ตามที่ได้มีโอกาสคุยกับพี่คนหนึ่งแล้วได้รับข่าวว่าน้องของพี่คนนี้ เกิดอาการเส้นเลือดในสมอง (Stroke)
พอไปรพ.ทำ CT Scan แล้วหมอฉีดยาเข้าไป เกิดอาการชา ก็เลย MRI ต่อ ก็ไปเจอ กระดูกคอเคลื่อน ทับเส้นประสาทเข้าอีก
ก็เลยสันนิษฐานดูว่า
ส่วนหนึ่ง อาการน่าจะมาจากการเล่นมือถือมากไป
ผมก็เลยไปหาข้อมูลมาครับ ความเสี่ยงความเกี่ยวข้องกันครับ
ขออนุญาตนำข้อมูลความความเสี่ยงจากการเล่นมือถือ มาบอกเพิ่มเติมครับ แยกเป็นความเสี่ยง 2 กระทู้ครับ
กระทู้แรกอยู่ตรงนี้ครับ
https://pantip.com/topic/43614403
ความเสี่ยง ต่อปัญหากระดูกคอเคลื่อนได้
การเล่นมือถือมากเกินไปมีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหากระดูกคอเคลื่อนได้ หรือที่เรียกว่าภาวะ
"Text Neck" (เท็กซ์เน็ค) ซึ่งหมายถึงอาการปวดคอและปัญหาเกี่ยวกับกระดูกสันหลังส่วนคอที่เกิดจากการก้มหน้ามองโทรศัพท์มือถือหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ เป็นเวลานานและบ่อยครั้ง
ทำไมการเล่นมือถือถึงทำให้กระดูกคอเคลื่อนได้?
เมื่อเราก้มหน้ามองมือถือ ท่าทางที่ไม่เหมาะสมนี้จะเพิ่มภาระให้กับกระดูกสันหลังส่วนคออย่างมาก ลองนึกภาพแบบนี้ครับ:
ศีรษะคนเราหนักแค่ไหน? โดยปกติศีรษะของเรามีน้ำหนักประมาณ 4.5-5.5 กิโลกรัม (ประมาณน้ำหนักลูกโบว์ลิ่ง)
เมื่อก้มหน้า: ทุก ๆ การก้มศีรษะลง 15 องศา จะเพิ่มแรงกดที่คอเทียบเท่ากับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นอีก 2 เท่า นั่นหมายความว่า:
ก้ม 15 องศา: คอต้องรับน้ำหนักประมาณ 12 กิโลกรัม
ก้ม 30 องศา: คอต้องรับน้ำหนักประมาณ 18 กิโลกรัม
ก้ม 45 องศา: คอต้องรับน้ำหนักประมาณ 22 กิโลกรัม
ก้ม 60 องศา (ท่าที่พบบ่อย): คอต้องรับน้ำหนักมากถึง 27 กิโลกรัม!
การที่กระดูกสันหลังส่วนคอต้องรับน้ำหนักที่มากเกินไปและต่อเนื่องเป็นเวลานาน จะส่งผลให้:
กล้ามเนื้อคอและบ่าตึงตัว: กล้ามเนื้อต้องทำงานหนักผิดปกติเพื่อพยุงศีรษะ ทำให้เกิดอาการปวด ตึง และปวดศีรษะตามมา
ความโค้งของกระดูกคอผิดปกติ: คอของคนเราตามธรรมชาติจะมีส่วนโค้งไปด้านหน้าเล็กน้อย (C-curve) แต่การก้มคอเป็นเวลานานจะทำให้ความโค้งนี้ลดลงหรืออาจเปลี่ยนเป็นแนวตรง หรือโค้งย้อนกลับได้ในบางราย
หมอนรองกระดูกเสื่อมและเคลื่อน: แรงกดที่สะสมจะทำให้หมอนรองกระดูกสันหลังส่วนคอเสื่อมสภาพเร็วขึ้น และอาจทำให้หมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาทได้ ซึ่งจะนำไปสู่อาการปวดร้าวลงแขน ชา หรืออ่อนแรง
