจะยิ่งรู้สึกงัวเงียน้อยลงและสดชื่นมากขึ้นเท่านั้น
2️⃣ คลื่นช้าชนิดที่ 2 (Type II slow waves หรือ Delta waves ทั่วไป) ผมขอเรียกมันว่า "คลื่นแห่งความเฉื่อย" คลื่นชนิดนี้คือคลื่นช้าที่เป็นพื้นฐานของการหลับลึก หากในช่วงที่เราหลับมีคลื่นชนิดนี้อยู่มากเกินไป เมื่อตื่นขึ้นมาเราจะรู้สึกเฉื่อยชาและงัวเงีย หรือที่เรียกกันว่า ภาวะเฉื่อยหลังตื่นนอน (Sleep Inertia)
นี่คือการค้นพบที่เปลี่ยนความเข้าใจของเราไปเลยครับ สรุปง่ายๆ คือ การมีคลื่นปลุกพลังมากระตุ้นก่อนตื่นเป็นเรื่องดี แต่การมีคลื่นแห่งความเฉื่อยตกค้างอยู่มากเกินไปตอนตื่นเป็นเรื่องที่ทำให้เรารู้สึกไม่สดชื่นนั่นเอง
เราจะนำความรนี้ไปใช้อย่างไร⏩️⏩️⏩️
แม้ว่าเราจะไม่สามารถควบคุมการสร้างคลื่นสมองได้โดยตรง แต่ความเข้าใจนี้ก็ให้แนวทางที่น่าสนใจในการปรับปรุงคุณภาพการตื่นนอนของเราได้
✍️ ความสำคัญของการนอนหลับที่สม่ำเสมอ การมีตารางการนอน-ตื่นที่เป็นเวลาจะช่วยให้นาฬิกาชีวภาพในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้สมองสามารถเตรียมพร้อมและสร้างคลื่นปลุกพลังได้อย่างเหมาะสมในเวลาที่ควรจะตื่น
✍️ คุณภาพการนอนสำคัญกว่าแค่ชั่วโมง การนอนหลับที่ถูกรบกวนบ่อยๆ อาจขัดขวางกระบวนการสร้างคลื่นสมองตามธรรมชาติ ทำให้สมองไม่สามารถเข้าสู่กระบวนการตื่นนอนที่ราบรื่นได้
✍️ อนาคตของนาฬิกาปลุก ในอนาคต เราอาจมีอุปกรณ์สวมใส่ที่สามารถตรวจจับคลื่นสมองและปลุกเราในจังหวะที่เหมาะสมที่สุดของวงจรการนอน ซึ่งก็คือช่วงที่สมองเพิ่งสร้าง "คลื่นปลุกพลัง" เสร็จพอดี เพื่อให้เราตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่นที่สุด
การตื่นนอนไม่ใช่เหตุการณ์ง่ายๆ แค่ลืมตา แต่มันคือกระบวนการทางชีวภาพที่สลับซับซ้อนและงดงาม เป็น "ซิมโฟนี" ที่สมองของเราบรรเลงขึ้นทุกเช้า โดยเริ่มจากจังหวะของคลื่นช้าที่ส่วนหน้าของสมอง แล้วจึงค่อยๆ ไล่เรียงไปยังคลื่นเร็วที่ส่วนหลัง และกุญแจสำคัญของความสดชื่นก็อยู่ที่ "คลื่นปลุกพลัง" ที่เกิดขึ้นอย่างถูกที่ถูกเวลา
ครั้งต่อไปที่คุณตื่นนอน ลองสังเกตตัวเองดูนะ
ว่าวันนี้คุณรู้สึกสดชื่นหรือยังงัวเงียอยู่ ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอะไร อย่างน้อยตอนนี้คุณก็ได้รู้แล้วว่ามีกระบวนการอันน่าอัศจรรย์อะไรเกิดขึ้นในสมองของคุณบ้าง และนั่นอาจเป็นก้าวแรกที่ทำให้คุณหันมาใส่ใจคุณภาพของการนอนหลับและการตื่นนอนมากขึ้นก็ได้
CR:www. blockdit.com
😴เคยสงสัยไหมว่า ทำไมบางวันเราตื่นขึ้นมาพร้อมความรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า แต่บางวันไม่อยากลุกจากที่นอนเลย 🥱
