“แค่เดิน…ก็เปลี่ยนชีวิตได้จริงเหรอ?”
.
ผมไปเจอหนังสือเล่มหนึ่งจากญี่ปุ่นชื่อว่า
『歩く マジで人生が変わる習慣』
“แค่เดิน…ก็เปลี่ยนชีวิตได้จริง”
.
ผู้เขียนไม่ใช่นักกีฬา ไม่ใช่ทำอาชีพที่เกี่ยวข้องกับการเดิน
แต่เป็นนักข่าวเศรษฐกิจสายแข็งจาก NewsPicks
ที่วันหนึ่ง “ตัดสินใจหยุดชีวิตเร่งรีบ…แล้วเริ่มเดิน”
ไม่ใช่เดินเล่นๆ แต่มองการ “เดิน” เป็นเครื่องมือ
เปลี่ยนสมอง ร่างกาย และความคิดตัวเอง
.
ในหนังสือเขาเล่าหลักฐานเต็มไปหมด
ผมขอคัดเอาประเด็นสำคัญๆ มาให้เพื่อนๆ อ่านนะครับ
1. เดินแล้วได้ไอเดียดี ๆ จริงหรือ?
คนจำนวนมากเคยมีประสบการณ์ว่า
“พอเดิน ความคิดโล่งขึ้น”
แต่รู้ไหมครับ…มันไม่ใช่แค่ความรู้สึก
.
งานวิจัยจาก Stanford ปี 2014
ให้กลุ่มนักศึกษาทำแบบทดสอบความคิดสร้างสรรค์
– กลุ่มที่เดินกลางแจ้งขณะคิด
ได้คะแนนสูงกว่าคนที่นั่งเฉย ๆ ถึง 60%
→Steve Jobs มักจะชวนคนออกไปเดิน
เวลาจะคุยเรื่องสำคัญ
→Mark Zuckerberg ใช้การประชุมแบบเดิน และสร้างทางเดินขนาดเท่าโตเกียวโดมบนดาดฟ้า Meta HQ
.
2. เดิน = ความจำดีขึ้น สมองโตขึ้น
มีงานวิจัยในผู้สูงอายุอเมริกัน
บอกว่าการเดิน 3 ครั้ง/สัปดาห์ ครั้งละ 40 นาที
ทำให้ปริมาตรฮิปโปแคมปัส(สมองส่วนความจำ)
ขยายขึ้น 2%
ขณะเดียวกันกลุ่มที่ทำแค่การ “ยืดกล้ามเนื้อ”
ฮิปโปแคมปัสหดลง
.
สาร BDNF (Brain-Derived Neurotrophic Factor) ซึ่งเป็นเหมือน “อาหารเสริมสมอง” จะหลั่งมากขึ้นเมื่อเราเดิน → ทำให้สมองแข็งแรงขึ้น
3. เดิน = ยืดอายุ ห่างไกลโรค
ประโยชน์ทางสุขภาพของการเดิน
-ลดระดับน้ำตาลในเลือดและความดัน
-ช่วยยืดอายุขัย
-ลดความเสี่ยงมะเร็งและโรคหัวใจ
-ลดปัญหานอนไม่หลับและความเครียด
-ลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดในสมอง
งานวิจัยจากสหรัฐฯ พบว่า
เดินสัปดาห์ละ 150 นาที → อายุยืนขึ้นเฉลี่ย 3.4–4.5 ปี เทียบกับคนไม่ออกกำลังกายเลย
→ งานวิจัยจากสหรัฐ:
คนที่เดินสัปดาห์ละ 150 นาที
มีอายุเฉลี่ยยาวกว่าคนที่ไม่ออกกำลังกาย 3.4–4.5 ปี
.
4.แต่ถ้านั่งนานเกินไป = อันตรายระดับ “สูบบุหรี่”
งานวิจัยจากออสเตรเลียพบว่า
คนที่นั่งมากกว่า 11 ชม./วัน →
ความเสี่ยงเสียชีวิตเพิ่มขึ้น 40%
Apple CEO เคยพูดไว้ว่า
“Sitting is the new smoking.”
Apple Watch ถึงกับมีฟังก์ชันแจ้งให้ลุกทุก 1 ชั่วโมง
→ เพราะ ไม่ใช่แค่นั่งที่อันตราย
แต่ “การนั่งต่อเนื่อง” นี่แหละที่น่ากลัว
.
