ความหลุดพ้นเกิดได้ในหนึ่งขณะจิต
เป็น“หนึ่งขณะจิต ที่หลุดพ้นจากจิต”
จิตที่เป็นฌาน จะเห็นได้ชัดว่า ขณะนี้มีผัสสะอะไร กระทบจิต
กระทบด้วย วิญญานทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
แลแยกได้ชัดว่า วิญญาน กับ จิต นั้นเป็นคนละอย่างกัน
วิญญานกระทบ แล้วไปส่งผลต่อที่จิต
เมื่อดูจิตอย่างต่อเนื่อง สมาธิก็เกิดอย่างต่อเนื่องที่จิต
รูปปรมัตถ์จากเหนือศรีษะ ถึงใด้ฝ่าเท้า หรือจากใต้ฝ่าเท้าถึงเหนือศรีษะ ก็ปรากฏเป็นส่วนๆ อยู่ในขณะมีสมาธิจิตนั้น
จึงรู้ชัดถึงความเป็นไตรลักษณ์ ความเปลี่ยนแปลงของ จิต เจตสิก รูป ได้ในทุกขณะการจะเคลื่อนไหว ขณะคิด ขณะรู้สึก
เห็นด้วยความเป็นไตรลักษณ์ใน จิต เจตสิก รูป
เมื่อเห็นไตรลักษณ์ในจิต เจตสิก รูป จึงคลายความยึดมั่น ถือมั่น ในจิต เจกสิก รูป
เมื่อคลายความยึดมั่น ถือมั่นจึงหลุดพ้น
หลุดพ้นจากสภาวะสังขตธรรม
ณ ที่ขณะนั้น ตรงนั้น เดี๋ยวนั้น
ความหลุดพ้นที่เกิดได้ ในหนึ่งขณะจิต
เป็น“หนึ่งขณะจิต ที่หลุดพ้นจากจิต”
จิตที่เป็นฌาน จะเห็นได้ชัดว่า ขณะนี้มีผัสสะอะไร กระทบจิต
กระทบด้วย วิญญานทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
แลแยกได้ชัดว่า วิญญาน กับ จิต นั้นเป็นคนละอย่างกัน
วิญญานกระทบ แล้วไปส่งผลต่อที่จิต
เมื่อดูจิตอย่างต่อเนื่อง สมาธิก็เกิดอย่างต่อเนื่องที่จิต
รูปปรมัตถ์จากเหนือศรีษะ ถึงใด้ฝ่าเท้า หรือจากใต้ฝ่าเท้าถึงเหนือศรีษะ ก็ปรากฏเป็นส่วนๆ อยู่ในขณะมีสมาธิจิตนั้น
จึงรู้ชัดถึงความเป็นไตรลักษณ์ ความเปลี่ยนแปลงของ จิต เจตสิก รูป ได้ในทุกขณะการจะเคลื่อนไหว ขณะคิด ขณะรู้สึก
เห็นด้วยความเป็นไตรลักษณ์ใน จิต เจตสิก รูป
เมื่อเห็นไตรลักษณ์ในจิต เจตสิก รูป จึงคลายความยึดมั่น ถือมั่น ในจิต เจกสิก รูป
เมื่อคลายความยึดมั่น ถือมั่นจึงหลุดพ้น
หลุดพ้นจากสภาวะสังขตธรรม
ณ ที่ขณะนั้น ตรงนั้น เดี๋ยวนั้น