กระดูกคอเสื่อมและมีหินปูนเกาะ: ในระยะยาว แรงกดที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้เกิดการสึกหรอของกระดูกสันหลัง และอาจมีการสร้างหินปูนมาเกาะ ทำให้ช่องไขสันหลังหรือช่องที่เส้นประสาทวิ่งผ่านแคบลง
อาการของภาวะ Text Neck หรือกระดูกคอมีปัญหา:
ปวดคอเรื้อรัง อาจปวดตื้อ ๆ หรือปวดจี๊ด ๆ
ปวดร้าวจากคอไปบ่า สะบัก หรือศีรษะ (โดยเฉพาะท้ายทอย)
ปวดศีรษะแบบปวดตึง ๆ (Tension headache)
ชา หรือรู้สึกเสียวคล้ายไฟฟ้าช็อตจากคอลงไปที่แขนและมือ (หากมีการทับเส้นประสาท)
อ่อนแรงของกล้ามเนื้อแขนและมือ (ในกรณีที่รุนแรง)
ปวดเมื่อยหลังส่วนบน
วิธีป้องกันและบรรเทา:
ปรับท่าทาง: ถือโทรศัพท์ขึ้นมาให้อยู่ในระดับสายตา โดยไม่ต้องก้มคอมากเกินไป
พักเป็นระยะ: ทุก ๆ 20-30 นาที ควรพักสายตาและยืดเหยียดคอ บ่า ไหล่
ออกกำลังกาย: บริหารกล้ามเนื้อคอและบ่าให้แข็งแรงและยืดหยุ่นอยู่เสมอ
ใช้ขาตั้งหรืออุปกรณ์เสริม: เพื่อช่วยพยุงโทรศัพท์ในระดับที่เหมาะสม
หลีกเลี่ยงการใช้มือถือก่อนนอน: เพื่อสุขภาพการนอนที่ดีและลดการก้มคอในท่านอน
หากใครมีอาการปวดคอเรื้อรัง หรือมีอาการชา อ่อนแรง ไปปรึกษาแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดเพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสมครับ
ด้วยความปราถนาที่ดีมากๆครับ ได้ยินพี่เขาบอกอาการของน้องเขามาแล้ว เป็นห่วงครับ
ปัญหากระดูกคอเคลื่อนได้ หรือที่เรียกว่าภาวะ "Text Neck" (เท็กซ์เน็ค)
พอไปรพ.ทำ CT Scan แล้วหมอฉีดยาเข้าไป เกิดอาการชา ก็เลย MRI ต่อ ก็ไปเจอ กระดูกคอเคลื่อน ทับเส้นประสาทเข้าอีก
ก็เลยสันนิษฐานดูว่า ส่วนหนึ่ง อาการน่าจะมาจากการเล่นมือถือมากไป
ผมก็เลยไปหาข้อมูลมาครับ ความเสี่ยงความเกี่ยวข้องกันครับ
ขออนุญาตนำข้อมูลความความเสี่ยงจากการเล่นมือถือ มาบอกเพิ่มเติมครับ แยกเป็นความเสี่ยง 2 กระทู้ครับ
กระทู้แรกอยู่ตรงนี้ครับ https://pantip.com/topic/43614403
ความเสี่ยง ต่อปัญหากระดูกคอเคลื่อนได้
การเล่นมือถือมากเกินไปมีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหากระดูกคอเคลื่อนได้ หรือที่เรียกว่าภาวะ "Text Neck" (เท็กซ์เน็ค) ซึ่งหมายถึงอาการปวดคอและปัญหาเกี่ยวกับกระดูกสันหลังส่วนคอที่เกิดจากการก้มหน้ามองโทรศัพท์มือถือหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ เป็นเวลานานและบ่อยครั้ง
ทำไมการเล่นมือถือถึงทำให้กระดูกคอเคลื่อนได้?