5. ต่อให้ออกกำลังกายก็ชดเชยไม่ได้
ต่อให้คุณไปฟิตเนสวันละ 1 ชม.
แต่ถ้านั่งต่อเนื่องอีก 10 ชม.
→ โทษจากการนั่งก็ยังอยู่เหมือนเดิม
วิธีที่ดีกว่าคือ ลุกเดินทุก 1 ชั่วโมง
เดินรอบโต๊ะ หรือขึ้น–ลงบันไดก็ยังดี
.
6. คนยุคใหม่ “เดินน้อยลงมาก”
คำแนะนำคือควรเดินวันละ 8,000–10,000 ก้าว
ในขณะที่งานวิจัยใน 111 ประเทศบอกว่า
-ญี่ปุ่นเฉลี่ย: 6,100 ก้าว/วัน
-สหรัฐ: 4,700 ก้าว
-ฮ่องกง (อันดับ 1): มากกว่า 6,500 ก้าว
-อินโดนีเซีย/ซาอุฯ: เพียง 3,500 ก้าว → เดินน้อยที่สุด
แม้ญี่ปุ่นจะดูดี แต่กระทรวงสาธารณสุขยังเตือนว่า
ค่าเฉลี่ย “ก้าวต่อวัน” ลดลงทุกปีอย่างช้า ๆ
.
7. รองเท้าสมัยนี้…อาจทำลายเท้าโดยไม่รู้ตัว
-รองเท้าทรงแหลม ส้นสูง หรือหนังแข็ง → ทำให้รูปเท้าบิดเบี้ยว เช่น นิ้วโป้งเบี้ยว (Hallux Valgus)
-รองเท้า “เบาะนุ่มเกินไป” → ทำให้สัญญาณสัมผัสจากพื้นลดลง, การลงน้ำหนักผิดธรรมชาติ
.
8. ทางออกเรื่องการเดินที่ผู้เขียนบอกไว้คือ
Barefoot Shoes
เป็นรองเท้าที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนเดินเท้าเปล่า
-หน้ารองเท้ากว้าง ให้นิ้วเท้ากางได้
-พื้นบาง แบน ไม่มีส้น
-เบา ยืดหยุ่น → กระตุ้นกล้ามเนื้อเท้าโดยธรรมชาติ
แต่ผู้เขียนก็แนะนำว่า…ไม่ต้องรีบเปลี่ยน
รองเท้าผ้าใบธรรมดาก็ยังดีกว่ารองเท้าหนังแข็ง ๆ ที่ใส่เพราะแฟชั่น
.
🟡 Action Plan สำหรับมนุษย์เงินเดือนหรือคนทำงานประจำที่ใช้ชีวิตนั่งอยู่กับโต๊ะนานๆ
1.ควรเดินสัปดาห์ละ 3 ครั้ง เดินอย่างน้อย 40 นาที
2.ตั้งเตือนหรือติดอุปกรณ์ช่วยเตือนให้ “ลุกขึ้นทุก 1 ชั่วโมง”
3.เลือกรองเท้าที่เหมาะกับเท้าจริง ๆ โดยเฉพาะถ้าคุณเริ่มมีอาการเจ็บ
.
ในยุคที่ทุกอย่างรีบ ทุกอย่างอยู่ในมือถือ
การเดินอาจเป็น “ความหรูหราแบบใหม่” ก็ได้
เพราะมันคือช่วงเวลาที่เรากลับมาอยู่กับร่างกาย
และหัวใจตัวเองอีกครั้ง
“ทุกคนกำลังมองหาวิธีพัฒนาตัวเอง…
แต่ลืมไปว่า เราอาจเริ่มต้นง่ายๆ
จากแค่ ‘ลุกขึ้น…แล้วเดิน’ เท่านั้น”
.
แล้วคุณล่ะครับ…
วันนี้เดินครบ 8,000 ก้าวแล้วหรือยัง?
หวังว่าโพสต์นี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้ทุกคนลุกขึ้นมาเดิน
Boom JapanSalaryman
Cr: PIVOT
บางทีสิ่งที่ยิ่งใหญ่เริ่มจากแค่สิ่งเล็กๆเสมอ
แค่เดินก็ เปลี่ยนชีวิตเราได้ !
