เมื่อ "สุกี้ตี๋น้อย" ดาวรุ่งพุ่งแรง สามารถทำกำไรแซงหน้าเจ้าตลาดอย่าง "เอ็มเคสุกี้" ได้เป็นครั้งแรกในไตรมาส 1/2568 สะท้อนภาพการแข่งขันที่ดุเดือดและความท้าทายทางธุรกิจใน “ตลาดสุกี้” Thairath Money พาเจาะลึกสถานการณ์ของ บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น M พร้อมถอดบทเรียนความท้าทาย และแผนกลยุทธ์การปรับตัวครั้งใหญ่ โดยเฉพาะการรุกตลาดบุฟเฟ่ต์ในอนาคต
“เอ็มเค” กำไรไตรมาส 1/2568 วูบหนัก
ในวันที่การแข่งขันทวีความร้อนแรง บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ M ยักษ์ใหญ่ที่ครองใจผู้บริโภคชาวไทยมาอย่างยาวนาน กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญ ผลประกอบการไตรมาส 1/2568 ส่งสัญญาณให้เห็นถึงแรงกดดันรอบด้าน
โดยบริษัทรายงานผลประกอบการต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า มีรายได้จากการขายและบริการ 3,541 ล้านบาท ลดลง 10.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่กำไรสุทธิปรับลดลงถึง 32.6% เหลือเพียง 234 ล้านบาท จาก 347 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน
ปัจจัยหลักมาจากยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ที่ปรับลดลง 10.5% ซึ่งเป็นผลพวงจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว กำลังซื้อผู้บริโภคที่เปราะบางจากภาระหนี้ครัวเรือนสูง รวมทั้งการแข่งขันที่ค่อนข้างสูงในธุรกิจร้านอาหาร
"สุกี้ตี๋น้อย" ผู้ท้าชิงตลาดสุกี้คนสำคัญ ทำกำไรแซงหน้า
ในอีกด้านหนึ่ง ทางฝั่ง "สุกี้ตี๋น้อย" ร้านบุฟเฟ่ต์มาแรง โดย บริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด ซึ่ง JMART ถือหุ้น 30% สร้างผลงานได้อย่างน่าประทับใจ โดยในไตรมาส 1/2568 สุกี้ตี๋น้อย สามารถทำกำไรสุทธิได้ถึง 271 ล้านบาท แซงหน้ากำไรของ M เป็นครั้งแรกอย่างเป็นทางการ ตอกย้ำความสำเร็จของโมเดลธุรกิจที่เน้นความคุ้มค่าและการขยายสาขาเชิงรุก
ณ สิ้นไตรมาส 1/2568 สุกี้ตี๋น้อยมีสาขารวม 82 สาขา, Teenoi BBQ (บุฟเฟ่ต์ปิ้งย่าง) 2 สาขา และ Teenoi Express (บุฟเฟ่ต์พรีเมียม) 1 สาขา โดยมีการขยายสาขาใหม่ 4 แห่งในไตรมาสเดียว เน้นเจาะตลาดต่างจังหวัดที่มีศักยภาพสูง เช่น พิษณุโลก บุรีรัมย์ หนองคาย และนครสวรรค์ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
นอกจากนี้ ภายใต้ความร่วมมือกับกลุ่มบริษัทเจมาร์ท ยังมีการร่วมมือกับ JAS Asset เปิด Teenoi BBQ เพิ่มเติมด้วย รวมถึงได้ดำเนินกิจกรรมการทางการตลาดร่วมกับกลุ่มบริษัทเจมาร์ทเสมอมา เช่น การนำคะแนนสะสมแลกเป็นค่าบุฟเฟ่ต์ตามที่กำหนด การโฆษณาผ่านศูนย์การค้าชุมชน และการแจก Gift Voucher สุกี้ตี๋น้อย แทนคำขอบคุณลูกค้า เป็นต้น
“เอ็มเค” เร่งปรับกลยุทธ์ ลุยตลาดบุฟเฟ่ต์
เพื่อรับมือกับสถานการณ์และตอบสนองต่อเทรนด์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป เอ็มเค ได้เตรียมแผนปรับโมเดลธุรกิจใหม่ เพื่อตอบรับเทรนด์และความต้องการของผู้บริโภค รวมทั้งการปรับตัวและวางแผนกลยุทธ์การตลาดของร้านอาหารทุกแบรนด์ในเครือ โดยมุ่งเน้นเพิ่มประสบการณ์รอบด้านที่ตอบโจทย์ลูกค้า
โดยเตรียมปรับบางสาขาเป็นรูปแบบบุฟเฟ่ต์ พร้อมเพิ่มเมนูและปรับราคาให้เข้าถึงง่ายขึ้น เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบความคุ้มค่าและความหลากหลายของบุฟเฟ่ต์โดยตรง พร้อมยกเครื่อง "แหลมเจริญซีฟู้ด" ปรับโมเดลร้านให้ทันสมัย ปรับเมนูให้เข้าถึงง่าย และเน้นการสื่อสารที่สนุกสนาน สร้าง Engagement กับลูกค้า พร้อมกระตุ้นยอดขายด้วยโปรโมชั่นที่เน้นความ "คุ้มค่า"
