KEY POINTS
ตลาดสุกี้บุฟเฟต์มีการแข่งขันที่ดุเดือด ระหว่างเจ้าตลาดเดิมอย่าง "เอ็มเคสุกี้" และผู้ท้าชิงที่เติบโตอย่างรวดเร็วคือ "สุกี้ตี๋น้อย" และ "ลัคกี้สุกี้"
สุกี้ตี๋น้อย และ ลัคกี้สุกี้ มีความได้เปรียบจากกลยุทธ์บุฟเฟต์และเวลาเปิดบริการถึงดึก ซึ่งแตกต่างจากเอ็มเคที่ส่วนใหญ่อยู่ในห้าง และต้องปรับตัวเพื่อแข่งขัน
ผู้เขียนแสดงความกังวลว่า การแข่งขันที่รุนแรงอาจนำไปสู่การควบรวมกิจการ จนเหลือผู้เล่นน้อยราย ซึ่งจะส่งผลเสียต่อผู้บริโภคเหมือนกับตลาดโทรศัพท์มือถือ
*** แม้จะไม่ใช่ตัวแทนของร้านสุกี้ทั้งหมดในประเทศ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ทั้ง เอ็มเคสุกี้ สุกี้ตี๋น้อย และ ลัคกี้สุกี้ ต่างก็ดำเนินธุรกิจร้านอาหารประเภทเดียวกัน และยังถือว่าเป็นจ้าวใหญ่ซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของผู้บริโภคทั้งประเทศ ไม่ต่างกัน ขณะเดียวกันไม่ว่าจะเป็นใครต่างก็รู้กันว่า “ผู้เล่น” ทั้งสามต่างก็งัดเอากลยุทธ์ทางการตลาดที่หลากหลาย มาแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดได้อย่างดุเดือด และสมศักดิ์ศรีที่สุดไม่ต่างกัน...
ว่าแต่ทั้ง เอ็มเคสุกี้ สุกี้ตี๋น้อย และ ลัคกี้สุกี้ เป็นใคร...มีอะไรดี แล้วทำไมจึงเป็นผู้เล่นที่มีอิทธิพลกับตลาดสุกี้ไทยได้ขนาดนี้ !!!
ก่อนอื่นต้องว่ากันถึงจ้าวตลาดเบอร์หนึ่ง ที่อยู่มานานมากกว่าใครอย่าง “เอ็มเคเรสโตรองต์” หรือ
สุกี้เอ็มเค ที่เริ่มต้นจากร้านอาหารไทยขนาดเล็ก 1 คูหาในสยามสแควร์ เมื่อปี พ.ศ. 2505 โดย คุณทองคำ เมฆโต ซึ่งซื้อกิจการต่อมาจากเจ้าของชาวฮ่องกง ชื่อ คุณมาคอง คิงยี ในปี พ.ศ. 2529 ร้านได้เปลี่ยนเป็นร้านสุกี้ และขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง จนต่อมาในวันที่ 15 ส.ค. 2556 ได้เข้าจดทะเบียนและซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยใช้ชื่อว่า บริษัท
เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ M
ปัจจุบัน “เอ็มเค เรสโตรองต์” มีร้านอาหารดังในแบรนด์ต่างๆ ทั้ง "เอ็มเค สุกี้" ร้านอาหารญี่ปุ่น "ยาโยอิ" และ "ฮิคินิคุ โตะ โคเมะ" ซึ่งได้รับสิทธิแฟรนไชส์จากประเทศญี่ปุ่น รวมถึงร้านอาหารญี่ปุ่นแบรนด์อื่นๆ อีก 2 แบรนด์ ได้แก่ "ฮากาตะ" และ "มิยาซากิ" ร้านอาหารไทย "แหลมเจริญ ซีฟู้ด" "ณ สยาม" และ "เลอสยาม" ร้านกาแฟ/เบเกอรี่ "เลอ เพอทิท" รวมแล้วกว่า 702 สาขา ขณะที่ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปี 2568 มีกำไรสุทธิ 735.36 ล้านบาท
ต่อมาก็คือ ทางฝั่งของ
“สุกี้ตี๋น้อย” หรือ บริษัท
บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด (BNN) ก่อตั้งโดย “นัทธมน พิศาลกิจวนิช” ซึ่งเดิมธุรกิจของครอบครัวทำร้านอาหารชื่อ “เรือนปั้นหยา”