เมื่อเราก้มหน้ามองมือถือ ท่าทางที่ไม่เหมาะสมนี้จะเพิ่มภาระให้กับกระดูกสันหลังส่วนคออย่างมาก ลองนึกภาพแบบนี้ครับ:
ศีรษะคนเราหนักแค่ไหน? โดยปกติศีรษะของเรามีน้ำหนักประมาณ 4.5-5.5 กิโลกรัม (ประมาณน้ำหนักลูกโบว์ลิ่ง)
เมื่อก้มหน้า: ทุก ๆ การก้มศีรษะลง 15 องศา จะเพิ่มแรงกดที่คอเทียบเท่ากับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นอีก 2 เท่า นั่นหมายความว่า:
ก้ม 15 องศา: คอต้องรับน้ำหนักประมาณ 12 กิโลกรัม
ก้ม 30 องศา: คอต้องรับน้ำหนักประมาณ 18 กิโลกรัม
ก้ม 45 องศา: คอต้องรับน้ำหนักประมาณ 22 กิโลกรัม
ก้ม 60 องศา (ท่าที่พบบ่อย): คอต้องรับน้ำหนักมากถึง 27 กิโลกรัม!
การที่กระดูกสันหลังส่วนคอต้องรับน้ำหนักที่มากเกินไปและต่อเนื่องเป็นเวลานาน จะส่งผลให้:
กล้ามเนื้อคอและบ่าตึงตัว: กล้ามเนื้อต้องทำงานหนักผิดปกติเพื่อพยุงศีรษะ ทำให้เกิดอาการปวด ตึง และปวดศีรษะตามมา
ความโค้งของกระดูกคอผิดปกติ: คอของคนเราตามธรรมชาติจะมีส่วนโค้งไปด้านหน้าเล็กน้อย (C-curve) แต่การก้มคอเป็นเวลานานจะทำให้ความโค้งนี้ลดลงหรืออาจเปลี่ยนเป็นแนวตรง หรือโค้งย้อนกลับได้ในบางราย
หมอนรองกระดูกเสื่อมและเคลื่อน: แรงกดที่สะสมจะทำให้หมอนรองกระดูกสันหลังส่วนคอเสื่อมสภาพเร็วขึ้น และอาจทำให้หมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาทได้ ซึ่งจะนำไปสู่อาการปวดร้าวลงแขน ชา หรืออ่อนแรง
กระดูกคอเสื่อมและมีหินปูนเกาะ: ในระยะยาว แรงกดที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้เกิดการสึกหรอของกระดูกสันหลัง และอาจมีการสร้างหินปูนมาเกาะ ทำให้ช่องไขสันหลังหรือช่องที่เส้นประสาทวิ่งผ่านแคบลง
อาการของภาวะ Text Neck หรือกระดูกคอมีปัญหา:
ปวดคอเรื้อรัง อาจปวดตื้อ ๆ หรือปวดจี๊ด ๆ
ปวดร้าวจากคอไปบ่า สะบัก หรือศีรษะ (โดยเฉพาะท้ายทอย)
ปวดศีรษะแบบปวดตึง ๆ (Tension headache)
ชา หรือรู้สึกเสียวคล้ายไฟฟ้าช็อตจากคอลงไปที่แขนและมือ (หากมีการทับเส้นประสาท)
อ่อนแรงของกล้ามเนื้อแขนและมือ (ในกรณีที่รุนแรง)
ปวดเมื่อยหลังส่วนบน
วิธีป้องกันและบรรเทา:
ปรับท่าทาง: ถือโทรศัพท์ขึ้นมาให้อยู่ในระดับสายตา โดยไม่ต้องก้มคอมากเกินไป
พักเป็นระยะ: ทุก ๆ 20-30 นาที ควรพักสายตาและยืดเหยียดคอ บ่า ไหล่
ออกกำลังกาย: บริหารกล้ามเนื้อคอและบ่าให้แข็งแรงและยืดหยุ่นอยู่เสมอ
ใช้ขาตั้งหรืออุปกรณ์เสริม: เพื่อช่วยพยุงโทรศัพท์ในระดับที่เหมาะสม
หลีกเลี่ยงการใช้มือถือก่อนนอน: เพื่อสุขภาพการนอนที่ดีและลดการก้มคอในท่านอน
หากใครมีอาการปวดคอเรื้อรัง หรือมีอาการชา อ่อนแรง ไปปรึกษาแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดเพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสมครับ
ด้วยความปราถนาที่ดีมากๆครับ ได้ยินพี่เขาบอกอาการของน้องเขามาแล้ว เป็นห่วงครับ