“แค่เดิน…ก็เปลี่ยนชีวิตได้จริงเหรอ?”
.
ผมไปเจอหนังสือเล่มหนึ่งจากญี่ปุ่นชื่อว่า
『歩く マジで人生が変わる習慣』
“แค่เดิน…ก็เปลี่ยนชีวิตได้จริง”
.
ผู้เขียนไม่ใช่นักกีฬา ไม่ใช่ทำอาชีพที่เกี่ยวข้องกับการเดิน
แต่เป็นนักข่าวเศรษฐกิจสายแข็งจาก NewsPicks
ที่วันหนึ่ง “ตัดสินใจหยุดชีวิตเร่งรีบ…แล้วเริ่มเดิน”
ไม่ใช่เดินเล่นๆ แต่มองการ “เดิน” เป็นเครื่องมือ
เปลี่ยนสมอง ร่างกาย และความคิดตัวเอง
.
ในหนังสือเขาเล่าหลักฐานเต็มไปหมด
ผมขอคัดเอาประเด็นสำคัญๆ มาให้เพื่อนๆ อ่านนะครับ
1. เดินแล้วได้ไอเดียดี ๆ จริงหรือ?
คนจำนวนมากเคยมีประสบการณ์ว่า
“พอเดิน ความคิดโล่งขึ้น”
แต่รู้ไหมครับ…มันไม่ใช่แค่ความรู้สึก
.
งานวิจัยจาก Stanford ปี 2014
ให้กลุ่มนักศึกษาทำแบบทดสอบความคิดสร้างสรรค์
– กลุ่มที่เดินกลางแจ้งขณะคิด
ได้คะแนนสูงกว่าคนที่นั่งเฉย ๆ ถึง 60%
→Steve Jobs มักจะชวนคนออกไปเดิน
เวลาจะคุยเรื่องสำคัญ
→Mark Zuckerberg ใช้การประชุมแบบเดิน และสร้างทางเดินขนาดเท่าโตเกียวโดมบนดาดฟ้า Meta HQ
.
2. เดิน = ความจำดีขึ้น สมองโตขึ้น
มีงานวิจัยในผู้สูงอายุอเมริกัน
บอกว่าการเดิน 3 ครั้ง/สัปดาห์ ครั้งละ 40 นาที
ทำให้ปริมาตรฮิปโปแคมปัส(สมองส่วนความจำ)
ขยายขึ้น 2%
ขณะเดียวกันกลุ่มที่ทำแค่การ “ยืดกล้ามเนื้อ”
ฮิปโปแคมปัสหดลง
.
สาร BDNF (Brain-Derived Neurotrophic Factor) ซึ่งเป็นเหมือน “อาหารเสริมสมอง” จะหลั่งมากขึ้นเมื่อเราเดิน → ทำให้สมองแข็งแรงขึ้น
3. เดิน = ยืดอายุ ห่างไกลโรค
ประโยชน์ทางสุขภาพของการเดิน
-ลดระดับน้ำตาลในเลือดและความดัน
-ช่วยยืดอายุขัย
-ลดความเสี่ยงมะเร็งและโรคหัวใจ
-ลดปัญหานอนไม่หลับและความเครียด
-ลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดในสมอง
งานวิจัยจากสหรัฐฯ พบว่า
เดินสัปดาห์ละ 150 นาที → อายุยืนขึ้นเฉลี่ย 3.4–4.5 ปี เทียบกับคนไม่ออกกำลังกายเลย
→ งานวิจัยจากสหรัฐ:
คนที่เดินสัปดาห์ละ 150 นาที
มีอายุเฉลี่ยยาวกว่าคนที่ไม่ออกกำลังกาย 3.4–4.5 ปี
.
4.แต่ถ้านั่งนานเกินไป = อันตรายระดับ “สูบบุหรี่”
งานวิจัยจากออสเตรเลียพบว่า
คนที่นั่งมากกว่า 11 ชม./วัน →
ความเสี่ยงเสียชีวิตเพิ่มขึ้น 40%
Apple CEO เคยพูดไว้ว่า
“Sitting is the new smoking.”
Apple Watch ถึงกับมีฟังก์ชันแจ้งให้ลุกทุก 1 ชั่วโมง
→ เพราะ ไม่ใช่แค่นั่งที่อันตราย
แต่ “การนั่งต่อเนื่อง” นี่แหละที่น่ากลัว
.