โดยเริ่มต้นร้านสุกี้ตี๋น้อยสาขาแรกที่บางเขน ในปี 2561 และสาขาเลียบด่วนรามอินทรา เป็นสาขาที่ 2 ซึ่งเป็นร้านใหญ่กว่าร้านแรกในปีเดียวกัน ต่อมา ในปี 2565 บริษัท
เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART เข้าซื้อหุ้นของสุกี้ตี๋น้อย จำนวน 352,941 หุ้น มูลค่าลงทุนรวมไม่เกิน 1,200 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 30% ของจำนวนหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงทั้งหมด
ทั้งนี้...ข้อมูล ณ วันที่ 30 ตุลาคม 2568 สุกี้ตี๋น้อยมีจำนวนสาขาทั้งสิ้น 96 สาขา แบ่งเป็น Suki Teenoi 86 สาขา, BBQ บุฟเฟต์ปิ้งย่าง 7 สาขา และ Teenoi Gold (บุฟเฟต์พรีเมี่ยม) 1 สาขา โดยผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนของปี 2568 พบว่า สุกี้ตี๋น้อยมีผลกำไรสุทธิ 803 ล้านบาท
ส่วนทางด้านของ
“ลัคกี้สุกี้” หรือ บริษัท
มิราเคิล แพลนเนท จำกัด (MP) มาจากกลุ่มเพื่อน 4 คน คือ รสรินทร์ ติยะวราพรรณ, วิรัตน์ โรจยารุณ, รุ่งทิวา วิพัฒนานันทกุล และ อิทธิพล ติยะวราพรรณ เปิดสาขาแรก เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2565 ที่ People Park อ่อนนุช โดยมีคอนเซ็ปต์ร้านสไตล์ Modern Chinese
จนล่าสุด บริษัท
โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL มีมติให้ “เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป” (CRG) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย เข้าลงทุนใน บริษัท
มิราเคิล แพลนเนท จำกัด (MP) ด้วยเงินลงทุนรวม 620 ล้านบาท ผ่านการซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นเดิม และร่วมเพิ่มทุนรวม 140,000 หุ้น ส่งผลให้ CRG เข้าถือหุ้นใน MP สัดส่วน 40%
ข้อมูล ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2568 ระบุว่า MP มีสาขารวม 38 สาขา โดยเป็นร้านลัคกี้สุกี้ 27 สาขา และลัคกี้บีบีคิว 11 สาขา นอกจากนี้ยังพบว่า ในช่วง 3 ปี ที่ผ่านมาลัคกี้สุกี้ มีอัตราการทำกำไรที่โตขึ้นแบบก้าวกระโดด โดยในปี 2565 มีกำไร 2.66 ล้านบาท ปี 2566 มีกำไร 46.3. ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,635% และปี 2567 มีกำไร 108.43 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 134%
แน่นอนว่า หากเทียบกันด้วย ขนาด อายุ หรือ Brand Loyalty และจำนวนสาขา จะพบว่า ในส่วนของ “เอ็มเคสุกี้” ดูเหมือนจะเหนือกว่าร้านสุกี้ทั้งสองอยู่มาก แต่หากเทียบการทำกำไร ล่าสุดกลับพบว่า ผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 ทางฝั่งของ “เอ็มเคสุกี้” ทำได้ไม่ดีเท่า “สุกี้ตี๋น้อย” แต่หากเทียบกัน “หมัดต่อหมด” และเทียบกัน “สาขาต่อสาขา” กลับพบว่า ทางฝั่งของ “ลัคกี้สุกี้” กลับดูสดใหม่ และดูเหมือนจะได้เปรียบกว่าอย่างเห็นได้ชัด
