การดูจิต คือดูขันธ์5มันทำงาน
หนึ่งขณะของการเห็นจะมี“สังขารขันธ์ ”ปรากฏทุกขณะ มองให้ละเอียดลงไปอีก(สมาธิยิ่งตั้งมั่น) จะเห็นจากสังขารขันธ์ แยกกันเป็นรูป เวทนาสัญญา สังขาร
วิญญาน ปรากฏอยู่ ขึ้นกับว่า จะชัดลงมาเห็นสิ่งใดเพียงสิ่งเดียวก็รู้ชัดได้ รู้นามสิ่งเดียวแต่ยังมีความเป็นกายสังขารปรากฏพร้อมกันไปด้วย
“จิตหนึ่งขณะ”จึงประกอบด้วย กายสังขาร วจีสังขาร มโนสังขาร ประกอบร่วมกันไปทุกขณะ“ที่เห็นจิต”
การรู้ขณะหนึ่งๆประกอบด้วย ตัวรู้และตัวถูกรู้
จากตัวรู้ เห็นชัดที่ตรงกลางการรู้ที่กาย ก็ให้ความรู้สึก “เห็นทั้งกาย” เป็นสมาธิขณะนั้น มีสมาธิจิตแนบไปกับการเห็น เมื่อการรู้แต่ละขณะดับ ก็ให้ความรู้สึก“สภาพจิตใจ”ที่เปลี่ยนไป ก็ให้รู้ “รู้รูป ให้รู้นาม รู้นามให้รู้รูป”
หนึ่งขณะการเห็นกายเดิน เห็นความคิด คือเห็นขันธ์5ทำงาน เห็นอยู่ในความว่างเบาของจิต หนึ่งขีวิตจึงมีเพียง“ รูปกับนาม” ทำงานร่วมกันไป
ขันธ์5มันทำงาน
หนึ่งขณะของการเห็นจะมี“สังขารขันธ์ ”ปรากฏทุกขณะ มองให้ละเอียดลงไปอีก(สมาธิยิ่งตั้งมั่น) จะเห็นจากสังขารขันธ์ แยกกันเป็นรูป เวทนาสัญญา สังขาร
วิญญาน ปรากฏอยู่ ขึ้นกับว่า จะชัดลงมาเห็นสิ่งใดเพียงสิ่งเดียวก็รู้ชัดได้ รู้นามสิ่งเดียวแต่ยังมีความเป็นกายสังขารปรากฏพร้อมกันไปด้วย
“จิตหนึ่งขณะ”จึงประกอบด้วย กายสังขาร วจีสังขาร มโนสังขาร ประกอบร่วมกันไปทุกขณะ“ที่เห็นจิต”
การรู้ขณะหนึ่งๆประกอบด้วย ตัวรู้และตัวถูกรู้
จากตัวรู้ เห็นชัดที่ตรงกลางการรู้ที่กาย ก็ให้ความรู้สึก “เห็นทั้งกาย” เป็นสมาธิขณะนั้น มีสมาธิจิตแนบไปกับการเห็น เมื่อการรู้แต่ละขณะดับ ก็ให้ความรู้สึก“สภาพจิตใจ”ที่เปลี่ยนไป ก็ให้รู้ “รู้รูป ให้รู้นาม รู้นามให้รู้รูป”
หนึ่งขณะการเห็นกายเดิน เห็นความคิด คือเห็นขันธ์5ทำงาน เห็นอยู่ในความว่างเบาของจิต หนึ่งขีวิตจึงมีเพียง“ รูปกับนาม” ทำงานร่วมกันไป