5. ต่อให้ออกกำลังกายก็ชดเชยไม่ได้
ต่อให้คุณไปฟิตเนสวันละ 1 ชม.
แต่ถ้านั่งต่อเนื่องอีก 10 ชม.
→ โทษจากการนั่งก็ยังอยู่เหมือนเดิม
วิธีที่ดีกว่าคือ ลุกเดินทุก 1 ชั่วโมง
เดินรอบโต๊ะ หรือขึ้น–ลงบันไดก็ยังดี
.
6. คนยุคใหม่ “เดินน้อยลงมาก”
คำแนะนำคือควรเดินวันละ 8,000–10,000 ก้าว
ในขณะที่งานวิจัยใน 111 ประเทศบอกว่า
-ญี่ปุ่นเฉลี่ย: 6,100 ก้าว/วัน
-สหรัฐ: 4,700 ก้าว
-ฮ่องกง (อันดับ 1): มากกว่า 6,500 ก้าว
-อินโดนีเซีย/ซาอุฯ: เพียง 3,500 ก้าว → เดินน้อยที่สุด
แม้ญี่ปุ่นจะดูดี แต่กระทรวงสาธารณสุขยังเตือนว่า
ค่าเฉลี่ย “ก้าวต่อวัน” ลดลงทุกปีอย่างช้า ๆ
.
7. รองเท้าสมัยนี้…อาจทำลายเท้าโดยไม่รู้ตัว
-รองเท้าทรงแหลม ส้นสูง หรือหนังแข็ง → ทำให้รูปเท้าบิดเบี้ยว เช่น นิ้วโป้งเบี้ยว (Hallux Valgus)
-รองเท้า “เบาะนุ่มเกินไป” → ทำให้สัญญาณสัมผัสจากพื้นลดลง, การลงน้ำหนักผิดธรรมชาติ
.
8. ทางออกเรื่องการเดินที่ผู้เขียนบอกไว้คือ
Barefoot Shoes
เป็นรองเท้าที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนเดินเท้าเปล่า
-หน้ารองเท้ากว้าง ให้นิ้วเท้ากางได้
-พื้นบาง แบน ไม่มีส้น
-เบา ยืดหยุ่น → กระตุ้นกล้ามเนื้อเท้าโดยธรรมชาติ
แต่ผู้เขียนก็แนะนำว่า…ไม่ต้องรีบเปลี่ยน
รองเท้าผ้าใบธรรมดาก็ยังดีกว่ารองเท้าหนังแข็ง ๆ ที่ใส่เพราะแฟชั่น
.
🟡 Action Plan สำหรับมนุษย์เงินเดือนหรือคนทำงานประจำที่ใช้ชีวิตนั่งอยู่กับโต๊ะนานๆ
1.ควรเดินสัปดาห์ละ 3 ครั้ง เดินอย่างน้อย 40 นาที
2.ตั้งเตือนหรือติดอุปกรณ์ช่วยเตือนให้ “ลุกขึ้นทุก 1 ชั่วโมง”
3.เลือกรองเท้าที่เหมาะกับเท้าจริง ๆ โดยเฉพาะถ้าคุณเริ่มมีอาการเจ็บ
.
ในยุคที่ทุกอย่างรีบ ทุกอย่างอยู่ในมือถือ
การเดินอาจเป็น “ความหรูหราแบบใหม่” ก็ได้
เพราะมันคือช่วงเวลาที่เรากลับมาอยู่กับร่างกาย
และหัวใจตัวเองอีกครั้ง
“ทุกคนกำลังมองหาวิธีพัฒนาตัวเอง…
แต่ลืมไปว่า เราอาจเริ่มต้นง่ายๆ
จากแค่ ‘ลุกขึ้น…แล้วเดิน’ เท่านั้น”
.
แล้วคุณล่ะครับ…
วันนี้เดินครบ 8,000 ก้าวแล้วหรือยัง?
หวังว่าโพสต์นี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้ทุกคนลุกขึ้นมาเดิน
Boom JapanSalaryman
Cr: PIVOT
บางทีสิ่งที่ยิ่งใหญ่เริ่มจากแค่สิ่งเล็กๆเสมอ