อย่างไรก็ตาม ความเหนือกว่าที่ทั้ง “สุกี้ตี๋น้อย” และ “ลัคกี้สุกี้” มีมากกว่า “เอ็มเคสุกี้” แม้จะไม่ใช่เรื่องจำนวนสาขา หรือ เรื่องของอายุ หรือ Brand Loyalty แต่ก็อาจเป็นเพราะ ทั้ง “สุกี้ตี๋น้อย” และ “ลัคกี้สุกี้ ต่างก็ใช้กลยุทธ์ “บุฟเฟต์สุกี้” ในการทำธุรกิจมาตั้งแต่เริ่มต้น
นอกจากนี้ ไม่ว่าจะเป็น “สุกี้ตี๋น้อย” หรือ “ลัคกี้สุกี้” ต่างก็ใช้กลยุทธ์ “เปิดพร้อมแต่ปิดดึก” กล่าวคือจะเปิดร้านตอน 10.00-12.00 น. แต่ปิดร้านในตอน 02.00-05.00 น. (ตีสองถึงตีห้า) ซึ่งแตกต่างไปจาก “เอ็มเคสุกี้” ซึ่งส่วนใหญ่จะมีสาขาอยู่ในห้างสรรสินค้า จึงทำให้ต้องเปิดร้านและปิดร้านตามเวลาห้าง คือได้ไม่เกินสี่ทุ่ม (22.00 น.) เท่านั้น
ขณะเดียวกัน...จ้าวตลาดรายเดิมอย่าง “เอ็มเคสุกี้” ก็ยังถือว่าเป็นผู้เล่นหน้าใหม่ในตลาด “บุฟเฟต์สุกี้” โดยเพิ่งจะเปิดตัว “โบนัสสุกี้” เพื่อเติมเต็มช่องว่างของตลาด และเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในตลาด “บุฟเฟต์สุกี้” มาได้ไม่นาน
นอกจากนี้ แม้จะมีข้อจำกัดในเรื่องของเวลาปิดเปิดร้าน แต่ “เอ็มเคสุกี้” ก็ยังกัดฟันใช้กลยุทธ์ “เอ็มเค บุฟเฟต์” ทั้งแบบธรรมดาและพรีเมียม ในสาขาเดิมที่มีอยู่เพื่อสู้ศึก “บุฟเฟต์สุกี้” ที่กำลังขับเขี้ยวกันอย่างเข้มข้นนี้อีกด้วย
ก็เอาเป็นว่าสำหรับเจ๊เมาธ์...ไม่ว่าใครจะสู้กันอย่างไร ถ้าทำกันอย่างยุติธรรมทั้งต่อคู่แข่ง และยุติธรรมกับผู้บริโภค ก็ไม่มีปัญหาทั้งนั้น เพราะสำหรับเจ๊...ยิ่งมีจำนวนผู้เล่นมากเท่าไหร่ เจ๊ก็เชื่อว่าจะช่วยให้ผู้บริโภคซึ่งก็คือ ประชาชนทั่วไป ต่างก็ได้ประโยชน์มากขึ้นจากการแข่งขันอย่างเต็มที่
ขอเพียงแค่...อย่ามีใครเห็นแก่ได้ด้วยการจงใจจับมือ จงใจรวมตัว หรือ จงใจทำการใดๆ เพื่อให้จำนวนผู้เล่น “ลดลง” จนเหลือเพียง “สองราย” เหมือนดังเช่นที่ตลาดโทรศัพท์มือถือ และอินเตอร์โมบายของประเทศไทย ซึ่งตอนนี้เหลือผู้เล่นอยู่ไม่กี่ราย จนเปลี่ยนจาก “คู่แข่ง” กลายเป็น “คู่ซี้” ที่มีหน้าที่แค่แบ่งเค้ก...แชร์ส่วนแบ่งด้วยการผูกขาดตลาดอย่างที่ได้เห็นอยู่ในปัจจุบัน
ว่ากันตามตรง...หากเหลือผู้เล่นเพียง “สองราย” ขึ้นมาจริง ถ้าเช่นนั้น งานนี้ผู้บริโภคก็คงไม่มีทางเลือก หรือไม่มีทางสู้ใดต่อไปอีกแล้ว
เพราะต่อจากนี้ มีแต่จะเสียเปรียบ จนต้องกลายเป็นผู้รับกรรมทางเดียว โดยไม่มีผู้คุ้มกฎหน้าไหนโผล่หัวมาช่วยดูแลอีกเลยเจ้าค่ะ
“บุฟเฟต์สุกี้”สู้กันให้ยุติธรรม...อย่าได้ทำเหมือนตลาดมือถือ!