ขณะเดียวกัน ยังมีแผนขยายสาขาต่อเนื่อง โดยมีแผนเปิดสาขาในประเทศเพิ่ม 15 สาขา (MK 5, Yayoi 3, แหลมเจริญ 5, HIKINIKU TO COME 2) และขยายแฟรนไชส์แหลมเจริญไปมาเลเซียอีก 2 สาขา
นอกจากนี้ ยังมองหาโอกาสลงทุนใหม่ (New S-Curve) โดยคำนึงถึงความต้องการของผู้บริโภคเป็นหลัก และแนวคิดในการดำเนินธุรกิจที่ไปในทิศทางเดียวกันให้เข้ามาเติม Portfolio ให้แข็งแกร่งมากขึ้น รวมถึงการมองหาผู้ลงทุนรายใหม่เข้ามาร่วมทุน (Master Franchise) เพื่อช่วยขยายธุรกิจร้านอาหารให้มากขึ้นอีก โดยตลาดที่ยังคงให้ความสนใจคือ South East Asia เป็นหลัก
โบรกฯ ชี้ “เอ็มเค” เข้าใจสถานการณ์ มีแผนรับมือชัดเจน
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บริษัทเข้าใจสถานการณ์และมีแผนกลยุทธ์ในการรับมือที่ชัดเจน โดยเน้นทำโปรโมชั่นและการพัฒนาระบบบัตรสมาชิกที่มีฐานลูกค้ามากกว่า 7 แสนราย คงคำแนะนำ "ซื้อ" มูลค่าพื้นฐาน 20.00 บาท รับปันผล 6-7% และรอการฟื้นตัว
ทั้งนี้ คาดว่าการเติบโตหลังจากนี้จะเป็นการเสริมแบรนด์ใหม่ๆ เข้ามาในพอร์ต ตัวอย่างเช่น Hikiniku To Come (ร้านแฮมเบิร์กจากประเทศญี่ปุ่น) ราคาอาหารเฉลี่ย 750 บาท/คน เปิดสาขาแรกที่ Central World ในเดือน ต.ค. 2567 ได้รับผลตอบรับดีมาก และเตรียมเปิดสาขาที่ 2 ปีนี้ โดยมองเห็นโอกาสในการขยายสาขา Hikiniku To Come ในประเทศราว 10 กว่าสาขา นอกจากนี้ยังได้สิทธิในการขยายในต่างประเทศ เช่น มาเลเซีย
นอกจากนี้ โปรโมชั่น “MK หมูมาราธอน” ช่วง 3-11 ก.พ. 2568 ได้กระแสตอบรับที่ดีมาก มียอดขายเติบโต 10% เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเป็นแค่การทำโปรระยะสั้นเพียง 9 วัน ไม่กระทบกับอัตรากำไรขั้นต้นทั้งไตรมาสมากนัก และยังมีกำไร ในช่วงที่ทำโปรภาพรวมอุตสาหกรรมร้านอาหารในไตรมาส 1/2568 เผชิญกับแรงกดดันจากกำลังซื้อทำให้ร้านอาหารส่วนใหญ่มี SSSG ติดลบ
ขณะที่บทวิเคราะห์จาก บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ชี้ให้ภาพอีกด้านว่า แม้มูลค่าหุ้น (valuation) จะดูไม่แพง และอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลเป็นแรงหนุน แต่ยังคงคำแนะนำ “ถือ” เนื่องจากมองเห็นแรงกดดันต่อกำไรในระยะสั้น จากการบริโภคในประเทศที่ยังอ่อนแอ ต้นทุนวัตถุดิบที่อยู่ในระดับสูง และการแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรมร้านอาหาร
โดยความเสี่ยงหลักที่อาจกดดัน downside เพิ่มเติม ได้แก่ การบริโภคในประเทศที่ชะลอตัวต่อเนื่อง เงินเฟ้อด้านต้นทุน และการเปิดตัวแบรนด์ใหม่หรือขยายสาขาที่ล่าช้ากว่าคาด

ถอดบทเรียน “เอ็มเค” ในวันที่ “ตี๋น้อย” กำไรแซงหน้า เร่งปรับกลยุทธ์ เพิ่มสาขา รุกบุฟเฟ่ต์
ปัจจัยหลักมาจากยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ที่ปรับลดลง 10.5% ซึ่งเป็นผลพวงจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว กำลังซื้อผู้บริโภคที่เปราะบางจากภาระหนี้ครัวเรือนสูง รวมทั้งการแข่งขันที่ค่อนข้างสูงในธุรกิจร้านอาหาร
"สุกี้ตี๋น้อย" ผู้ท้าชิงตลาดสุกี้คนสำคัญ ทำกำไรแซงหน้า
ในอีกด้านหนึ่ง ทางฝั่ง "สุกี้ตี๋น้อย" ร้านบุฟเฟ่ต์มาแรง โดย บริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด ซึ่ง JMART ถือหุ้น 30% สร้างผลงานได้อย่างน่าประทับใจ โดยในไตรมาส 1/2568 สุกี้ตี๋น้อย สามารถทำกำไรสุทธิได้ถึง 271 ล้านบาท แซงหน้ากำไรของ M เป็นครั้งแรกอย่างเป็นทางการ ตอกย้ำความสำเร็จของโมเดลธุรกิจที่เน้นความคุ้มค่าและการขยายสาขาเชิงรุก