แต่มันมีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ซ่อนอยู่ และล่าสุดมีงานวิจัยที่น่าทึ่งชิ้นหนึ่งได้ถอดรหัสกระบวนการตื่นนอนของสมองเราออกมาเป็นฉากๆ เลยทีเดียว
วันนี้จะพาทุกท่านไปสำรวจเบื้องหลังความสดชื่นและความงัวเงียยามเช้า ผ่านบทความวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารระดับโลกอย่าง Current Biology
เรามักจะคิดว่าการนอนและการตื่นเป็นเหมือนการเปิด-ปิดสวิตช์ไฟ คือหลับตาแล้วก็ดับ ตื่นมาก็สว่างพรึ่บ แต่ในความเป็นจริงแล้ว สมองของเราซับซ้อนกว่านั้นมากครับ การเปลี่ยนผ่านจากภาวะหลับสู่ภาวะตื่นนั้นเป็นกระบวนการที่ค่อยเป็นค่อยไป และเกิดขึ้นไม่พร้อมกันทุกส่วนของสมอง เปรียบเสมือนวงออร์เคสตราขนาดใหญ่ที่นักดนตรีแต่ละคนเริ่มบรรเลงเครื่องดนตรีของตัวเองในจังหวะและเวลาที่ต่างกัน ก่อนจะผสานรวมกันเป็นเพลงที่สมบูรณ์
งานวิจัยล่าสุดโดยทีมของ Stephan และคณะ ได้ใช้เทคโนโลยีคลื่นไฟฟ้าสมองความละเอียดสูง (high-density EEG) เพื่อติดตาม บทเพลงแห่งการตื่นนอนนี้อย่างละเอียด พวกเขาทำการวิเคราะห์การตื่นนอนกว่า 1,000 ครั้ง ทั้งที่ตื่นเองตามธรรมชาติและตื่นเพราะเสียงนาฬิกาปลุก สิ่งที่ค้นพบนั้นน่าทึ่งมากครับ มันคือ ลายเซ็นหรือรูปแบบการทำงานของสมองที่เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอทุกครั้งที่เราตื่น ซึ่งลายเซ็นนี้เองที่เป็นตัวกำหนดว่าเราจะตื่นมาแบบสดใสหรือซอมบี้
เมื่อเราหลับ สมองของเราจะสร้างคลื่นไฟฟ้าที่มีความถี่แตกต่างกันไป นักวิจัยพบว่าเมื่อเราเริ่มเข้าสู่กระบวนการตื่นนอน (ในช่วงหลับลึก หรือ NREM sleep) สมองไม่ได้กระโดดไปสร้างคลื่นความถี่สูง (Fast waves) ที่เป็นลักษณะของคนตื่นในทันที แต่กลับเริ่มต้นด้วยการระเบิดพลังของคลื่นความถี่ต่ำ (Slow waves) เช่น คลื่นเดลต้า (Delta) และคลื่นธีต้า (Theta) อย่างรวดเร็วเป็นเวลาสั้นๆ
ปรากฏการณ์นี้เปรียบได้กับการที่มือกลองและมือเบสเริ่มให้จังหวะทุ้มๆ หนักๆ ก่อนที่เครื่องดนตรีชิ้นอื่นจะตามมา หลังจากจังหวะของคลื่นช้าผ่านไปไม่กี่วินาที "ซิมโฟนี" แห่งการตื่นนอนจึงดำเนินต่อไปด้วย "คลื่นความถี่สูง" (Fast waves) เช่น คลื่นอัลฟ่า (Alpha) และเบต้า (Beta) ซึ่งเป็นสัญญาณว่าสมองส่วนต่างๆ เริ่มกลับมาทำงานและพร้อมรับรู้โลกภายนอกแล้ว
ลำดับขั้นตอนนี้ (ช้าไปเร็ว) เป็นรูปแบบที่เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอในการตื่นจากช่วงหลับลึก (NREM) และเป็นกุญแจสำคัญดอกแรกในการไขปริศนาความงัวเงีย
สมองตื่นจาก "หน้าไปหลัง" แผนที่การเดินทางสู่ความตื่นตัว
นอกจากลำดับของคลื่นสมองแล้ว นักวิจัยยังพบรูปแบบเชิงพื้นที่ที่น่าสนใจอีกด้วย นั่นคือสมองของเราไม่ได้ตื่นขึ้นมาพร้อมกันทั้งก้อน แต่มีลำดับการเปิดทำการที่ชัดเจน
จากการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า คลื่นความถี่สูงที่บ่งบอกถึงความตื่นตัวนั้นจะเริ่มปรากฏที่ "สมองส่วนหน้า" (Anterior regions) ก่อนเป็นอันดับแรก สมองส่วนหน้านี้เปรียบเสมือน CEO ของร่างกาย มีหน้าที่ในการคิด วางแผน ตัดสินใจ และควบคุมส่วนอื่นๆ จากนั้นสัญญาณการตื่นตัวนี้จะค่อยๆ เดินทางไปยัง "สมองส่วนหลัง" (Posterior regions) ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการรับรู้ประสาทสัมผัสและการมองเห็น
ภาพที่เกิดขึ้นคือ CEO (สมองส่วนหน้า) ตื่นขึ้นมาเตรียมพร้อมสั่งการก่อน จากนั้นพนักงานในส่วนปฏิบัติการ (สมองส่วนหลัง) จึงค่อยๆ ทยอยตื่นขึ้นมาทำงานตามลำดับ นี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมในช่วงแรกๆ ของการตื่น เราอาจจะยังรู้สึกมึนๆ งงๆ การรับรู้ภาพและเสียงยังไม่ชัดเจนเต็มที่ เพราะสมองส่วนหลังยัง "วอร์มอัพ" ไม่เสร็จนั่นเอง
มาถึงจุดที่น่าสนใจที่สุดของงานวิจัยชิ้นนี้ครับ โดยปกติแล้วเรามักจะเข้าใจว่า "คลื่นช้า" (Slow waves) คือสัญลักษณ์ของการนอนหลับ ยิ่งมีมากก็ยิ่งหลับลึก แล้วทำไมมันถึงมาปรากฏตัวในช่วงเริ่มต้นของการตื่นนอนล่ะ? มันควรจะเป็นตัวการที่ทำให้เรางัวเงียไม่ใช่หรือ?
คำตอบคือ "ไม่ใช่คลื่นช้าทุกแบบจะเหมือนกัน"
งานวิจัยนี้ช่วยให้เราเข้าใจความแตกต่างของคลื่นช้า 2 ชนิดที่มีผลต่อความรู้สึกตื่นตัวของเราตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
1️⃣ คลื่นช้าชนิดที่ 1 (Type I slow waves หรือ K-complexes) ผมขอเรียกมันว่า "คลื่นปลุกพลัง" ครับ คลื่นชนิดนี้มีลักษณะเป็นคลื่นขนาดใหญ่และแหลมคมที่เกิดขึ้น ก่อนที่เราจะตื่นนอนไม่นาน มันทำหน้าที่เหมือนเป็นสัญญาณ เตะปลั๊กหรือ "Kick-start" ให้สมองเริ่มกระบวนการตื่นอย่างมีประสิทธิภาพ ที่น่าทึ่งคือ ยิ่งสมองสร้างคลื่นชนิดนี้ได้มากเท่าไหร่ก่อนที่เราจะถูกปลุก เราจะยิ่งรู้สึกงัวเงียน้อยลงและสดชื่นมากขึ้นเท่านั้น
1️⃣ คลื่นช้าชนิดที่ 1 (Type I slow waves หรือ K-complexes) ผมขอเรียกมันว่า "คลื่นปลุกพลัง" ครับ คลื่นชนิดนี้มีลักษณะเป็นคลื่นขนาดใหญ่และแหลมคมที่เกิดขึ้น ก่อนที่เราจะตื่นนอนไม่นาน มันทำหน้าที่เหมือนเป็นสัญญาณ เตะปลั๊กหรือ "Kick-start" ให้สมองเริ่มกระบวนการตื่นอย่างมีประสิทธิภาพ ที่น่าทึ่งคือ ยิ่งสมองสร้างคลื่นชนิดนี้ได้มากเท่าไหร่ก่อนที่เราจะถูกปลุก เราจะยิ่งรู้สึกงัวเงียน้อยลงและสดชื่นมากขึ้นเท่านั้น
2️⃣ คลื่นช้าชนิดที่ 2 (Type II slow waves หรือ Delta waves ทั่วไป) ผมขอเรียกมันว่า "คลื่นแห่งความเฉื่อย" คลื่นชนิดนี้คือคลื่นช้าที่เป็นพื้นฐานของการหลับลึก หากในช่วงที่เราหลับมีคลื่นชนิดนี้อยู่มากเกินไป เมื่อตื่นขึ้นมาเราจะรู้สึกเฉื่อยชาและงัวเงีย หรือที่เรียกกันว่า ภาวะเฉื่อยหลังตื่นนอน (Sleep Inertia)
นี่คือการค้นพบที่เปลี่ยนความเข้าใจของเราไปเลยครับ สรุปง่ายๆ คือ การมีคลื่นปลุกพลังมากระตุ้นก่อนตื่นเป็นเรื่องดี แต่การมีคลื่นแห่งความเฉื่อยตกค้างอยู่มากเกินไปตอนตื่นเป็นเรื่องที่ทำให้เรารู้สึกไม่สดชื่นนั่นเอง
เราจะนำความรนี้ไปใช้อย่างไร⏩️⏩️⏩️
แม้ว่าเราจะไม่สามารถควบคุมการสร้างคลื่นสมองได้โดยตรง แต่ความเข้าใจนี้ก็ให้แนวทางที่น่าสนใจในการปรับปรุงคุณภาพการตื่นนอนของเราได้
✍️ ความสำคัญของการนอนหลับที่สม่ำเสมอ การมีตารางการนอน-ตื่นที่เป็นเวลาจะช่วยให้นาฬิกาชีวภาพในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้สมองสามารถเตรียมพร้อมและสร้างคลื่นปลุกพลังได้อย่างเหมาะสมในเวลาที่ควรจะตื่น
✍️ คุณภาพการนอนสำคัญกว่าแค่ชั่วโมง การนอนหลับที่ถูกรบกวนบ่อยๆ อาจขัดขวางกระบวนการสร้างคลื่นสมองตามธรรมชาติ ทำให้สมองไม่สามารถเข้าสู่กระบวนการตื่นนอนที่ราบรื่นได้
✍️ อนาคตของนาฬิกาปลุก ในอนาคต เราอาจมีอุปกรณ์สวมใส่ที่สามารถตรวจจับคลื่นสมองและปลุกเราในจังหวะที่เหมาะสมที่สุดของวงจรการนอน ซึ่งก็คือช่วงที่สมองเพิ่งสร้าง "คลื่นปลุกพลัง" เสร็จพอดี เพื่อให้เราตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่นที่สุด
การตื่นนอนไม่ใช่เหตุการณ์ง่ายๆ แค่ลืมตา แต่มันคือกระบวนการทางชีวภาพที่สลับซับซ้อนและงดงาม เป็น "ซิมโฟนี" ที่สมองของเราบรรเลงขึ้นทุกเช้า โดยเริ่มจากจังหวะของคลื่นช้าที่ส่วนหน้าของสมอง แล้วจึงค่อยๆ ไล่เรียงไปยังคลื่นเร็วที่ส่วนหลัง และกุญแจสำคัญของความสดชื่นก็อยู่ที่ "คลื่นปลุกพลัง" ที่เกิดขึ้นอย่างถูกที่ถูกเวลา
ครั้งต่อไปที่คุณตื่นนอน ลองสังเกตตัวเองดูนะ
ว่าวันนี้คุณรู้สึกสดชื่นหรือยังงัวเงียอยู่ ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอะไร อย่างน้อยตอนนี้คุณก็ได้รู้แล้วว่ามีกระบวนการอันน่าอัศจรรย์อะไรเกิดขึ้นในสมองของคุณบ้าง และนั่นอาจเป็นก้าวแรกที่ทำให้คุณหันมาใส่ใจคุณภาพของการนอนหลับและการตื่นนอนมากขึ้นก็ได้
CR:www. blockdit.com